ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 274 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (4)
บทที่ 274 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (4)
ลู่เซิ่งไม่สนใจว่างูเหล่านี้จะมีความคิดอย่างไร ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของเขาเพ่งอยู่ที่วิชาสามหยิน
‘จะสกัดปราณมารกำเนิดหนึ่งหน่วย ต้องใช้ปราณมารมากกว่าเดิมแล้ว อย่างน้อยก็ต้องใช้ยี่สิบกว่าหน่วยถึงจะสกัดปราณมารกำเนิดหนึ่งหน่วยออกมาได้…’
เขายื่นอีกมือหนึ่งออกมา ควันสีดำในสภาพหมอกหลายสายลอยขึ้น เส้นสายสีเงินมากมายแทรกอยู่ในควันดำ แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับปราณมารกำเนิดสีดำสนิทในตอนแรก
เขามองไฟหยินอีกครั้ง
เวลานี้มีของเหลวเหนียวหนืดหยดหนึ่งค่อยๆ ปรากฏตรงใจกลางไฟหยินสีเขียวบริสุทธิ์ก่อนหน้าเช่นกัน เป็นหยดน้ำสีดำขนาดเท่าถั่วลิสง
เขารู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าไฟหยินจะเรียกว่าไฟหยินอีกไม่ได้แล้ว เพราะมันค่อยๆ กลายเป็นเปลวไฟที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอีกชนิดหนึ่ง
‘เหลือพลังอาวรณ์อีกห้าสิบกว่าหน่วย ยังยกระดับได้อีก…ไฟหยินในเวลานี้เหมือนกับดูดซับวิธีการจับกลุ่มของปราณเหลวมาแล้ว ทั้งยังเริ่มหมุนเวียนและหุบเข้าภายใน โดยใช้กายเนื้อที่แข็งแกร่งของเราควบแน่น’ ลู่เซิ่งคาดหวังอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะเรียนรู้และพัฒนาไฟหยินได้ถึงขั้นไหน
เขาสงบจิตใจ จากนั้นก็กดปุ่มเรียนรู้ด้านหลังกรอบต่อ
ชิ้ง!
ครั้งนี้เวลาที่กรอบพร่ามัวลงยาวนานอยู่บ้าง ผ่านไปหลายสิบอึดใจจึงค่อยๆ ชัดขึ้นมาใหม่
แก่นไฟหยินในมือลู่เซิ่งค่อยๆ ปรากฏสีแดงสายหนึ่งขึ้นมา
กลิ่นอายที่คุ้นเคยเป็นพิเศษสายหนึ่งพุ่งมาปะทะหน้า ลู่เซิ่งงุนงงจากนั้นก็ยินดี เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ เครื่องมือปรับเปลี่ยนหลอมรวมความพิเศษของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานเข้าไปด้านในแล้วจริงๆ
คลื่นความร้อนที่ลอยมาปะทะหน้านี้ แทบเหมือนกับคลื่นความร้อนของเปลวไฟที่ลุกไหม้จากวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานไม่ผิดเพี้ยน
ครั้งนี้ใช้พลังอาวรณ์ไปราวสามสิบหน่วย แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงของวิชาสามหยินทำให้ลู่เซิ่งคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง
เขาเพิ่งคิดจะหลอมรวมความพิเศษของวิชากำลังภายในเข้าไป การเรียนรู้ของเครื่องมือปรับเปลี่ยนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้จริงๆ ยากจะเชื่อว่านี่เป็นแค่ความบังเอิญ
แกร่ก…แกร่ก…
ร่างกายของลู่เซิ่งค่อยๆ บวมขึ้นในความมืดมิด เขาไม่ได้เปลี่ยนร่างเอง แต่ว่าเป็นการปรับปรุงที่เกิดขึ้นเพราะการเผาสกัดของไฟหยิน
สิ่งแปลกปลอมจำนวนมากถูกเผาแยกออกมา สิ่งที่มาแทนที่คือแก่นแท้ของปราณมารกำเนิดที่ได้จากการดูดซับสารสกัด กล้ามเนื้อ เยื่อเอ็น เส้นประสาท อวัยวะภายใน รวมถึงผิวหนังและเยื่อตากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยความเร็วสูง
ตอนนี้ลู่เซิ่งยังอยู่ในสภาพหยินโชติช่วง ทว่าขนาดร่างกายกลับขยายขึ้นโดยที่ไม่อาจควบคุมได้ ค่อยๆ เปลี่ยนจากสภาพธรรมดาจนสูงใหญ่ขึ้น ผิวหนังบนแขนขาและใบหน้าเริ่มจะเกิดตุ่มเนื้อสีดำแน่นขนัด
ความจริงแล้วตุ่มเนื้อเหล่านี้ไม่ใช่เนื้องอก แต่เป็นเนื้อตะปุ่มตะป่ำนับไม่ถ้วนที่เกิดจากการที่กล้ามเนื้อนูนขึ้นมามากเกินไป และเนื่องจากมีมากจนหนาแน่นเกินไป เลยเกิดสภาพตุ่มเนื้อขึ้นบนผิว
เพียงแค่ครู่เดียว ลู่เซิ่งก็เปลี่ยนจากบุรุษอ่อนเยาว์ธรรมดาๆ เป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายที่กล้ามเนื้อกำยำจนเหมือนสวมเกราะหนัก ตุ่มเนื้อขนาดใหญ่สองก้อนงอกบนหลังของเขา ด้านในเหมือนกำลังให้กำเนิดของบางอย่าง ผิวตุ่มแยกออกเป็นรอยแยกสองเส้นคล้ายกับดวงตาที่ยังไม่เปิด
กล้ามเนื้อที่ขยายขึ้นมาใหม่ในครั้งนี้ แตกต่างจากสภาพหยางโชติช่วงเมื่อก่อนหน้า เพราะขยายขึ้นบนพื้นฐานของสภาพหยินโชติช่วง
หมายความว่านี่เป็นสถานการณ์พิเศษที่ปรากฏขึ้น ภายใต้การสะกดในระดับสูงสุดขีด และถ้าเปลี่ยนเป็นร่างต้นโดยสมบูรณ์ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะยิ่งใหญ่กว่าเดิม
ลู่เซิ่งเหงื่อแตกเต็มตัว เส้นเลือดทั่วร่างกำลังหดตัวในระดับสูงสุด แต่ยังคงไม่อาจควบคุมการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นบนร่างได้
สภาพหยินโชติช่วงสะกดการเปลี่ยนแปลงบนร่างไม่อยู่บ้างแล้ว
นี่หมายความว่าเขาควบคุมกายเนื้อของตัวเองไม่ได้อีกโดยสมบูรณ์ รู้สึกได้ว่าร่างหลักของตัวเองขยายใหญ่จนน่ากลัว ขณะที่กลืนกินดูดซับแก่นสารในธารหมอกพิษอย่างบ้าคลั่ง ขนาดของร่างหลักก็กลับใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วจนสภาพหยินโชติช่วงควบคุมขนาดร่างในตอนนี้ไม่ได้อีกแล้ว
‘ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ก็เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับไฟหยินจนสุดไปเลย!’
ในเมื่อควบคุมไม่ได้โดยสมบูรณ์ อย่างนั้นก็อย่าเพิ่งไปสนใจ ลู่เซิ่งเพ่งความสนใจไปที่เครื่องมือปรับเปลี่ยนต่อ
‘เรียนรู้อีกครั้ง…’ ลู่เซิ่งไม่รู้สึกตัวว่าเสียงของเขาเริ่มทุ้มหนักทรงพลัง และหยาบกระด้างขึ้นเรื่อยๆ
กดปุ่มเรียนรู้ของไฟสามหยินต่ออีกครั้ง กรอบเครื่องมือปรับเปลี่ยนค่อยๆ มัวลง
สิบอึดใจ…
ยี่สิบอึดใจ…
สามสิบอึดใจ…
ห้าสิบอึดใจ…
สีของเปลวไฟบนมือของลู่เซิ่งเข้มขึ้นอย่างช้าๆ จากสีเขียวแทรกด้วยสีแดงค่อยๆ กลายเป็นเปลวไฟที่มีสีม่วงเหมือนกับผลึกแก้ว
ในที่สุดกรอบก็เริ่มชัดขึ้น
[วิชาลับปริศนา: ขั้นที่หก ผลพิเศษ: ไฟสามหยิน เพิ่มความแข็งแกร่งแก่ไฟระดับสาม]
ไฟสีม่วงหลายสายลุกไหม้ทั่วร่างของลู่เซิ่ง พวกมันแตกต่างจากไฟสีม่วงบนมือเขา เพราะไฟสีม่วงบนร่างปรากฏในสภาพกึ่งโปร่งแสง
‘เปลวไฟแบบนี้…’ ลู่เซิ่งสนใจในปรากฏการณ์ที่เปลวไฟสีม่วงบริสุทธิ์เหมือนผลึกแก้วอยู่ชั่วขณะ กลับไม่ได้สังเกตสักนิดเลยว่าร่างกายของเขากำลังขยายใหญ่ด้วยความเร็วสูง ยิ่งผ่านไปก็ยิ่งมหึมา
เดิมทีก็สูงถึงสองหมี่อยู่แล้ว และตอนนี้ก็กำลังจะไปถึงสามหมี่อย่างรวดเร็ว เกราะสีดำแผ่นหนาคลุมอยู่บนร่าง หนามแหลมสีขาวหลายแถวงอกขึ้นด้านนอกสองแขนและสองขา
รอยแยกบนตุ่มเนื้อสองก้อนที่หลังของเขาค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นดวงตาดุร้ายสีแดงเลือดคู่หนึ่ง ลูกตาแนวตั้งสีม่วงตรงกลางเพ่งมองไปรอบๆ
ซู่ม
ลู่เซิ่งก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว เกิดละอองน้ำจำนวนมากขึ้น ขณะร่างกายที่มหึมาและหนักอึ้งก้าวเดินในทะเลสาบ
‘เปลวไฟแบบนี้ไม่ใช่ไฟหยินแล้ว…รู้สึกได้ว่ามีพลังงานชนิดหนึ่งที่แตกต่างโดยสมบูรณ์กับก่อนหน้าไหลเข้ามาในร่างกายไม่ขาดสาย…’ ลู่เซิ่งหลับตา สัมผัสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม
ครั้งนี้แตกต่างจากวิชาลับที่ฝึกฝนทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ใช่แค่วิชาลับเท่านั้น แม้แต่ปราณเหลวของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานก็กำลังหลอมรวมเข้ากับไฟสีม่วงอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย สองสิ่งรวมตัวกันกลายเป็นเปลวไฟแบบใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมชนิดหนึ่ง
‘พลังอาวรณ์…เราต้องใช้พลังอาวรณ์มากกว่าเดิมเพื่อเรียนรู้และเพิ่มระดับต่อ…’ ลู่เซิ่งลืมตา ม่านตาของเขาค่อยๆ แยกออก จากม่านตาหนึ่งดวงในตอนแรก แยกออกเป็นสามจุด เหมือนกับเปลวไฟสีดำที่ลุกไหม้ตลอดเวลาสามกลุ่ม
‘นอกจากนี้ ปราณมาณก็…เหลือไม่มากแล้ว…’ ลู่เซิ่งก้มหน้ามองทะเลสาบธารหมอกพิษที่เกือบจะถูกดูดจนเกลี้ยง
ตอนแรกที่นี่มีน้ำมากมาย แต่สุดท้ายรับการฝึกฝนชนิดวาฬกลืนกินของเขาไม่ไหว
ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย หรือการเสาะหาพลังอาวรณ์ที่มากกว่าเดิม ลู่เซิ่งก็จำเป็นต้องเข้าไปค้นหาในส่วนเร้นลับของธารหมอกพิษ
ซู่มๆๆ…
เขาเดินไปถึงกลางทะเลสาบ แล้วยืนสอดส่ายสายตาหาต้นน้ำกลางโคลนตม
ไม่นานโพรงหินกว้างหนึ่งหมี่กว่าๆ ก็เข้าสู่คลองจักษุ น้ำสีดำสนิทไหลออกมาจากโพรงหินสีดำสนิทไม่ขาดสาย แต่เทียบกับความเร็วการกลืนกินของลู่เซิ่งไม่ได้
‘ที่นี่นี่แหละ!’ ลู่เซิ่งสาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไป ใช้สองมือจับสองฟากข้างของโพรงหินแล้วออกแรงฉีก
ตูม!
หินยักษ์ที่แข็งเหลือประมาณสองก้อนถูกเขาหักทิ้ง
เกราะสีดำแข็งแกร่งปกคลุมสองแขนของเขา ห้านิ้วคมกริบเหมือนกับคมมีด พอยื่นมือจับผนังบนโพรงหิน หินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งก็หนึ่งก็ถูกขุดออกมา
‘หินของที่นี่แข็งมาก แต่ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลต่อเรามากนัก’ ลู่เซิ่งสนใจต้นกำเนิดของธารหมอกพิษมากกว่าสภาพแวดล้อมแบบไหนกันแน่ ถึงให้กำเนิดลำธารที่มีพิษรุนแรงแบบนี้ได้
หินก้อนยักษ์หลายก้อนถูกขุดออกมาเรื่อยๆ ลู่เซิ่งไม่รู้ตัวว่าได้มุดร่างเข้าไปทั้งตัวแล้ว น้ำไหลทะลักตกลงมา ไม่นานก็ถูกมารหยินกลืนกินดูดซับ
ขุดไปขุดมา เขาก็ปล่อยมารหยินเก้าตัวออกมาหมุนเวียนทำงาน เวลาแค่ชั่วหนึ่งก้านธูปก็ขุดโพรงหินเป็นทางเชื่อมหินเส้นหนึ่ง
เวลาค่อยๆ ล่วงเลยไป ลู่เซิ่งได้ขุดเป็นระยะทางหลายพันหมี่โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทางเชื่อมหินเส้นผ่าศูนย์กลางสามหมี่ตัดเป็นเส้นตรงลงด้านล่าง จากนั้นก็เหยียดยื่นเป็นระยะทางมากกว่าพันหมี่ในแนวระนาบไปยังด้านข้าง
เหง่ง…หง่าง…หง่าง…
ขณะกำลังเหม่อลอย ลู่เซิ่งก็ได้ยินเสียงระฆังที่ดังมาไกลๆ ถ้าไม่ใช่ว่าเขามีประสาทสัมผัสทั้งห้าน่าตกตะลึง เกรงว่าคงไม่ได้ยินเสียงระฆังกลางคืนของสำนักมารกำเนิด
เนื่องจากมีพลังอาวรณ์ไม่พอแล้ว ครั้งนี้เขาจึงตัดสินใจแล้วว่าจะต้องหาน้ำในธารหมอกพิษกับพลังอาวรณ์มากกว่าเดิมให้ได้
ขุดต่อไปอีกมากกว่าหมื่นหมี่ ในที่สุดกระแสน้ำด้านหน้าก็ค่อยๆ ใสและร้อนขึ้น
ทางเชื่อมโพรงหินหักเลี้ยวกะทันหัน จากนั้นก็ยื่นไปด้านล่างต่อ
ลู่เซิ่งขุดไปขุดมาก็รู้สึกว่ากระแสน้ำเริ่มร้อนลวก
ด้านในทางเชื่อมสีดำสนิท แสงสีม่วงจางๆ ลุกไหม้บนตัวเขาพร้อมกับสาดส่องสภาพแวดล้อมรอบๆ มารหยินเก้าตัวหมุนเวียนกันกระแทกพลางขย้ำก้อนหินด้านหน้าเพื่อขยายพื้นที่ของโพรงหิน ในกระแสน้ำที่กำลังกระเพื่อมเต็มไปด้วยโคลนสีดำกับกรวดหินสีเทา ขุ่นจนมองเห็นไม่ชัด
ลู่เซิ่งใช้การค้นหาทิศทางของมารหยินมาแยกแยะ
‘อุณหภูมิของที่นี่ใกล้เคียงกับอุณหภูมิของน้ำเดือดแล้ว…เป็นแบบนี้ต่อไปน่าจะร้อนกว่าเดิม’ ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย เขาใช้เกราะผิวต้านทานอุณหภูมิมากกว่าร้อยองศาได้ แถมคุณสมบัติต้านทานความร้อนของตัวเองก็แข็งแกร่งถึงขีดสุด ทั้งยังมีเยื่อดำคอยป้องกัน จึงไม่กลัวโดยสิ้นเชิง เพียงแต่มาพอถึงที่นี่ ยิ่งลงไปด้านล่างก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะเกิดสถานการณ์ที่อันตรายกว่าเดิม
ลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจอีกครั้ง
‘ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อพลังอาวรณ์ ก็ต้องหาต้นกำเนิดของน้ำในธารหมอกพิษอยู่ดี ไม่อย่างนั้นความเร็วในการยกระดับพลังของเราจะช้ากว่าเดิม’
หลังจากตัดสินใจแล้ว ลู่เซิ่งก็เร่งความเร็วมุ่งหน้าต่อไป
อุณหภูมิน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าน้ำเริ่มขุ่นน้อยลง และกระจ่างใสมากขึ้น อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็หยุดชะงัก แล้วหันไปมองผนังหินทางขวามือ
แขนซีดขาวครึ่งท่อนยื่นเฉียงๆ ออกมาจากในก้อนหินบนผนังหินสีดำทะมึน
ลู่เซิ่งหยีตาพร้อมกับเข้าไปใกล้
ท่อนแขนที่ขาดด้วนไปครึ่งหนึ่ง ถูกชั้นหินยึดไว้ตรงกลาง เพียงแต่ถูกขุดออกมาในตอนที่มารหยินขยายโพรงหิน
เขายื่นมืออกไปลูบแขนเบาๆ สาก แข็ง และเย็นเยียบ
ทั้งๆ ที่อยู่ในกระแสน้ำที่ร้อนลวกปานนี้ แต่ว่าแขนยังเย็นอยู่
“ทำต่อ” เขาควบคุมให้มารหยินไปด้านหน้าต่อ
โฮก
ราชสีห์โทสะไม่ยอมเดินต่อ หมุนตัวมาคำรามใส่ลู่เซิ่ง ขุดหินมานานขนาดนี้ มันเหนื่อยแล้ว มันอยากฆ่า อยากต่อสู้ อยากระบาย!
เปรี้ยง!
ลู่เซิงเดินเข้าไปตบใส่ พละกำลังที่มหาศาลและน่ากลัวกระแทกราชสีห์โทสะกระเด็นออกไปชนกับผนังหินจนมันส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด
“รีบขุด!” ลู่เซิ่งเหลืออด
ราชสีห์โทสะคืบคลานขึ้นมาอย่างอ่อนแอ แล้วมองเขาอย่างเกรงกลัวแวบหนึ่ง ได้แค่เดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปร่วมแถวขุดหินด้านหน้าต่อ
ว่ากันว่ามารหยินควบคุมไม่ได้ ลู่เซิ่งคิดว่าแค่หาวิธีไม่เจอเท่านั้น
โพรงหินเหมือนไร้สิ้นสุด ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าขุดมานานเท่าไหร่ แต่ด้วยความเร็วของเขาอย่างน้อยก็น่าจะหลายหมื่นหมี่แล้ว ในที่สุดกระแสน้ำในทางเชื่อมหินก็ค่อยๆ เหลือน้อยลง ทางเชื่อมโล่งขึ้นเรื่อยๆ
แสงจางๆ สีแดงค่อยๆ ปรากฏบนผนังหินสองฟากข้างด้านหน้า เหมือนกับเหล็กนาบที่ถูกเผาจนแดง……………………………………….