ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 290 ไฟ (6)
บทที่ 290 ไฟ (6)
ฉึบ ฉึบ ฉึบ!
ลู่เซิ่งหลบการโดนหนีบได้อย่างสบายๆ แต่กลับใช้มือฉีกก้ามทั้งหมดจนขาด
เสียงโห่ร้องทั้งหมดเงียบสงัดลงในพริบตา
ผู้แพร่กระจายปราณมารจินตนาการไม่ออกเลยว่า แม่ทัพมารที่ควบคุมเมล็ดมารขนาดยักษ์จะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายแบบนี้…
นี่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
ตูม!
ลู่เซิ่งเหยียบลงบนกระดองขนาดยักษ์ ปูยักษ์ยุบตัวลงพร้อมเสียงกึกก้อง แน่นิ่งไม่ไหวติงอีก
“นอกจากพละกำลังก็ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว สร้างของแบบนี้ขึ้นมามีความหมายอะไร” ลู่เซิ่งสงสัยอยู่บ้าง แต่ว่าแก่นมารที่มีให้ กลับมีมากมาย
เขามองรอบทิศอีกครั้ง เหล่าผู้แพร่กระจายปราณมารพากันหนีเตลิดไปรอบๆ อย่างตกใจกลัว
“หนีก็ไม่มีความหมาย” ลู่เซิ่งยื่นมืออกมา ปราณมารสีม่วงอมดำหลายสายวนเวียนบนฝ่ามือเขา ความเร็วการหมุนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทันไรก็กลายเป็นพายุขนาดมหึมา พัดผู้แพร่กระจายปราณมารทั้งหมดในถ้ำขึ้นมา
ผู้แพร่กระจายปราณมารจำนวนมากลอยคว้างขึ้น แล้วถูกดูดเข้าไปในก้อนสีดำตรงกลางฝ่ามือลู่เซิ่ง
ก้อนสีดำรักษาการหมุนด้วยความเร็วสูงไว้ เลือดเนื้อและแก่นมารที่ลอยเข้ามาหลอมรวมทั้งหมดถูกไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรด้านในก้อนสีดำเผาไหม้ และถูกดูดซับกลายเป็นแก่นมารบริสุทธิ์ ก่อนจะหลอมรวมเข้าไปในร่างลู่เซิ่ง
เสียงร้องโหยหวน เสียงร้องไห้ เสียงตะโกน เสียงร้องอย่างคับแค้น
ผู้แพร่กระจายปราณมารนับไม่ถ้วนลอยขึ้นแล้วหายเข้าไปในก้อนสีดำ
สักพักหนึ่งผู้แพร่กระจายปราณมารที่อยู่รอบๆ ก็ถูกกลืนกินจนหมด เหลือแค่ซากปูยักษ์
‘น่าเสียดายที่ไม่เจอมารโบราณ…’ ลู่เซิ่งเสียดายอยู่บ้าง เขากระทืบเท้าลง พื้นดินพลันระเบิด แท่นบูชาเคลื่อนออก เผยให้เห็นประตูไปสู่ผนึกชั้นถัดไป
‘ยังเหลือพลังอาวรณ์มากพอ ลองพัฒนาอีกสักขั้นหนึ่งได้…ทว่าการยกระดับร่างมารในตอนนี้ไม่ได้ใช้แค่พลังอาวรณ์เท่านั้น ต้องใช้ปราณมารกับแก่นมารมากกว่าเดิมด้วย…’
ลู่เซิ่งมองปากหลุมสีดำทะมึนเหมือนบึงน้ำสีดำล้ำลึก ร่างกายหดลง แล้วกระโดดเข้าไป
หลุมในครั้งนี้ลึกถึงขีดสุด เหมือนกับตกลงในหลุมยาวแคบ เกือบๆ ห้าอึดใจ ลู่เซิ่งค่อยหล่นลงบนพื้นพร้อมเสียงดังสนั่น
เพิ่งจะถึงพื้น หนวดยักษ์เส้นหนึ่งที่ใหญ่เกือบเท่าเอวเขาก็พุ่งมาจากด้านข้าง
หนวดขนาดมหึมา มาพร้อมเสียงแหวกลมที่หน้ากลัว พริบตาเดียวก็ถึงด้านหน้าลู่เซิ่ง
…
สำนักมารกำเนิด บนผิวดิน
เหอเซียงจื่อนำคนมาคุ้มครองที่ปากถ้ำซึ่งใช้เข้าออก ป้องกันไม่ให้มารจากภายนอกบุกรุกเข้าสำนัก
ยังดีที่ตรงนี้อยู่ในป่าเขา ไม่มีมารเพ่นพ่าน ทัพมารทั้งหมดรวมตัวโจมตีเมืองใหญ่ทั้งเก้าซึ่งรวมถึงเมืองกระดิ่งขาวและเมืองพันนาวา
‘ทำไมอยู่ๆ ก็เกิดภัยพิบัติมาร อาจารย์ยังเข้าร่วมงานชุมนุมย่อยอยู่ ไม่รู้ว่าจะได้รับผลกระทบหรือไม่ ศิษย์น้องลู่เซิ่งก็ไม่รู้อยู่ไหน…’ แม้เหอเซียงจื่อจะยืนอยู่ด้านหน้าทุกคน แต่ในใจกลับสับสน
นางต้องทำท่าเหมือนมีแผนการอยู่แล้ว นี่เป็นเคล็ดลับที่สตรีกางร่มอิงอิงบอกนาง ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายขนาดไหน ก็ต้องรักษาความเยือกเย็นไว้ ห้ามแสดงอารมณ์ จึงค่อยรักษาขวัญกำลังใจไว้ได้ ไม่อย่างนั้นหากกลัวโดยยังไม่ทันสู้ แม้ศัตรูยังมาไม่ถึง ก็จะแพ้ภัยตัวเอง
“เหอเซียงจื่อ ให้ข้าดีกว่า เจ้ายืนมาสี่ชั่วยามแล้วนะ สมควรไปพักผ่อนแล้ว” จ่านข่งหนิงและจ่านหงเซิงสองพี่น้องก็อยู่ด้วย ผู้พูดคือจ่านข่งหนิง ก่อนหน้านี้เขามาหาลู่เซิ่งด้วยกันกับจ่านหงเซิง ภายหลังจากไป ทว่ายังกลับไม่ถึงสำนักตัวเอง ก็เจอภัยพิบัติมารเข้าก่อน ด้วยความจนปัญญาจึงได้แต่กลับมาสำนักมารกำเนิด เฝ้าป้องกันโดยอาศัยภูมิประเทศ รอคอยทัพสนับสนุน
“ไม่เป็นไร…ข้าไม่เหนื่อย แค่เป็นห่วงอยู่บ้าง…ข่าวทางในเมืองขาดหายไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีที่อยู่ของอาจารย์กับศิษย์น้องลู่…ข้ากังวล…” เหอเซียงจื่อนิ่วหน้าพลางกล่าวเสียงเบา
“ถึงอย่างไรผู้อาวุโสลิ่วซานจื่อก็เป็นผู้เข้มแข็งระดับอสรพิษ ถ้าหากคิดหนีจริงๆ ต่อให้เป็นทัพมาร ก็สมควรขัดขวางไม่ได้…” จ่านข่งหนิงปลอบ
ศิษย์สำนักมารกำเนิดที่อยู่รอบๆ เกิดความเชื่อมั่น เจ้าสำนักเป็นยอดฝีมือระดับอสรพิษ ไม่มีทางเกิดเรื่องง่ายๆ คนที่ควรเป็นห่วงคือพวกเขาเอง ต้องเฝ้าสำนักไว้ ไม่อาจให้ทัพมารบุกโจมตีได้ง่ายๆ
เหอเซียงจื่อรีบปลุกกำลังใจทุกคน ขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง
ขณะที่พูดกันอยู่ ก็มีเสียงฝีเท้าม้าควบตะบึงแว่วมาไกลๆ ศิษย์คนหนึ่งที่ลาดตระเวนด้านบนพื้นดินตะโกนลงมาอย่างยินดี
“มีคนมาแล้ว! เป็นธงรบของตระกูลซั่งหยาง!”
ในเวลาแบบนี้ ขุมกำลังยิ่งมากย่อมยิ่งดี แถมยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งประเสริฐ ยิ่งไปกว่านั้นสำนักมารกำเนิดยังมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลซั่งหยาง เจ้าสำนักกับคุณหนูซั่งหยางจิ่วหลี่รู้จักกัน อีกทั้งผู้นำอย่างศิษย์พี่ลู่เซิ่งยังเป็นผู้รับผิดชอบหลักในแดนเหนือของตระกูลซั่งหยาง และเป็นขุนพลอันดับหนึ่งในสังกัดของซั่งหยางจิ่วหลี่
ด้วยความสัมพันธ์ที่แนบแน่นแบบนี้ คนในสำนักมารกำเนิดย่อมมองขุมกำลังของตระกูลซั่งหยางอย่างเป็นมิตร
ท่ามกลางเสียบฝีเท้าห้อตะบึง ซั่งหยางจิ่วหลี่นำหัวกะทิยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งห้อม้ามาถึงพร้อมกับไอสังหาร
ซั่งหยางจิ่วหลี่พลิกตัวลงจากหลังม้า สายตาที่เด็ดขาดกวาดมองคนของสำนักมารกำเนิดที่เข้ามาต้อนรับ
“ข้าคือซั่งหยางจิ่วหลี่! ลู่เซิ่งเล่า!? รีบให้เขามา พวกเราจะต้องหนีทันที!”
“หนีหรือ” เหอเซียงจื่องุนงง เสียงสั่นน้อยๆ “บังอาจถามใต้เท้าจิ่วหลี่ สถานการณ์ในเมืองมาถึงขั้นนี้แล้วหรือ”
“แย่กว่าที่พวกเจ้าจินตนาการเสียอีก!” ซั่งหยางจิ่วหลี่กล่าวเสียงเฉียบขาด “ลู่เซิ่ง! รีบออกมาพบข้า! ถ้าหากคนในสำนักมารกำเนิดของเจ้าต้องการ ก็จากไปพร้อมกับเราได้ เมืองกระดิ่งขาวรักษาไม่ไหวแล้ว!”
ซั่งหยางหลิงฮุ่ยเดินออกมาจากกลุ่มคนของสำนักมารกำเนิด เข้าไปในขบวนตระกูลซั่งหยางเป็นคนแรก
“ท่านพี่ ศิษย์พี่ลู่กักตนไม่ทราบไปอยู่ไหน ไม่มีใครหาเจอ เจ้าสำนักของสำนักอื่นเล่า สำนักมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์คอยสะกด หรือว่าแม้เป็นแบบนี้ก็ยัง…”
“ผู้ถืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ตายไปสี่คนแล้ว!” ซั่งหยางจิ่วหลี่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ซั่งหยางหลิงฮุ่ยกับคนที่เหลือสะดุ้งในทันที จากนั้นต่างก็สีหน้าซีดขาว ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี
หลังเกิดเรื่อง ผู้ที่ซั่งหยางจิ่วหลี่นึกถึงเป็นอันดับแรกก็คือสี่ขุนพลใต้สังกัดตัวเอง คนแรกย่อมเป็นลู่เซิ่ง
นอกจากลู่เซิ่งซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลักในแดนเหนือจะะมีพลังเหี้ยมหาญแล้ว ตัวเขายังมีพรสวรรค์ในการดูแลที่นางให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ดั้งนั้นพอหลุดจากการรบ นางจึงมาที่นี่ทันที
“สำนักมารกำเนิดของเรามีภูมิประเทศอันตราย ต่อให้เจอทัพมารก็หนีไปผ่านทางลับอีกเส้นได้ ทั้งมีวิธีรับมือที่สมบูรณ์ในการเผชิญภัยพิบัติมาร ใต้เท้าจิ่วหลี่เข้ามาพักผ่อนเอาแรงก่อนดีกว่า พวกเราค่อยๆ ปรึกษากันได้”
ซั่งหยางจิ่วหลี่ใคร่ครวญ หันไปมองใบหน้าที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของทุกคน นางเป็นผู้เข้มแข็งขอบเขตอสรพิษระดับสามขั้นกลาง ย่อมมีความอึดเหนือใคร แต่ว่าหัวกะทิของตระกูลซั่งหยางที่อยู่ด้านหลังกลับไม่ได้แข็งแกร่งเท่านาง
“ได้ พักผ่อนกันก่อน”
ทุกคนเหลือคนเฝ้าระวังไว้ คนที่เหลือพากันเข้าไปในถ้ำ เดินเข้าลานกว้างของสำนักมารกำเนิดผ่านเส้นทางถ้ำ
แต่ไม่มีคนสังเกตเห็นเลยว่าด้านล่างเสาศิลาที่ตั้งตระหง่านบนลานกว้างเต็มไปด้วยรอยแตกสีเทานับไม่ถ้วนแล้ว ในรอยแตกคือหมอกควันสีขาวอมเทาอันหนาแน่น
จิตที่ยิ่งใหญ่และบ้าคลั่งค่อยๆ ตื่นขึ้นจากใต้ดิน
หมอกควันมากมายเริ่มหลอมรวมเข้ากับหมอกควันในมุมที่มืดครึ้มของสำนักมารกำเนิดอย่างเงียบเชียบ
……
ในซอกหลืบที่วังเวงไร้ผู้คน
ฟู่ว…
ไอหมอกนับไม่ถ้วนรวมตัวกันด้วยความเร็วสูง ใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็ผนึกตัวเป็นขาข้างหนึ่ง ขามหึมาสีฟ้าที่ใหญ่ถึงห้าหมี่ข้างหนึ่ง
“เมฆดำ…เมฆดำ…เมฆดำ…” เสียงที่เหมือนหวาดกลัว เหมือนตะโกน เหมือนร่ำไห้ดังก้องขื้นพร้อมกัน
ขายักษ์ก้าวไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า จากนั้นขายักษ์อีกข้างก็ผนึกตัวขึ้นด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ขาทั้งสองข้างก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างไร้สุ้มเสียง ขณะเดิน โครงสร้างของยักษ์สีฟ้าขนาดมโหฬารก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา
เส้นเลือดและกล้ามเนื้อปรากฏบนผิวของยักษ์ ดวงตาสองข้างมีม่านตาสีขาว ริ้วเลือดจางๆ ปกคลุมอยู่
โฮก!
ยักษ์ส่งเสียงคำรามใส่ลานกว้างที่มีเสาศิลาของสำนักมารกำเนิดอยู่ไกลๆ
ไม่มีเสียง มีแต่คลื่นไร้รูปร่าง ขยายตามพื้นดินออกไปรอบๆ
ตูม!
สิ่งก่อสร้างสีดำสนิทเยื้องไปด้านหน้าทางขวาถล่มลงมาพร้อมเสียงดังสนั่น จากนั้นผนังผืนใหญ่ด้านหลังก็พากันระเบิดแหลกออก
ท่ามกลางเสียงโครมคราม อาณาเขตรูปพัดผืนใหญ่ด้านหน้าระเบิดแตกโดยมียักษ์เป็นศูนย์กลาง
“ข้า…เป่ยนี่ราชาเมฆดำ…ในที่สุดก็หลุดพ้น…ในที่สุดก็…ฟื้นคืนชีพ…” ยักษ์แผดเสียงทุ้มต่ำ “พวกหนอนแห่งสำนักมารกำเนิด จงตาย…จงตายให้หมด…ฮ่าๆๆ!” เขาเปลี่ยนจากคำรามเสียงทุ้มเป็นหัวเราะลั่น
“ตัวอะไร!?” ซั่งหยางจิ่วหลี่ที่นั่งพักผ่อนในโถต้อนรับพลันลืมตาโต มองทิศทางที่ยักษ์สีฟ้ารวมตัว สีหน้าเคร่งเครียด “ตัวอะไร โผล่มาจากไหน?!”
“ตัวอะไร” เหอเซียงจื่องุนงง ที่นี่คือหน่วยหลักของสำนักมารกำเนิด ยังจะมีอะไรได้
ทันใดนั้นนางเลื่อนสายตาไปบนลานกว้าง แล้วตะลึงงัน
“เป็น…เป็นไปได้อย่างไร!?” เหอเซียงจื่อลุกพรวดขึ้น โต๊ะด้านหน้าถูกชนล้มลงกับพื้น แล้วแตกออกส่งเสียงกังวานใส
ทุกคนมองไปตามสายตานาง กลับเห็นเสาศิลามหึมาที่ไม่เปลี่ยนแปลงมาพันปีบนลานกว้างเต็มไปด้วยรอยแตกสีเทา สัญลักษณ์สีแดงด้านบนมืดสลัวไร้แสง เหมือนกับแสงไฟที่ส่ายไหวกลางสายลม อาจจะดับได้ตลอดเวลา
ทันใดนั้น ศิษย์สำนักมารกำเนิดก็ค่อยๆ ลุกขึ้น ต่างหันมองไปลานกว้างอย่างตกตะลึง
สตรีกางร่ม สวีชุย นิ่งซานจากพรรควาฬแดงกำลังป้อนกระบวนท่าฝึกดาบอยู่ ตอนนี้หยุดชะงักโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับมองไปยังเสาหิน
ในถ้ำที่ดำมืดแห่งหนึ่ง เงาร่างสวมอาภรณ์ขาวกอดขวานขดตัวอยู่ในมุม เส้นแสงลอดผ่านร่องแยกที่เชื่อมไปยังโลกภายนอกเพียงหนึ่งเดียวในถ้ำ ส่องต้องใบหน้านางพอดี
“ผนึก…” เงาร่างอาภรณ์ขาวมองเสาศิลาที่กำลังพังทลายผ่านร่องแยกอย่างเงียบๆ
ด้านในสวนสุสาน ซ่งจื่ออันที่อยู่ในสภาพร่างกึ่งโปร่งแสงสีหน้าเขียวคล้ำ จับรั้วโลหะด้านข้างแน่น มองดูเสาศิลาบนลานกว้างแตกออกเช่นนี้
“ผนึก…ในที่สุด…”
ตูม
เกิดเสียงดังสนั่น
เสาศิลาระเบิดหมอกสีเทาจำนวนมากออกมาจากด้านในเหมือนกับท่อแก้วที่ทนต่อไปไม่ไหว กระแทกเศษก้อนหินกระจายออกไปรอบๆ ดุจดาวตก
ในที่สุดผนึกเมื่อหลายพันปีก่อนของสำนักมารกำเนิดก็พังทลายแล้ว…
…
ใต้ดิน
ลู่เซิ่งยื่นมือไปจับหนวดยักษ์ เปลวไฟสีม่วงนับไม่ถ้วนระเบิดออก ถัดจากนั้นสนามพลังปั่นป่วนจิตใจจำนวนมากก็ขยายออกไป
หนวดยักษ์ระเบิดแหลก กลายเป็นของเหลวโปร่งแสงเหนียวหนืดนับไม่ถ้วน
“ข้าคือข่าเฟย ราชาแหล่งปฐพี ราชาแห่งหุบเหวมารชั้นสูงที่ปกครองชั้นที่ลึกที่สุด…”
เงาร่างมหึมาสูงชะลูดค่อยๆ เดินออกมาจากในความมืด
นั่นเป็นสัตว์ประหลาดน่ากลัวที่ร่างท่อนบนเป็นมนุษย์ ส่วนท่อนร่างเป็นหนวดปลาหมึกสีน้ำตาลขนาดใหญ่ ร่างของเขาสูงสามสิบหมี่ กว้างอย่างน้อยยี่สิบหมี่
“เจ้า…ไม่หนีหรือ” ดวงตาสองคู่ที่มีม่านตาสามดวงอันลี้ลับของลู่เซิ่งจ้องมองอีกฝ่าย เผยสีหน้าประหลาดใจ
ฟู่ว!
พื้นถ้ำของชั้นนี้มีเปลวไฟสีม่วงลุกไหม้ขึ้นมา ทะเลเพลิงสีม่วงล้อมพวกเขาไว้ตรงกลาง
……………………………………….