ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 280 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (10)
บทที่ 280 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (10)
ซู้ด…!
พลังดูดอันมหาศาลส่งมาจากช่องว่างของปาก
ราชาเงามืดรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าแก่นมารของตนไหลออกไปเร็วกว่าก่อนหน้านี้สิบกว่าเท่า
‘อ้าวๆ มีวิธีนี้ด้วย ไม่เลวๆ’ เขาตกใจอยู่บ้างจริงๆ หลายปีมานี้ นี่เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่ลุกขึ้นกลางคันได้หลังจากถูกเขาล่อลวง
พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งชั่วยาม
ลู่เซิ่งขยับอีกรอบ เขาหยุดการดูดปราณมาร ลุกขึ้นแล้วถอยหลังไปยืนตรงตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
‘อ้อ? หรือว่าคิดดิ้นรนเพราะจะทนไม่ไหวแล้ว’ ราชาเงามืดสงสัยอีกรอบ
ทว่าถัดจากนั้น เสียงเนื้อขยับและเสียงกระดูกขยายด้วยความเร็วสูงก็ดังเข้ามาในแท่นบูชา
ราชาเงามืดมองดูร่างกายขนาดธรรมดาสูงสองหมี่ของลู่เซิ่งขยายใหญ่กลายเป็นสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์สูงถึงแปดหมี่ ในชั่วไม่กี่อึดใจ
“แบบนี้ดูดได้สะดวกกว่า…” ลู่เซิ่งโคลงศีรษะที่น่ากลัวเหมือนไดโนเสาร์อย่างพึงพอใจ แล้วก้าวฝีเท้าหนักหน่วงเข้าใกล้แท่นบูชา อ้าปากเริ่มดูดซับต่อ
‘…’
ราชาเงามืดอ้าปากกว้างอยู่ในความมืด มองลู่เซิ่งที่ภาพลักษณ์เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันอย่างตกตะลึงพรึงเพริด
‘น่า…น่าสนใจจริงๆ…’ เขาหัวเราะแห้งสองครั้ง เริ่มสงสัยว่าต่อจากนี้อีกฝ่ายจะทำอะไร
‘ในสภาพนี้ หรือมนุษย์ผู้นี้จะรู้สึกว่าสภาพนี้ดูดซับปราณมารได้สะดวกกว่า’ เขาฉงนเล็กน้อย
ตูม!
ทันใดนั้น พลังดูดซับฉุดกระชากที่รุนแรงสุดเปรียบปานก็ส่งมาจากช่องว่างบนแท่นบูชา
แก่นมารอย่างน้อยหนึ่งในร้อยส่วน ในร่างหลักของราชาเงาถูกกระชากออกไป ไหลเข้าหาแรงดึงดูดสายนี้อย่างรวดเร็ว
ราชาเงามืดตกใจเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะขึ้น
‘จงดูดไปเถอะ…ต่อให้เจ้าเปลี่ยนร่างจนตัวใหญ่ขึ้น อย่างน้อยร่างหลักของข้าก็ใหญ่เป็นหนึ่งเท่าของเจ้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะดูดซับแก่นมารทั้งหมดของข้าจนหมดเกลี้ยง?!’
แค่คนที่มีรูปลักษณ์ภายนอกประหลาด แต่ร่างหลักยังเป็นมนุษย์คนเดียว จะเทียบกับเขาที่เป็นราชามารได้อย่างไร
พื้นฐานที่กักเก็บแก่นมารคือความแข็งแกร่งของกายเนื้อ และกายเนื้อของมนุษย์กับเผ่ามารก็เป็นของคนละอย่างกันโดยสิ้นเชิง เหมือนความแตกต่างระหว่างเหล็กกล้าและเต้าหู้
หลังจากเวลาผ่านไป
ลู่เซิ่งก็หยุดลงอย่างฉับพลัน
‘ครั้งนี้น่าจะไม่ไหวแล้วกระมัง’ ราชาเงามืดถอนใจเบาๆ จากนั้นเขาก็อดเยาะเย้ยตัวเองไม่ได้ ราชาเผ่ามารที่ยิ่งใหญ่อย่างเขา กลับเคร่งเครียดเพราะมนุษย์ประหลาดตัวเล็กๆ คนเดียว ถ้าหากเล่าออกไปคงถูกราชามารตนอื่นหัวเราะเยาะ
กลับเห็นลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิลง ร่างกายเริ่มปรากฏกลิ่นอายแก่นมารที่เข้มข้นถึงขีดสุด เงาของสัตว์ประหลาดที่ลางเลือนหลายสายโผล่แวบขึ้นด้านหลัง บ้างเป็นงู บ้างเป็นกระทิง บ้างเป็นสิงโต
เงาเหล่านี้หายเข้าไปในร่างเขาโดยรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขา
โฮก!
ทันใดนั้น ร่างกายของลู่เซิ่งก็ขยายขึ้นอย่างรุนแรง
เดิมทีเขาสูงแปดหมี่ ร่างเต็มไปด้วยเกราะเกล็ดหนามแหลม ตอนนี้พอขยายใหญ่ขึ้นอีก ร่างกายก็สูงถึงสิบหมี่ในไม่กี่อึดใจ!
ส่วนที่สะดุดตาที่สุดคือท้องของเขาป่องนูนจนเป็นก้อนใหญ่ มองแต่ไกลเหมือนกับคนอ้วนที่มีเขากระทิงและหนามบนหลัง เพียงแต่คนอ้วนผู้นี้ มีปากใหญ่เป็นพิเศษ สวมเกราะเกล็ดสีดำสนิท ขาทั้งสองข้างกับหาง ใหญ่เหมือนกับเสาหินขนาดมหึมา
ฟู่ว…
ลู่เซิ่งอ้าปาก ด้านในปากเป็นฟันขาว จากในถึงนอก เป็นฟันแหลมสามแถว แน่นขนัดมากพอจะขย้ำทุกสิ่ง
เขายืดเหยียดร่างอย่างพอใจ ปรับตัวเข้ากับข้อต่อและกล้ามเนื้อที่เพิ่งเปลี่ยนแปลง จากนั้นก็ย่ำเท้าตึงๆๆ เข้าใกล้ช่องว่างบนแท่นบูชาอีกครั้ง
ซู้ด…!
ตูม!
‘เวรเอ๊ย!’
ครั้งนี้ราชาเงามืดหน้าเขียวแล้ว
เขารู้สึกในพริบตาว่า มีพลังดึงดูดที่ไม่เคยมีมาก่อนสายหนึ่ง ส่งมาตามช่องว่างบนแท่นบูชา แก่นมารบนร่างตนเองหายไปหนึ่งส่วนกว่าๆ ในเสี้ยววินาที!
‘คนผู้นี้…คนผู้นี้…เป็นมนุษย์จริงๆ หรือ คงไม่ใช่เผ่ามารสักเผ่ามาหลอกข้าหรอกนะ’ ราชาเงามืดขยับตัวไม่ได้เพราะถูกผนึก ได้แต่มองดูแก่นมารของตนเองลดน้อยลง อีกทั้งยังลดลงด้วยความเร็วที่ตาเนื้อมองเห็นได้ด้วย
หลังจากลู่เซิ่งดูดซับไปพักหนึ่งก็หยุดชะงักลง จากนั้นก็นั่งลงด้านข้าง ยังไม่รอให้ราชาเงามืดโล่งใจ ก็เห็นร่างของลู่เซิ่งขยายใหญ่ขึ้นอีก
หลังจากขยายใหญ่ขึ้น เขาก็เข้ามาดูดซับอีก
เป็นเช่นนี้วนเวียนไปมาหลายครั้ง ลู่เซิ่งไม่เพียงไม่มีทีท่าว่าจะถูกแก่นมารกัดกร่อน ตรงกันข้ามร่างกายยิ่งมายิ่งใหญ่ ดูดซับแก่นมารที่ราชาเงามืดสะสมในผนึกมาอย่างยากลำบากจนเกลี้ยงในครั้งเดียว…
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม…
‘เอ๋?’ แก่นมารขาดสะบั้นแล้ว ร่างกายของลู่เซิ่งสูงใหญ่ถึงสิบสามหมี่ ยามยืนอยู่ในถ้ำเหมือนกับภูเขาลูกย่อมๆ ส่วนที่สะดุดตาที่สุดบนร่างคือท้องขนาดใหญ่
เขากระทิง หางยักษ์ หนามแหลมทั่วร่าง ท้องขนาดใหญ่ ร่างสูงสิบสามหมี่ ทั้งตัวดำสนิท ตุ่มเนื้อบนกล้ามเนื้อใกล้เคียงกับเนื้องอก ดวงตาที่กลอกลิ้งไปทั่วสองดวงงอกอยู่ด้านหลัง นี่เป็นรูปลักษณ์ภายนอกของเขาในตอนนี้
‘ปราณมารกำเนิดทั่วร่างเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะไฟหยินพัฒนาเป็นไข่มุกอาวรณ์แปดเศียร ร่างมารทั้งหมดจึงกลายพันธุ์ไปด้วย ยังดีที่ตรงนี้มีปราณมารมากพอ ไม่อย่างนั้นครั้งนี้อาจจะดูดซับธารหมอกพิษจนแห้งแล้ว…’ ลู่เซิ่งถอนใจ ยื่นมือไปขุดช่องว่าง ไม่มีแก่นมารไหลออกมาแล้ว
“เป็นไปไม่ได้กระมัง นี่คือผนึกมารในยุคโบราณ ตำนานบอกไว้ว่ามารไร้เทียมทานและแข็งแกร่งถึงขีดสุดไม่ใช่หรือ ทำไมถึงหมดเร็วแบบนี้ล่ะ หรือว่าจะมีอะไรอุดไว้” เขาประหลาดใจเล็กน้อย
ราชาเงามืดในแท่นบูชาคิดด่าถึงมารดา
‘เจ้าไม่ดูตัวเองเล่า! มนุษย์ขนาดเท่าเขาลูกเล็ก ให้เจ้าดูดปราณมารได้นานขนาดนี้ก็วิปริตพอแล้ว!’
พอเห็นลู่เซิ่งยังไม่พอใจ ราชาเงามืดก็อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา เดิมทีตั้งใจล่ออีกฝ่ายมาดูดซับแก่นมารของตน เพื่อให้แก่นมารที่มีความเข้มข้นสูงเกินไปย่อยสลายอีกฝ่ายกลายเป็นสารอาหาร แต่คิดไม่ถึง…
สวบ…สวบ…ตูม!
ทันใดนั้นก็มีเสียงประหลาดดังมาจากด้านนอกแท่นบูชา
ตอนที่ราชาเงามืดกำลังประหลาดใจ ก็รู้สึกได้ฉับพลันว่าตัวเอียง เริ่มร้อนใจเล็กน้อย จงรีบมองไปด้านนอก พลันอ้าปากตาค้าง
ลู่เซิ่งไม่ยินยอม ขุดแท่นบูชาออกไป ยกขึ้นมาออกแรงเขย่า เพื่อเทแก่นมารออกมา
ครั้งนี้ราชาเงามืดตะลึงงันแล้ว ขณะที่ลู่เซิ่งใช้พละกำลังอันมหาศาลเขย่าอย่างต่อเนื่อง เขาก็รีบแนบร่างกับช่องด้านในแท่นบูชา ไม่กล้าขยับเขยื้อน
พลังของราชามารที่ไม่มีแก่นมารอย่างมากสุดก็เหลือแค่หนึ่งส่วนถึงสองส่วนของยามปกติ
เขากลัวการเผชิญหน้ากับมนุษย์ประหลาดที่ดูดซับแก่นมารของเขาไปมากกว่าห้าส่วนจริงๆ
เขาไม่ใช่ตัวโง่งมอย่างราชาเมฆดำ
ราชาเงามืดไม่กล้าระบายลมหายใจแรง แนบร่างติดกับผนังในแท่นบูชาโดยไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย ภาวนาในใจให้อีกฝ่ายจากไปโดยเร็ว
“ไม่มีแล้วเหรอ” ลู่เซิ่งเอียงแท่นบูชา จากนั้นก็มองไปด้านในช่องว่าง ด้านในว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย แท่นบูชาเหมือนกับกล่องเปล่าใบหนึ่ง
“ไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ…” เขาวางลงอย่างเสียดาย
ตูม
แท่นบูชากระแทกพื้นอย่างหนักหน่วง ถูกวางกลับตำแหน่งเดิม
ลู่เซิ่งเรอครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขากลืนกินปราณมารจนคุ้มแล้ว หลังจากดูดซับจนเต็ม เขาก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะใช้พลังอาวรณ์เรียนรู้ยกระดับร่างมารทันที
อาศัยจังหวะที่มีปราณมารมากพอ เขาจัดระเบียบกรอบเครื่องมือปรับเปลี่ยนทั้งหมดรอบหนึ่ง
เขารวมวรยุทธ์กับมรรคายุทธ์ทั้งหมด โดยเฉพาะวิชาทั่วไปและวรยุทธ์พื้นฐานส่วนหนึ่งในช่วงแรกๆ ที่ค่อนข้างอ่อนแอเป็นมรรคายุทธ์พื้นฐาน ใช้กรอบแค่กรอบเดียวเพื่อบ่งบอกถึงพื้นฐานแต่ละชนิดเช่นวิชาท่าเท้าพื้นฐาน วิชาดาบพื้นฐาน วิชากระบี่พื้นฐาน เป็นต้น
แบ่งวิชากำลังภายในและวิชากำลังภายนอกที่แข็งแกร่งเป็นวิถีนอกและวิชาภายใน
โดยที่แบ่งวิชากำลังภายในและวิชากำลังภายนอกธาตุหยางไว้ในวิถีนอก ซึ่งได้แก่วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานกับวิชากำลังภายนอกอย่างวิถีหยางโชติช่วงที่ใช้เปลี่ยนร่าง ยังมีวิชาแสงมายากระทืบพสุธา
ส่วนวิชากำลังภายในธาตุหยินเช่นปราณขวดสมบัติ ได้แบ่งไว้ในวิชาภายใน
ถัดจากนั้นเป็นวิชาลับ ในความเป็นจริงแล้ววิชาลับล้ำค่าที่มาจากสำนัก เหมือนกับมรรคายุทธ์สุดโต่งฉบับพัฒนาแล้ว ลู่เซิ่งจึงแบ่งเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมาส่วนหนึ่งเป็นส่วนของวิชาลับ แล้วใส่วิชาลับทั้งหมดไว้ด้านใน
หลังจากแบ่งเสร็จ สภาพหนาแน่นของเครื่องมือปรับเปลี่ยนก็ถูกจัดระเบียบโล่งสบายตา ตั้งแต่ด้านบนถึงด้านล่างมีทั้งหมดสามตารางใหญ่
[วิถีภายนอก วิชาภายใน วิชาลับ มรรคายุทธ์พื้นฐาน]
มีทั้งหมดสี่ประเภท นี่เป็นทุกสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มา สิ่งที่เครื่องมือปรับเปลี่ยนแสดงออกมาคือเนื้อหาที่เขารู้ เขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้ควรแบ่งประเภท ดังนั้นเนื้อหาข้อมูลที่เครื่องมือปรับเปลี่ยนอ่านจึงแบ่งได้เช่นนี้
หลังจากแบ่งเรียบร้อย ก็เป็นเวลาที่ลู่เซิ่งดูดซับปราณมารจนเต็มเป็นครั้งแรกพอดี
เขาเข้าไปในวิชาลับอย่างแน่วแน่ แล้วหาร่างมารแปดร่าง ลู่เซิ่งเรียกร่างมารทั้งแปดรวมๆ ว่าวิถีแปดมารสูงสุด ความหมายก็คือฝึกฝนวิชามารทั้งแปดจนถึงจุดสูงสุดแล้ว
ลู่เซิ่งเริ่มใช้พลังอาวรณ์ เรียนรู้วิถีแปดมารสูงสุดแบบใหม่ในทันที ด้วยการช่วยเหลือจากแก่นมารอันมหาศาล
นี่เท่ากับเรียนรู้วิชามาร แปดวิชาในครั้งเดียว ตอนแรกลู่เซิ่งฝึกฝนวิชาลับร่างมารแปดวิชานี้ ถึงขั้นสูงสุดแล้ว ตอนนี้เขาเริ่มเรียนรู้ขอบเขตใหม่ๆ ด้วยการสนับสนุนจากพลังอาวรณ์
และผลลัพธ์สุดท้ายก็ไม่ทำให้ลู่เซิ่งผิดหวัง หลังจากใช้พลังอาวรณ์ไปเกือบสองร้อยกว่าหน่อย วิถีแปดมารสูงสุดก็ยกระดับไปยังขั้นต่อไปสำเร็จ และทำให้ร่างของลู่เซิ่งมโหฬารกว่าเดิม
[วิถีแปดมารสูงสุด: คืนสู่ต้นกำเนิดกลับสู่กระแส ขั้นที่สี่ ผลพิเศษ: แปดร่างมาร กรดรุนแรงระดับสามสิบสอง กัดกินจิตใจระดับสี่สิบ เพิ่มความแข็งแกร่งแก่ผิวแข็งระดับสี่สิบ ยิงหนามระดับสี่สิบ…]
ลู่เซิ่งละสายตากลับมาจากผลพิเศษ เนื่องจากมีแก่นมารมากพอจะส่งเสริมร่าง เขาจึงได้วางร่างมารทั้งแปดไว้ในกรอบกรอบเดียว และแบ่งขอบเขตของร่างมารออกเป็นสามระดับ
ขอบเขตแรก หลอมปราณมาร
ไม่ว่าจะเป็นวิชาไร้มูลเหตุ หทัยเงามาร หรือว่าวิชาลับพื้นฐานของร่างมารร่างอื่น จุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวคือทำให้ผู้ฝึกฝนปรับตัวเข้ากับปราณมาร หลอมรวมมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
ขอบเขตที่สอง หมื่นวิชาก่อกำเนิด
โดยพื้นฐานแล้วร่างมารแต่ละชนิด คือการใช้ปราณมารและการพัฒนาปราณมาร มากระตุ้นจิตใจและร่างกาย จนเกิดคุณสมบัติที่เหมือนกับพลังพิเศษหลากหลายอย่าง นี่ก็คือการพัฒนาวิชาที่ว่า หมื่นวิชาก่อกำเนิด
ขอบเขตที่สาม บรรลุจุดสูงสุด
ความจริงคือร่างกายทั้งหมดไปถึงขั้นสูงสุดที่ไม่มีอะไรให้ฝึกได้อีก
ขอบเขตที่สี่อันเป็นขอบเขตสุดท้าย คืนสู่ต้นกำเนิดกลับสู่กระแส เป็นขอบเขตพิเศษที่เครื่องมือปรับเปลี่ยนเรียนรู้ได้เอง แต่ลู่เซิ่งตั้งชื่อให้ หลังจากเครื่องมือปรับเปลี่ยนเรียนรู้ถึงขั้นนี้ เลือดเนื้อและกระดูกส่วนใหญ่ของลู่เซิ่งก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยสร้างโครงสร้างพิเศษที่เข้ากับปราณมารได้ในระดับสูงสุด
โครงสร้างนี้สามารถขยายและหดให้เล็กได้อย่างง่ายดาย หนำซ้ำไม่ว่าจะเป็นการป้องกันทางกายภาพ หรือคุณสมบัติต้านทานไฟและพิษร้าย ต่างก็ทำได้ง่ายกว่าตอนใช้เซลล์ของมนุษย์เพียงอย่างเดียวมาก
……………………………………….