ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 293 ใต้หล้า (1)
บทที่ 293 ใต้หล้า (1)
“จงเผาผลาญ ทุกสิ่ง!” ลู่เซิ่งกางแขนสี่ข้างออก เปลวไฟสีดำอมม่วงลุกโชนขึ้นรอบตัวพร้อมกับเสียงกึกก้อง นั่นเป็นไฟหยินที่ถูกยกระดับจนถึงขีดสุดแล้ว
ไฟหยินอันน่าสะพรึงกลัวขยายออกไปรอบๆ ในชั่วเสี้ยววินาที แล้วเผาไหม้ทะเลหมอกสีฟ้าที่กระจายไปทั่ว
ตูม!
แสงสีม่วงกะพริบหลายครั้ง ทะเลหมอกถูกเผาโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ตำหนักวิชาลับไปถึงที่ว่างรอบๆ ที่อยู่ด้านนอกกลายเป็นทะเลเพลิงสีม่วงในชั่วอึดใจ
กองไฟอ้อมผ่านซ่งจื่ออัน ทว่าปกคลุมหินสีดำกับดาบยาวที่อยู่ด้านบนเข้าไปด้วย
อ๊าก!
มีเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังมาจากด้านในหินสีดำ ไฟหยินนี้ถึงขั้นสร้างแผลไหม้ให้แก่ราชามารโบราณระดับเสือดาวอสรพิษได้ ยิ่งอย่าว่าผู้ถูกผนึกที่ถูกผนึกมาหลายปี และไม่มีพลังถึงระดับราชามารชั้นล่างอย่างเขา
หินดำร้องโหยหวน หินทั้งก้อนถูกเผาจนร้อนลวกกลายเป็นสีแดง ผิวคล้ายละลายจนจนมีหินหนืดหยดลงมา
ซ่งจื่ออันยืนอึ้งอยู่กับที่ ตอนนี้ห้วงสมองยังสบสนอยู่ เขาเห็นว่าคนที่ลอยมาคือลู่เซิ่งชัดๆ กระนั้น…เหตุใดลู่เซิ่งจึงมีพลังที่น่ากลัวและแข็งแกร่งถึงขนาดนี้
‘หรือจะถูกราชามารสิงร่างแล้ว’ เขามองทะเลเพลิงสีม่วงตรงหน้าด้วยจิตใจอันสับสน
“หลิง!” อยู่ๆ เขาก็รู้สึกตัว ก่อนพุ่งเข้าไปหาหินสีดำ
สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ ไม่ว่าเขาไปตรงไหน ไฟสีม่วงทั้งหมดล้วนถอยหนี เหมือนกับหลบเลี่ยงให้เขาเอง
หินสีดำได้พักหายใจชั่วคราวเนื่องจากไฟสีม่วงที่อยู่รอบๆ สลายตัวหลังเขามาถึง
“ไม่เป็นไรกระมัง!” ซ่งจื่ออันยื่นมือไปลูบหินดำ แต่เพิ่งแตะถูกก็รู้สึกปลวดแปลบทันที มือเกิดลวดลายกึ่งโปร่งแสงขึ้นมา นี่เป็นการแสดงออกทางธรรมชาติหลังร่างวิญญาณได้รับความเสียหาย มือไปถึงข้อศอกเริ่มพร่ามัวบิดเบี้ยว แล้วสลายไป เขาตกใจจนรีบชักมือกลับ
โฮก!
ไกลออกไปแว่วเสียงคำรามอันน่ากลัวดังมาอย่างฉับพลัน
ในทะเลเพลิง ยักษ์สีฟ้าตนหนึ่งรวมร่างขึ้นมาใหม่ เขาพยายามจะลอยตัวขึ้น เพื่อหนีจากทะเลเพลิง
ทว่าเขาเพิ่งจะทะยานขึ้น ก็ถูกมือนับไม่ถ้วนที่ผนึกรวมจากเปลวไฟสีม่วงจับตัวเอาไว้เป็นชั้นๆ มือเหล่านี้ล้วนใหญ่เท่าเอวของเขา มือหลายสิบข้างยื่นออกมา จากนั้นก็ลากเขากลับเข้าไปในกองเพลิงอีกครั้ง
“ไม่!” ราชาเมฆดำแผดเสียง คิดจะทะยานขึ้นเพื่อให้ส่วนหัวพ้นจากทะเลเพลิง
“ทุกอย่างจงลุกไหม้เถอะ!” ลู่เซิ่งกางสองแขนออก แขนสองข้างด้านหลังกดราชาเมฆดำลงไปอีกรอบ
ตูม!
“ข้า…” ราชาเมฆดำถูกกดกลับไปในกองเพลิง คิดจะกล่าววาจาแต่สำลักหินหนืด
ร่างกายของเขาเริ่มหลอมละลาย ร่างขนาดมหึมาเดิมทีเกิดจากหมอกเมฆไร้รูปร่าง ทว่าตอนนี้เมื่อเผชิญกับพิษรุนแรงและและอุณหภูมิสูง เลือดเนื้อส่วนหนึ่งบนตัวก็เริ่มระเหยและเปลี่ยนคุณสมบัติอย่างมิอาจควบคุม
ไกลออกไปกว่านั้น พวกซั่งหยางจิ่วหลี่เร่งรุดมาถึง ทว่าเพียงกล้ายืนมองอยู่รอบนอกทะเลเพลิง ต่างคนต่างแสดงสีหน้าหวาดผวา ไม่รู้ว่าด้านในเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทะเลเพลิงเผาไอหมอกสีฟ้า ด้านบนคือหมอกควันสีดำเข้มข้น มองไม่เห็นว่าด้านในเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพียงแต่ได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธของราชาเมฆดำดังมา
ทะเลเพลิงทั้งผืนปกคลุมอาณาเขตบริเวณรอบๆ ไว้โดยสมบูรณ์ หินหลอมละลาย ตำหนักใหญ่หลอมละลาย หุ่นเชิดคุมกฎที่เพิ่งมุดออกมาจากด้านในซากปรักหักพังส่วนหนึ่งยังเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หลอมละลายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจมลงไปในหินหนืด
เพียงแค่สิบกว่าลมหายใจ อาณาเขตผืนนี้ก็ละลายกลายเป็นทะเลสาบหินหนืดสีแดงอมม่วง
ใจกลางลำทะเลสาบ ลู่เซิ่งกดศีรษะของราชาเมฆดำไว้ในหินหนืดจนเขาไม่อาจลุกขึ้นมาได้
หลังจากเวลาค่อยๆ ผ่านไป ราชาเมฆดำก็เริ่มขัดขืนน้อยลง เสียงคำรามแผ่วเบาลง ค่อยๆ กลายเป็นเสียงร้องขอชีวิต
ลู่เซิ่งสีหน้าไร้อารมณ์ ยังคงกดราชาเมฆดำเอาไว้ พร้อมกับปล่อยให้ไฟหยินเผาหลาญ ผ่านไปหลายสิบอึดใจ ร่างของราชาเมฆดำก็หลอมละลายโดยสมบูรณ์ โดยสลายไปในหินหนืด
เหลือแค่กะโหลกที่อยู่ในมือลู่เซิ่ง
“ข้า…ไม่ยินยอม…” กะโหลกของราชาเมฆดำพึมพำ เขายังไม่ทันได้ใช้วิชาลับ ก็ถูกจัดการในเสี้ยววินาที จึงคับแค้นใจถึงขีดสุด
เปรี้ยง
ลู่เซิ่งประกบสองมือเข้าหากัน บดขยี้กะโหลกให้ระเบิดกลายเป็นหมอกสีฟ้ากลุ่มหนึ่ง จากนั้นหมอกก็ถูกไฟเผาในพริบตา
แก่นมารที่ต่อเนื่องไม่ขาดสายส่งถ่ายจากไฟสีม่วงเข้าไปในตัวเขา แม้จะสู้มารโบราณไม่ได้ แต่ก็ยังนับว่าไม่เลว ถึงอย่างไรก็เป็นระดับราชามาร แม้จะอ่อนแอไปหน่อยถึงขั้นตายเพราะโดนกดร่างไว้ก็ตาม
ลู่เซิ่งที่ฆ่าราชาเมฆดำไปแล้วหดร่างกายลงด้วยความเร็วสูง ก่อนจะมองหินสีดำที่ซ่งจื่ออันปกป้องเอาไว้
“ซ่งจื่ออัน บังอาจสมคบคิดกับเผ่ามาร เจ้า…อยากตายหรือ” ลู่เซิ่งกำลังโกรธ เขาสังหรณ์ว่าขอแค่กินข่าเฟยมารโบราณตนนั้นไป ก็จะเลื่อนสู่ระดับการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติใหม่ได้อย่างแท้จริง ทว่าขาดไปอีกก้าวเดียว ด้วยระดับพลังของมารโบราณตนนั้น คิดจะกดดันให้มันสู้ตายกับตนอีกรอบ มีความยากเย็นถึงขีดสุด
“ข้า…!” ซ่งจื่ออันกลืนน้ำลาย ไม่ทราบว่าควรตอบอย่างไรดี “เจ้า…คือลู่เซิ่งหรือ?!”
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” ลู่เซิ่งตอบกลับอย่างเหลืออด สายตากลับมองไปที่หินยักษ์สีดำ เขามีแก่นมารไม่พอ ยังขาดอีกมาก กว่าจะเตรียมตัวเพื่อวิถีแปดมารสูงสุดในระดับต่อไปได้ ดังนั้นขณะมองหินยักษ์สีดำ สายตาจึงมีเลศนัยอยู่บ้าง
เหมือนกับสัตว์ร้ายที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารมองเหยื่อ ลู่เซิ่งที่ร่างกลับมามีขนาดเท่าคนธรรมดาในสภาพหยินโชติช่วงย่างสามขุมเข้าหาหินสีดำ
“สิ่งที่ผนึกไว้ในหินสีดำก้อนนี้คือราชามาร เจ้าจะต้องถูกราชามารล่อลวงแน่ ให้ข้าช่วยเจ้ากำจัดปัญหาให้เถอะ” ลู่เซิ่งกลืนน้ำลายพลางก้าวเข้าหาก้อนหินสีดำ
‘ข้า…ข้าไม่ได้ถูกล่อลวง!’ ซ่งจื่ออันอ้าปากคิดพูดประโยคนี้ แต่ว่านอกจากลมปากแล้ว กลับไม่ได้ยินเสียงใดๆ
ลู่เซิ่งกดดันเข้าใส่ทีละก้าว ยิ่งมายิ่งใกล้…
“ลู่เซิ่ง!” ทันใดนั้นมีเสียงตะโกนเรียกอย่างร้อนรนดังมาจากด้านหลังไกลๆ
ซั่งหยางจิ่วหลี่ทะยานร่างแล้วสะกิดเท้าใส่ก้อนหินที่เย็นเยียบก้อนหนึ่งใกล้ๆ จากนั้นก็พุ่งมาทางนี้อย่างแผ่วเบาราวนกนางนวลทะเล
“รีบไปเร็ว! ที่นี่ไม่ปลอดภัย!” นางไม่เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เพลิงโหมสีม่วงกับควันจากการลุกไหม้บดบังทัศนวิสัยทั้งหมดของนาง นางเพียงเห็นสัตว์ยักษ์ร่างมโหฬารตนหนึ่งพุ่งออกมาอย่างฉับพลัน หลังจากสะกดราชาเมฆดำได้แล้ว ก็หายตัวไป
ตุบ
ซั่งหยางจิ่วหลี่ทิ้งตัวลงด้านข้างลู่เซิ่ง แล้วจับแขนของเขาไว้
“ออกไปก่อนค่อยว่ากัน” นางไม่สนสี่สนแปด ลากลู่เซิ่งทะยานไปทันที
ซ่งจื่ออันกำลังจะเอ่ยคำตอนเห็นทั้งสองทะยานร่างจากไป
“เจ้าเองก็มาด้วย!” ซั่งหยางจิ่วหลี่อาศัยสภาวะโยนผ้าผืนหนึ่งมามัดร่างซ่งจื่ออันไว้ แล้วดึงเขาให้พุ่งไปยังริมทะเลสาบหินหนืดที่อยู่ไกลออกไป
เดิมทีลู่เซิ่งคิดจะจัดการหินสีดำ ทว่าในเมื่อซั่งหยางจิ่วหลี่มาถึงแล้ว เขาก็ไม่อาจเผยร่างอัปลักษณ์ในสภาพหยางโชติช่วงของตนเองได้อีก
เขาไม่คิดซ่อนเร้นพลัง ทว่าสภาพหยางโชติช่วงอัปลักษณ์เกินไปจริงๆ หยินหยางรวมเป็นหนึ่งก็ไม่ค่อยเหมือนมนุษย์เท่าไหร่ การใช้สภาพหยินโชติช่วงเพียงสภาพเดียวแสดงพลังเป็นแผนการในตอนแรกของเขา เดิมทีคิดกินมารในหินสีดำ กระนั้นในเมื่อถูกลากมาแล้ว อีกเดี๋ยวค่อยกลับมากินก็หาเป็นไรไม่
ทั้งสามคนร่อนลงข้างทะเลสาบหินหนืดอย่างแผ่วพลิ้ว ซั่งหยางจิ่วหลี่ค่อยเก็บผ้า ก่อนจะลากพวกลู่เซิ่งเดินไปหาพวกเหอเซียงจื่อที่รออยู่ไกลๆ
“หมอกเมฆกระจายตัวแล้ว!?” ไกลออกไปนางได้ยินเสียงโห่ร้อง
นางสำรวจดู เมฆหมอกรอบๆ หายไปด้วยความเร็วสูงจริงๆ ทะเลสาบหินหนืดสีม่วง เย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว ความร้อนด้านในโพรงถ้ำเป็นอุณหภูมิที่ทะเลสาบหินหนืดปล่อยออกมา
“สัตว์ยักษ์ร่างมหึมาเมื่อครู่นี้น่าจะจัดการยักษ์สีฟ้าไปได้ชั่วคราว” ซั่งหยางจิ่วหลี่ขมวดคิ้วถอนใจ “เร่งมือเข้า! พวกเราจะไปจากที่นี่ทันที! เกิดว่ายักษ์สีฟ้าตนนั้นกลับมาอีกได้ลำบากแน่!”
“ถูกต้อง! ใต้เท้าจิ่วหลี่กล่าวถูกต้องที่สุด ทุกคนอย่าเสียเวลา มุ่งหน้าไปบนพื้นดินทันที” ชายชราตระกูลซั่งหยางกล่าวเสียงกังวาน
พวกเหอเซียงจื่อเห็นลู่เซิ่งกลับมา พลันเหมือนเจอที่พึ่งทางใจ พากันรุมล้อมเข้ามา
“ศิษย์พี่ลู่!”
“ท่านผู้นำศิษย์พี่ลู่!”
“พี่ใหญ่ลู่!”
ทุกคนต่างตื่นเต้น พากันเล่าเรื่องยักษ์สีฟ้าที่เพิ่งเจอเมื่อครู่อย่างสับสนวุ่นวาย
“ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี” เหอเซียงจื่อมองลู่เซิ่งด้วยแววตาเป็นกังวล “จะเคลื่อนไหวกับตระกูลซั่งหยางหรือไม่”
ลู่เซิ่งมองคนของสำนักมารกำเนิด นิ่งซานพลันก้าวเข้ามาเล่าสถานการณ์ที่เกิดภัยพิบัติมารด้านนอกให้เขาฟังอย่างละเอียด
“ภัยพิบัติมารหรือ” ลู่เซิ่งย่นคิ้ว
“พวกเราจะไปทันที ลู่เซิ่ง เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่” ซั่งหยางจิ่วหลี่เข้ามาถาม “ข้าขอเตือนว่าให้เจ้าร่วมทางกับพวกเราดีกว่า เกิดว่ายักษ์สีฟ้าตนก่อนหน้านี้โผล่มาอีกล่ะก็…”
“ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “อาจารย์ลิ่วซานจื่อยังอยู่ที่เรือนสุดประจิม ข้าจะมุ่งหน้าไปเรือนสุดประจิมเพื่อพาเขากลับมา”
“เรือนสุดประจิมหรือ เจ้าบ้าไปแล้ว!” ซั่งหยางจิ่วหลี่ได้ยินดังนั้นพลันลืมตาโต “จากที่นี่ไปยังเรือนสุดประจิม เจ้ารู้ไหมว่าต้องเจอการปิดล้อมของทัพมารมากมายขนาดไหน”
ลู่เซิ่งย่อมไม่ได้บ้า เขาเพียงขาดแคลนปราณมารกำเนิดอย่างหนัก ดังนั้นจึงคิดกลืนกินปราณมารเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างไปรับคน
“ข้าไม่ได้บ้า” เขากวาดตามอง สายตากวาดผ่านร่างศิษย์สำนักมารกำเนิดทีละคน
“คนที่ยินดีติดตามข้าไปช่วยอาจารย์จงก้าวออกมา”
เงียบกริบ
ทุกคนต่างเงียบงัน หลายๆ คนเพิ่งเข้าสำนัก ต่อให้มีความผูกพันธ์อย่างไร ก็ยังไม่ถึงขั้นเสียสละชีวิตเพื่อสำนัก
เงียบอยู่พักหนึ่ง
ตุบ
สตรีกางร่มอิงอิง สวีชุย และนิ่งซานก้าวออกมา พวกเขาเป็นบริวารของลู่เซิ่งอยู่แล้ว ย่อมเคลื่อนไหวร่วมกัน
จากนั้นก็เป็นเหอซานจื่อ นางสาวเท้าออกมาด้วยสีหน้าแน่วแน่
“ข้าไป!”
“พวกเราก็ไปด้วย” จ่านข่งหนิงกับจ่านหงเซิงเดินออกมา มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าไม่ไปดูก่อนว่าเจ้าสำนักของตนเป็นอย่างไร ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่ยินยอม
ลู่เซิ่งหันไปมองคนอื่นๆ อีก แต่ไม่มีใครแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น…”
“ข้าขอไปด้วย!” เด็กผู้หญิงสวมอาภรณ์สีขาวคนหนึ่งไม่รู้ว่าเดินออกมาตอนไหน
นางชื่อสวี่เซิงอวี้ เป็นศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักไม่นาน เป็นเด็กกำพร้า และเป็นหนึ่งในคนที่เหอเซียงจื่อรับเข้าสำนักในตอนนั้น
ส่วนเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ไม่มีใครยินยอมก้าวออกมาแม้แต่คนเดียว
“อย่างนั้นเอาตามนี้” ลู่เซิ่งพิจารณาสวี่เซิงอวี้เพิ่ม คร้านจะพูดมาก “พวกเจ้าตามข้าไป”
เขาสาวเท้าเดินไปยังทางเข้าออกของสำนักมารกำเนิด เหอเซียงจื่อพาสวี่เซิงอวี้และพวกสตรีกางร่มติดตามไปติดๆ
“ลู่เซิ่ง!” ซั่งหยางจิ่วหลี่ร้องเรียกเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน “ถ้าหากเจ้ารอดกลับมาได้ ให้มาที่ตำหนักแดงเดือด ข้าจะรอเจ้าที่นั่น!”
ลู่เซิ่งไม่หันไปมอง หากโบกมือไปด้านหลัง แล้วพาคนเร่งฝีเท้าจากไป
ถึงจะไม่ได้พูดอะไร แต่การนำคนมาพาเขาไปด้วย ในห้วงเวลาอันตรายแบบนี้ ในที่สุดลู่เซิ่งก็ยอมรับอีกฝ่ายบ้างแล้ว
เดิมทีเขาเพียงแค่ใช้ประโยชน์จากซั่งหยางจิ่วหลี่เท่านั้น ทว่าอีกฝ่ายยังคิดถึงเขา โดยไม่สนใจอันตรายในขณะที่ลำบากแบบนี้ นี่คือการปฏิบัติด้วยความจริงใจ
……………………………………….