ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 29 หาเจอ (1)
ได้ยินคำพูดเหล่านี้ของเหยียนไค ลู่เซิ่งไม่โกรธ เพียงแค่ยิ้ม
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นข้าน้อยจะแจ้งสามลัทธิเก้ากระแสในเมืองให้กับเต้าจ่างทั้งสอง ตอนต้องการความช่วยเหลือ สามารถไปยังร้ายขายเสื้อ ร้านยา ร้านตีเหล็กทั้งหมดในเมืองได้ ล้วนสามารถเสนอความสะดวกสบายแก่ทั้งสามท่าน”
“เช่นนี้ก็ได้” เหยียนไคพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “อย่างนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราขอบอกลาก่อน ไปดูห้องดอกบัวอย่างละเอียดค่อยว่ากัน”
“เต้าจ่างตามสบาย” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะไปด้วย”
จวนเฟิงจอมยุทธ์หญิงผู้นั้นร่วมทาง
สายตาส่งพวกเหยียนไคจากไป ลู่เซิ่งออกคำสั่ง ให้พวกเขาเคลื่อนไหวในสกุลลู่ได้อิสระ ทุกคนล้วนไม่อาจขัดขวาง
“เสี่ยวเซิ่ง รู้สึกว่าสามคนนั้นมีประโยชน์ไหม” ลู่เฉวียนอันเดินเข้ามาจากนอกประตู บทสนทนาก่อนหน้านี้เขาก็ได้ยินแล้วเช่นกัน
“อย่าสนใจเลยว่ามีประโยชน์หรือไม่ สามารถมองออกว่าข้าได้รับบาดเจ็บ หนำซ้ำยังใช้น้ำโอสถขวดหนึ่งรักษาข้าได้ แค่ข้อนี้เงินที่พวกเราจ่ายก็คุ้มค่าแล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ
“เรื่องนี้ให้เจ้าจัดการด้วยอำนาจทั้งหมด ทุกคนในจวนรวมถึงข้า ฟังการจัดการจากเจ้า เจ้าจัดการได้เต็มที่!” ลู่เฉวียนอันกล่าวขึงขัง
“ขอบคุณท่านพ่อ” ลู่เซิ่งยิ้มเอ่ย
รอจนลู่เฉวียนอันจากไป ลู่เซิ่งกลับถึงห้องตัวเอง ให้เสี่ยวเฉี่ยวป้อนรังนกบำรุงให้ตนทีละช้อน
หลังจากเขาได้รับบาดเจ็บครั้งก่อน ก็ไม่ได้ยกระดับวรยุทธ์ในร่างตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ มาโดยตลอด
ถึงอย่างไรร่างกายได้รับบาดเจ็บ ยังสิ้นเปลืองสารจำเป็น ปราณ จิตยกระดับวรยุทธ์ นั่นมิใช่แข็งแกร่งขึ้นหากแต่หาที่ตาย
แต่ครั้งนี้ปราณหยินในร่างถูกขับไล่ เขาเริ่มใคร่ครวญว่าสมควรกดหนดเส้นทางพัฒนาต่อจากนี้ของตนอย่างไร
ทางหนึ่งดื่มรังนก ลู่เซิ่งทางหนึ่งนั่งบนเก้าอี้หวายในลานเล็ก สองตาหยีเล็กน้อย เกียจคร้านไม่ขยับตัว
“คุณชาย คุณหนูชิงชิงไม่ได้กลับมาหลายวันแล้ว หรือว่าจะ…?” เสี่ยวเฉี่ยวใบหน้ามีความกังวล กระซิบถาม
“ไม่ต้องกังวล กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องราวเฉพาะทางมอบให้มืออาชีพจัดการก็พอ พวกเราไปกลับไม่ช่วยอะไร” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
“บ่าวทราบ เพียงแต่เห็นฮูหยินรองร้องไห้ตาบวมแดงทุกวัน เจ็บปวดใจแทนนาง”
เสี่ยวเฉี่ยวลดเสียงกล่าว
“คุณชาย ท่านว่าพวกเขาทำได้ไหม?”
“สมควรตรวจสอบอันใดได้ ส่วนจะมากหรือน้อย ไม่แน่ใจแล้ว” ลู่เซิ่งตอบขอไปที ในใจกลับกำลังคิดว่าสิ่งที่เหยียนไคพูดเป็นจริงหรือไม่
ตั้งใจอนุมาน อีกฝ่ายไม่มีความจำเป็นต้องหลอกเขา ถ้าหากว่าต้องการเงินจริงๆ น้ำคืนอาทิตย์ขวดเล็กก่อนหน้านี้ขวดนั้นก็มากพอจะทำให้อีกฝ่ายได้เงินเป็นถุงเป็นถังแล้ว
เรื่องนี้มีคนสามคนนั้นแบกรับชั่วคราว กลับไม่ต้องกังวล
ผีล่อลวงในจวนลู่ตัวนั้นจัดการไปแล้ว ในเวลาอันสั้นปลอดภัยแล้ว
เพียงแต่ฟังเหยียนไคพูด ในเมืองเก้าประสานคงมีผีล่อลวงไม่น้อย
ลู่เซิ่งใจเกิดความรู้สึกถึงวิกฤติการณ์ที่เข้มข้นสายหนึ่ง
ผีล่อลวงตัวก่อนหน้านี้ทำให้เขาทุ่มสุดกำลังถึงจะจัดการได้ ถ้ามาเพิ่มอีกหลายตัว…
“เจ้าออกไปก่อน ข้าขออยู่เงียบๆ พักผ่อนสักหน่อย” ลู่เซิ่งพลันเอ่ยปาก
เสี่ยวเฉี่ยวอื้มคำหนึ่ง ประคองเขาขึ้นเตียง ห่มผ้าแล้วถอยออกห้องด้วยตัวเอง
ตามด้วยเสียงปิดประตูแกร๊ก
ลู่เซิ่งค่อยๆ ผุดลุกจากเตียง ลงจากเตียง นำห่อกระดาษเล็กๆ สีดำใบหนึ่งออกมาจากในลิ้นชักชั้นหนังสือ
เปิดห่อผ้าออกเบาๆ ด้านในเป็นผงเล็กๆ สีขาวอมเทาส่วนหนึ่ง
นี่เป็นสิ่งที่เหลืออยู่หลังจากผีล่อลวงตัวนั้นตายแล้วทิ้งเอาไว้
ลู่เซิ่งไม่ทราบว่ามีประโยชน์หรือไม่ แต่ว่าสิ่งของเหนือธรรมชาติอย่างนี้ ของที่ทิ้งไว้ย่อมอาจมีประโยชน์ส่วนหนึ่ง เขาไม่ได้ทิ้งผงนี้ แต่เก็บอย่างระมัดระวัง
ถือผงกระจายไปบนพื้นโต๊ะ
‘ดูเหมือนถ้าต้องการรู้ประโยชน์ของของสิ่งนี้ ยังต้องหาจากตัวพวกเหยียนไคนั่น’
เขาคล้ายมีความคิดใด
เก็บผง ครั้งนี้เข้านอนบนเตียงอย่างสงบมั่นคง
พอตื่นขึ้นมา เป็นฟ้ามืดแล้ว
เสี่ยวเฉี่ยวกำลังจุดตะเกียง อายุสิบสองปี สะโพกน้อยที่สวมกระโปรงตัวเล็กสีขาวกระดกๆ อยู่ตรงข้ามลู่เซิ่ง มัวเมาคนยิ่ง
ชายกระโปรงเป็นกระโปรงใบบัวที่ปิดถึงเข่าประเภทนั้น หันกระดกขึ้นเช่นนี้ พอดีสะโพกเล็กๆ ที่งามงอนกลมละมุนนูนออกมา
“แฮ่มๆ…” ลู่เซิ่งกระแอมเบาๆ รู้สึกพอตื่นขึ้นมาแล้วทั่วร่างกระปรี้กระเปร่า
เสี่ยวเฉี่ยวพลันรู้สึกตัว รีบหันมา
“คุณชายท่านตื่นแล้ว! ในครัวยังมีน้ำแกงเห็ดหูหนูหม้อใหญ่ คุณชายต้องการสักชามไหม?”
“ตอนนี้เวลาใดแล้ว?”
“ใกล้ถึงยามไฮ่แล้ว” เสี่ยวเฉี่ยวรีบตอบ
ลู่เซิ่งคำนวณ ยามไฮ่เป็นช่วงสามทุ่มถึงสี่ทุ่ม
“ดึกขนาดนี้แล้ว สามคนที่ออกไปตอนเช้ามีข่าวส่งกลับมาไหม?”
“ท่านหมายถึงพวกเต้าจ่าง?” เสี่ยวเฉี่ยวถาม
“ถูกต้อง”
“พี่ใหญ่อวี๋ฮั่นรออยู่ด้านนอกมานแล้ว สมควรมีข่าว” เสี่ยวเฉี่ยวตอบ
“ให้อวี๋ฮั่นเข้ามาเถอะ”
ลู่เซิ่งนวดขมับ เริ่มลงเตียงใส่เสื้อ
รอจนเขาสวมชุดนอกเรียบร้อย อวี๋ฮั่นชายฉกรรจ์ร่างกำยำก่อนหน้าผู้นั้นก็เดินเข้ามา
“คุณชายใหญ่” เขาประสานมือคำนับ
“เหยียนไคเต้าจ่างผู้นั้นมีข่าวแล้ว?”
“ขอรับ เหยียนไคเต้าจ่างไปสกุลเจิ้ง ก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วยาม จัดการคดีคนหายตัวคล้ายๆ กันก่อนหน้านี้ของสกุลเจิ้งแล้ว ตอนนี้ไปที่อยู่เดิมของสกุลสวี” พูดถึงเหยียนไค อวี๋ฮั่นบนใบหน้าฉายแววเลื่อมใส
คนผู้นี้ถึงกับแก้ไขเรื่องลี้ลับนั่นได้เร็วขนาดนี้
พึงทราบว่าเขาเป็นคนที่เคยเห็นลักษณะของผีล่อลวงมก่อน สิงร่างได้ บินได้ ความเร็วสูง บนร่างปรากฏควันพิษที่เข้มข้นสุดขีด แม้แต่คุณชายใหญ่ก็สัมผัสไม่ได้ถูกกระบวนท่าเข้า
ตัวประหลาดเช่นนี้ เต้าจ่างผู้นี้ถึงกับจัดการได้อย่างผ่อนคลาย สมกับเป็นยอดฝีมือ
ลู่เซิ่งกลับไม่ประหลาดใจ
“เช่นนั้นทางคุณหนูจวนเฟิงเล่า?”
“ตรวจเจอเงื่อนงำส่วนหนึ่งแล้ว ข้าน้อยให้คนหลายคนติดตามคุณหนูจวนเฟิงออกเมืองแล้ว สมควรมีข่าวส่งกลับมาอย่างรวดเร็ว”
อวี๋ฮั่นตอบ
“สมเป็นมือาชีพ เรื่องเหล่านี้อยู่ในมือพวกเขา ไม่เกินวันก็มีเบาะแสเงื่อนงำแล้ว” ลู่เซิ่งทอดถอนใจคำหนึ่ง “ไปเถอะ เป็นเพื่อนข้ากินอาหาร หวังว่าน้องข้าจะไม่เป็นไร”
อวี๋ฮั่นกับเสี่ยวเฉี่ยวไม่กล้าขานรับ เรื่องแบบนี้ พวกเขาในฐานะข้ารับใช้ไม่ว่าตอบอย่างไร ล้วนเป็นเรื่องยุ่งยาก
ลู่เซิ่งพาคนสองคนออกจากห้อง ประตูยังเฝ้าด้วยผู้คุ้มกันสองคน ด้านนอกจัดเตรียมผักสุราอาหารโอชาโต๊ะหนึ่ง
หญิงรับใช้หลายคนเช็ดชามตะเกียบจอกสุราด้วยการเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว
ลู่เซิ่งนั่งลง หยิบตะเกียงขึ้นมาคีบกับคำหนึ่ง ยัดเข้าปากค่อยเริ่มกิน
“มีข่าวแล้ว! คุณชายใหญ่! มีข่าวแล้ว!”
ทันใดนั้นนอกตัวลานแว่วเสียงเรียกเร่งร้อน
ลู่เซิ่งยืนขึ้น เห็นที่ประตูลาน ข้ารับใช้ขโยกเขยถลันเข้ามา ทางหนึ่งหอบหายใจทางหนึ่งกล่าวเสียงดัง
“คุณหนูสอง มีข่าวของคุณหนูสองแล้ว! อยู่ที่อารามร้างนอกเมือง!”
นอกเมืองเก้าประสานมีอารามสามแห่ง แต่หากบอกว่าเป็นอารามร้าง ก็มีแค่แห่งเดียว
อยู่ที่ทางเหนือของเมืองเก้าประสาน ใกล้กับทะเลน้ำแข็งสีขาว เป็นเขาร้างทอดยาวลูกหนึ่ง บนเขามีอารามแห่งหนึ่ง ไม่ทราบว่าบูชาเทพเจ้าองค์ไหน ยิ่งไม่รู้ว่าสร้างขึ้นตอนไหน
ลู่เซิ่งรู้จักที่แห่งนั้น ยังเป็นตอนเดินเล่นวัยเด็ก ไปมาหลายครั้ง
เมื่อด้านนอกฝนตก พวกเขาไปหลบที่อารามร้างนั่น
“อารามที่ใกล้ทะเลสาบน้ำแข็งสีขาวนั่น?” ลู่เซิ่งสอบถาม
“เป็นที่นั่นจริงๆ” ข้ารับใช้ผู้นี้รีบตอบ “คุณหนูจวนเฟิงบอกว่า คนที่หายตัวเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะอยู่รวมในอารามแห่งนั้น ให้พวกเราไปตรวจสอบดูด้วยตัวเองได้”
“พวกเหยียนไคเต้าจ่างเล่า?”
“พวกเขามุ่งหน้าไปก่อนแล้ว!”
ลู่เซิ่งหยีตา ร่างกายเขาเพิ่งดี เดิมไม่สมควรรีบไปร่วมความคึกครื้นเช่นนี้
แต่ว่าโอกาสหายาก
เหยียนไคเต้าหยินผู้นี้ถ้าหากรั้งอยู่นี่นานยังดี แต่ว่าดูจากข้อมูลของอีกฝ่าย พวกเหยียนไคไม่เหมือนต้องการรั้งอยู่นี่นาน ยิ่งเหมือนกำลังตามตรวจสอบเบาะแสอันใด ผ่านทางมาที่นี่
‘ดูเหมือนถ้าต้องการลอกเลียนวิชาลับขับไล่ผีหรือวิชาลึกล้ำอันใดจากนักพรตผู้นี้ ยังต้องคิดหาวิธีดีๆ’
แผนการในตอนแรกของลู่เซิ่งก็คือ เอาวิชาหทัยที่พวกผู้ฝึกฝนปราณผู้บำเพ็ญเป็นเซียนในตำนานส่วนหนึ่งใช้มาจากตัวเหยียนไค
ในเมื่อสิ่งของอย่างภูติผีมีแล้ว เช่นนั้นวิชาของผู้บำเพ็ญเป็นเซียนชนิดนั้นอาจจะมีเหมือนกัน
“เรียกคนสิบกว่าคนไปดูด้วยกัน”
คิดถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งออกคำสั่ง
“ขอรับ!” อวี๋ฮั่นรีบขานรับ
…
ลมวิกาลส่งเสียงหวีดหวิว ความหนาวผิดปกติทิ่มแทงกระดูก
ระหว่างกลุ่มเขา เส้นสายยาวเหยียดที่เกิดเพราะคบเพลิงสีแดงรวมตัวกันเส้นหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วระหว่างเขา
คนที่นำหน้าเป็นลู่เซิ่งที่ขี่ม้า ทั่วร่างห่อเสื้อหนาตัวใหญ่หนา
ด้านหลังเขาเป็นอวี๋ฮั่น จากนั้นเป็นผู้คุ้มกันสิบกว่าคนที่เหลือ
กลุ่มคนเดินทางในราตรีหนึ่่งก้านธูป อย่างรวดเร็วก็ถึงเส้นทางที่เชื่อมไปยังอารามร้างที่ซึ่งจวนเฟิงบอก
ขบวนคนถือคบเพลิง บนร่างพกพาอาวุธจำพวกดาบกระบี่เกาทัณฑ์ สวมเสื้อหนังหมวกเกราะ ดูเหมือนไม่แตกต่างกับทหารตัวจริงเท่าไหร่นัก
ทุกคนเดินหน้าท่ามกลางลมหนาวหลายร้อยก้าว ในที่สุด ระหว่างป่าเขาแห่งหนึ่งตรงหน้าปรากฏอารามเก่าสีเหลืองเทาที่ผุพังเละเทะอารามหนึ่ง
ในอารามที่ตอนแรกมืดมิดสงบนิ่ง ตอนนี้ส่องแสงไฟกะพริบๆ ยังมีเสียงตะโกนของเงาคนที่เห็นรางๆ
ลมหนาวแรงเกินไป ลู่เซิ่งตั้งใจฟัง ข้างหูเพียงได้ยินเสียงลม กลบเสียงในอารามร้าง
ตอนห่างจากอารามยังมีอีกร้อยกว่า เขายกมือขึ้น บอกให้ขบวนคนหยุดลง
ขณะนี้อยู่ใกล้แล้ว ทุกคนต่างได้ยินเสียงตะโกนแว่วจากด้านในอาราม สมควรเป็นเหยียนไคเต้าจ่าง
“คุณชายใหญ่ พวกเราควรทำอย่างไร”
อวี๋ฮั่นตึงเครียดอยู่บ้าง หน้าผากมีเหงื่อผุดขึ้น
“ไม่รีบ” ลู่เซิ่งกระชับเสื้อขนจิ้งจอกบนร่าง ขนจิ้งจอกสีขาวหิมะนุ่มนิ่มห่อคอเขาไว้แน่น ดูแล้วรู้สึกอบอุ่นยิ่ง
“พวกเราไปตอนนี้ ได้แต่เป็นตัวถ่วงเต้าจ่าง ดังนั้นไม่อาจรีบ”
ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม
ทุกคนรออีกสักพัก แสงไฟในอารามค่อยๆ ยิ่งมายิ่งเจิดจ้า เสียงตะโกนของเหยียนไคเต้าจ่างชัดเจนกระจ่างมากขึ้น
ลู่เซิ่งรออย่างสงบอยู่ด้านนอกพักหนึ่ง จนกระทั่งในอารามค่อยๆ ไม่มีเสียงตวาด เขาค่อยบอกให้ผู้คุ้มกันคนหนึ่งเอาคบเพลิงแท่งหนึ่งให้ตัวเอง
ตนถือคบเพลิงเข้าใกล้อาราม
อวี๋ฮั่นคิดห้ามปราม แต่พอนึกอีกครั้ง ก็กัดฟัน
“ติดตาม!” เขากล่าวเสียงดัง เดินตามลู่เซิ่งไปเป็นคนที่สอง
ข้ารับใช้ผู้คุ้มกันที่เหลือต่างก็ขนลุกอยู่บ้าง แต่ว่ากฎในจวนดุจภูผา มิอาจไม่ตามอวี๋ฮั่นไปด้านหน้า
ถึงแม้มีเหยียนไคขวางอยู่ด้านหน้า ยังมีคุณชายใหญ่อยู่ด้านหน้า แต่ว่าผู้คุ้มกันข้ารับใช้เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นลูกเจี๊ยบ ไม่เคยเห็นเลือด ทนอยู่ในสภาพเช่นนี้โดยไม่หลบหนีก็ไม่เลวมากแล้ว
………………………………………….