ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 296 ใต้หล้า (4)
บทที่ 296 ใต้หล้า (4)
เปรี้ยง!
สนามพลังล่องหนเพิ่งจะไปถึงส่วนศีรษะของหวงฟู่ ก็ถูกพลังงานล่องหนขนาดมหึมาสายหนึ่งกันเอาไว้ สายน้ำสีขาวเทาปริมาณมากไหลออกมาจากดวงตาของเขาเร็วกว่าเดิม
“ท่านพูดถูก…เป็นความผิดของข้า…ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของข้า…” หวงฟู่เงยหน้าขึ้น ยิ้มอย่างเจ็บปวด
“หวงฟู่ เจ้าใจเย็นๆ ก่อน!” ซั่งหยางเซินเหยียนพบเห็นความผิดปกติ ผู้นำสำนักแค่คนเดียวไม่อาจปล่อยสนามพลังแบบนี้ออกมาได้ เขาคิดจะใช้คำพูดทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลงเพื่อถ่วงเวลา
“เป็นความผิดของข้า…ความผิดของข้า…” หวงฟู่เอาแต่ทวนประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา น้ำตาเลือดสองสายค่อยๆ ไหลลงมาจากหางตาของเขา
เพราะข้า…อ่อนแอเกินไป!”
ตึกๆ!
หัวใจของทุกคนที่อยู่รอบๆ เต้นอย่างรุนแรงด้วยความหวาดกลัว
ใบหน้าของซั่งหยางจวินเปลี่ยนแปลงไปในทันที
“วิญญาณมาร!?”
เขายื่นมือไปดึงตัวซั่งหยางเซินเหยียน ทะยานขึ้นบนท้องฟ้า พุ่งตัวออกไปจากกระโจม
มองจากด้านบนลงไป ท้องทะเลสีขาวเทาผืนหนึ่งกระจายไปรอบๆ โดยมีหวงฟู่เป็นศูนย์กลาง กลางทัพพันธมิตรมีคนบาดเจ็บล้มตายในพริบตา ตุลาการห้าคนเป็นอย่างน้อยถูกสายน้ำสีขาวเทากลบฝังและหลอมละลาย ไม่มีแม้กระทั่งเวลาหลบหนี ขอแค่สัมผัสโดน ร่างกายก็จะอ่อนแรงในทันที ก่อนจะละลายไปโดยสมบูรณ์
“วิญญาณมารดวงที่สาม…” ซั่งหยางจวินใบหน้าเขียวคล้ำ “มันกำลังลอกคราบ ตุลาการทุกคนจงตั้งทัพหยุดยั้งมัน! จะให้มันลอกคราบสำเร็จไม่ได้ ไม่อย่างนั้นทัพมารจะมีระดับราชามารเพิ่มมาอีกตนหนึ่ง!” เขารีบตะโกน
กลางทัพพันธมิตร ค่ายกลสีรุ้งผืนใหญ่พากันเรืองแสง พลังงานค่ายกลที่เหมือนกับหมอกเมฆหลายกลุ่มผนึกรวมอักขระสีรุ้งกลางอากาศ ก่อนจะถูกเหล่าตุลาการเคลื่อนย้ายมาปิดล้อมหวงฟู่ด้วยความเร็วสูง
…
“เริ่มแล้ว…” หลี่ซุ่นซีมองสายน้ำสีขาวเทาที่กระจายอยู่ตรงกลางทัพพันธมิตร
ในอนาคตที่เขามองเห็น ซั่งหยางจวินหยุดยั้งการลอกคราบเพื่อจุติของวิญญาณมารดวงที่สามไม่ไหว ทัพพันธมิตรบาดเจ็บล้มตายอย่างสาหัสและถูกทัพมารบุกจู่โจมอย่างกะทันหันจนแทบไม่เหลือผู้รอดชีวิต
“ทุกอย่าง ถูกกำหนดไว้แล้ว…”
การจุติของราชาแห่งความซีดขาวอันเป็นวิญญาณมารดวงที่สาม การสร้างประตูเลือดเนื้อ เมืองทั้งเก้ากลายเป็นอาณาเขตของมารโดยสมบูรณ์
“ไม่มีใครหยุดยั้งหวงฟู่ได้ เขาได้หลอมรวมกับวิญญาณมารดวงที่สามโดยสมบูรณ์แล้ว…ภรรยาถูกลอบสังหารในช่วงชุลมุน บริวารทรยศหักหลังกลางทาง ก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายมากมาย สุดท้ายละทิ้งศักดิ์ศรี คุกเข่าวิงวอน ทว่ายังคงไม่ได้รับการช่วยเหลือแม้แต่น้อย ความสิ้นหวังแบบนี้…” หลี่ซุ่นซีถอนใจ ตอนนี้ความหวังเพียงหนึ่งเดียวมีแค่คนผู้นั้นแล้ว…
ไป๋ซิว…
ไป๋ซิวกางสองแขนขวางอยู่ด้านหน้าคนของวังหมื่นสุข พลางจ้องมองหวงฟู่อย่างสงบ
หวงฟู่ในตอนนี้ดวงตายังคงมีสายน้ำสีขาวไหลออกมาเหมือนสายธาร
กระนั้นเขาเหมือนยังคงเห็นไป๋ซิว สายตามองมาทางนี้โดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
สหายทั้งสองที่เคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา สบตากัน กลับไม่มีใครเคลื่อนไหวก่อน
“ยังจำคำพูดที่พวกเราเคยพูดกันในอุโบสถได้หรือไม่” ไป๋ซิวเอ่ยอย่างสงบ
“ข้าเชื่อว่าทุกคนบนโลกใบนี้ อาจจะฟันกระบี่ใส่ข้าได้ทั้งสิ้น แต่ไม่มีทางเป็นเจ้า” ไป๋ซิวไร้ความเกรงกลัว ไร้ความครั่นคร้าม เพียงแค่รู้สึกเจ็บปวดใจ มองดูเพื่อนสนิทของตนเองอย่างสงบนิ่งระคนโศกเศร้า
หวงฟู่ก็มองไป๋ซิวอย่างสงบนิ่งเช่นกัน
“เจ้ายังจำได้ไหม…ตอนนั้นพี่สะใภ้ของเจ้ายังบอกว่าจะแนะนำพี่น้องของนางให้เจ้า”
“ใช่…ตอนนั้นข้าลำบากมากกว่าจะบอกปัดได้ พี่สะใภ้…” ไป๋ซิวพูดถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ แข็งค้าง
“พี่สะใภ้นาง…”
เรือนสุดประจิมถูกค่ายกลทำลายไปแล้ว…
“บนโลกใบนี้ไม่มีผิดถูก” หวงฟู่ยกมือขึ้น สายน้ำสีขาวเทานับไม่ถ้วนหมุนวนรอบฝ่ามือของเขา
“มีแต่แข็งแกร่งอ่อนแอ”
“ไม่ใช่! หากไม่ควบคุมพละกำลัง ก็เป็นแค่สัตว์ป่า!” ไป๋ซิวโต้
“เจ้าจะหยุดข้าหรือ” หวงฟู่กล่าวเสียงทุ้มต่ำ หากเขาจะลอกคราบให้สำเร็จ จำเป็นต้องใช้เลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตมาเซ่นสรวงเลือด แต่ว่าไป๋ซิวกลับขวางเขาไว้ “เพื่อคนที่ไม่มีความสำคัญเหล่านี้หรือ”
“อาฟู่…เจ้าลืมแล้วหรือว่า ตอนนั้นพวกเราเคยสาบานกันว่า จะไม่รังแกคนอ่อนแอ ไม่โต้เถียงถึงความผิดพลาด ไม่ลืมเลือนความทรงจำ ไม่…”
สวบ!
ไป๋ซิวยังพูดไม่จบ ก็ก้มหน้าลงมองดูแขนที่แทงท้องน้อยของตนเองอย่างมึนงง
ใบหน้าของหวงฟู่ที่อยู่ใกล้แค่คืบยังคงสงบนิ่ง สงบนิ่งจนทำให้คนรู้สึกเย็นยะเยือก “ข้าสนใจแค่ความแข็งแกร่งอ่อนแอ”
ม่านน้ำกึ่งโปร่งแสงเหนือศีรษะป้องกันการโจมตีจากค่ายกลของยอดฝีมือจำนวนมากที่อยู่รอบๆ
ไป๋ซิวกลับนึกไม่ถึงว่า วันหนึ่งตนจะตายด้วยน้ำมือของสหายที่เชื่อใจที่สุด หน้ามืดเล็กน้อย เมื่อเงยหน้าก็สัมผัสได้ว่า เลือดทั่วร่างกำลังถูกหลอมละลายและโดนสูบออกไปด้วยความเร็วสูง ร่างกายยิ่งมายิ่งไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะล้มหงายไปด้านหลัง
“หลีกไป!” เสียงตะโกนดังมาจากบนท้องฟ้า
ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำ
พู่กันสีดำขนาดใหญ่ยักษ์เล่มหนึ่งทิ่มตรงดิ่งลงมาจากบนศีรษะ
ปลายพู่กันเป็นแปรงขนเล็กๆ ที่ขาวราวหิมะ แต่ว่าขนทุกเส้นใหญ่เท่าเอวคน
“พู่กันบรรพต…” หวงฟู่เงยหน้าพึมพำ
ตูม!
ร่างกายเขาระเบิดกลายเป็นของเหลวสีขาวกระจัดกระจายไปทั่ว
ตูม!
เกิดเสียงดังสนั่น พื้นที่รัศมีหลายสิบหมี่ถูกพู่กันบรรพตแทงใส่อย่างรุนแรง ของเหลวสีขาวเทาในตอนแรกถูกย้อมเป็นน้ำหมึกสีดำสนิทในชั่วเสี้ยววินาที
หมึกนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นท้องฟ้า แล้วกลายเป็นงูหลามสีดำมากมายเลื้อยออกไปรอบๆ เพื่อเสาะหาเหยื่อ
พู่กันบรรพตหลบหลีกพวกไป๋ซิวไปอย่างแม่นยำ เขาที่ใบหน้าซีดขาวถูกคนสองสามคนที่อยู่ด้านหลังประคองไว้อย่างทุลักทุเล รีบมองไปยังทิศทางของทัพมารที่อยู่ไกลออกไป เห็นหวงฟู่ที่เพิ่งจะจากไป ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างลัวซีหมู่ผู้บัญชาการมารอย่างสงบนิ่ง
ถึงแม้ทัพพันธมิตรจะสับสนอยู่ชั่ววินาทีหนึ่ง ทว่าสำหรับกองทัพที่มีคนมากกว่าหมื่น ก็เพียงแค่เกิดความชุลมุนขึ้นบนพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น เมื่อพู่กันบรรพตโผล่มา ความสับสนก็ถูกสะกดลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็โต้เถียงไม่ได้ว่าค่ายกลคุ้มกันและโจมตีที่อยู่ตรงกลางถูกทำลายไปแล้ว
ซั่งหยางจวินสีหน้าเขียวปั้ด ถูกวิญญาณมารเล่นงานแบบนี้ ไม่ว่าเขาจะมีสภาพจิตใจดีอย่างไร ตอนนี้ก็ไม่รู้สึกดีแต่อย่างไร การเปิดใช้งานพู่กันบรรพตด้วยความเร่งรีบเมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ รอเขาเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ หวงฟู่ที่หลอมรวมกับวิญญาณมารดวงที่สาม ก็สร้างความสับสนโดยการทำลายค่ายกลแล้วหนีออกจากทัพพันธมิตรไปได้แล้ว
ความจริงแล้วเขามีความเร็วมากที่สุดในตระกูลขุนนาง ถ้าไม่ใช่ว่ามีอาวุธศักดิ์สิทธิ์หลายชิ้นคอยประสานเสริม อย่างน้อยเขาต้องใช้เวลาหนึ่งวันถึงจะเปิดใช้พู่กันบรรพตที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ได้
“ลัวซีหมู่ พวกเจ้าวางแผนการได้ยอดเยี่ยมนัก!” ซั่งหยางจวินยืนตระหง่านอยู่บนด้ามพู่กันบรรพต มองผู้บัญชาการมารที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้
ผู้บัญชาการมารยิ้มอย่างอบอุ่น “ครั้งนี้เจ้าแพ้แล้วซั่งหยางจวิน”
วิญญาณมารบวกกับเขา มีระดับราชามารสองตนดำรงอยู่ ไม่ว่าพู่กันบรรพตจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็แยกร่างไม่ได้
ทัพมารและทัพพันธมิตรเริ่มกระชับพื้นที่ ค่ายกลกับปราณมารรวมตัวกันและโคจรอย่างต่อเนื่อง ดวงตานับไม่ถ้วนจับจ้องฝั่งตรงข้าม บรรยากาศยิ่งมายิ่งเคร่งเครียด ขอแค่ผู้บัญชาการสองคนที่อยู่ในระดับสูงสุดออกคำสั่งคำเดียว สงครามที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของสรรพชีวิตจะอุบัติขึ้นทันที
…
ณ ขอบสมรภูมิรบ
ฉัวะ!
เลือดสีดำสาดกระเซ็น
ลู่เซิ่งผ่ามารที่มีหัวเป็นแพะร่างเป็นมนุษย์ให้กลายเป็นสองส่วนในดาบเดียว
ภายใต้ดาบของเขา ผิวอันแข็งแกร่งที่ทนทานเท่ากับเยื่อดำเหมือนกับไม่ดำรงอยู่
เขาชูดาบขึ้นสูงแล้วชี้ไปที่มารหัวแพะร่างมนุษย์อีกหลายสิบตัวที่ดาหน้าเข้ามา
“หยินโชติช่วง คร่าวิญญาณ!”
คมดาบวาดลงอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น ฟาดฟันคมดาบเรียวเล็กสีดำสนิทกลุ่มหนึ่งออกไป
ฉัวะๆๆๆ!
ชั่วพริบตาเดียว มารหัวแพะร่างมนุษย์หลายสิบตนถูกฟันเป็นเนื้อบดนับไม่ถ้วนกลางทาง
ลู่เซิ่งสะกิดเท้ากระโจนเข้าไปกลางทัพมารตรงหน้า
“อานุภาพเทพ!”
ตูม!
เปลวไฟสีดำอมม่วงระเบิด มารมากมายถูกกระแทกกระเด็นออกไป ศพกระจายหล่นบนพื้น บางศพก็ลุกไหม้ขึ้น
พวกสตรีกางร่มไล่ตามมาด้านหลัง แต่ตามความเร็วทะลวงเข้าสู่ทัพมารของลู่เซิ่งไม่ทัน
มารหลายกลุ่มทะลักเข้ามาจากรอบๆ จากนั้นก็ถูกลู่เซิ่งฟันใส่หนึ่งดาบ กลายเป็นเนื้อบดหรือไม่ก็ขาดเป็นสองท่อน
ทุกๆ ดาบที่ฟันออกไป สามารถล้างบางมารได้อย่างน้อยยี่สิบสามสิบตัว ทำให้อาณาเขตเล็กๆ โล่งลงโดยสมบูรณ์
เพียงแค่ชั่วขณะสั้นๆ ก็มีมารถูกลู่เซิ่งฟันตายไปเป็นหลายร้อยตัว ทรงประสิทธิผลน่ากลัวอย่างแท้จริง
ไม่นานก็มีแม่ทัพมารระดับสูงของทัพมารสังเกตเห็นเขา มารที่มีหัวเป็นปลาร่างเป็นคนและมีขนที่เป็นหนามแหลมประหลาดปกคลุมบนร่างสองตน ลอบจู่โจมมาทางซ้ายและทางขวา
แต่ว่าสิ่งที่ได้ไปคือดาบที่ลู่เซิ่งสะบัดเข้ามาอย่างไม่นำพา
ประกายเลือดพุ่งฉูดๆ เนื้อที่ถูกบดสองกลุ่มถูกโยนออกมา
ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม แค่ใช้สนามพลังปั่นป่วนจิตใจ ก็ทำให้การออกดาบของลู่เซิ่งที่เดิมธรรมดา กลายเป็นไม่อาจหลบหลีก หนำซ้ำยังทำให้มารแสดงจุดอ่อนของตัวเองให้เขาฟันอีก
ไม่ทราบเข่นฆ่าไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดทัพมารก็แตกพ่าย
ลู่เซิ่งเข่นฆ่าราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สำหรับมารที่โหดเหี้ยม ถือเป็นพลังสยบอย่างหนึ่ง
ผู้บัญชาการมารลัวซีหมู่กับซั่งหยางจวินเห็นคนของสำนักมารกำเนิดที่ปรากฏตัวขึ้นตรงชายขอบแล้ว
ตอนนี้พวกลู่เซิ่งเข่นฆ่าเข้าใกล้ทัพพันธมิตร จนมาบรรจบกันสำเร็จแล้ว
“ขอถาม ใครรู้บ้างว่าผู้ใดเป็นคนเปิดค่ายกลของเรือนสุดประจิม” ลู่เซิ่งชี้ปลายดาบลง พูดด้วยเสียงไม่ดังมาก แต่ลัวซีหมู่กับซั่งหยางจวินกลับได้ยินอย่างแจ่มชัด
ลัวซีหมู่หลับตาลง
ซั่งหยางจวินขมวดคิ้ว ความสนใจของเขายังคงอยู่บนร่างหวงฟู่วิญญาณมารดวงที่สาม
“ไม่มีใครรู้หรือ” ลู่เซิ่งกล่าวต่อ
ยังคงเงียบกริบ
นอกจากมารกับทัพพันธมิตรที่เริ่มต่อสู้กันในอาณาเขตเล็กๆ แล้ว ส่วนใหญ่ยังคงรักษากระบวนทัพ ลัวซีหมู่เหมือนคร้านจะสนใจ
ซั่งหยางจวินกลับได้รับการเตือนจากยอดฝีมือในตระกูลคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ จึงมองไปยังทิศทางที่ลู่เซิ่งอยู่
“คนของสำนักมารกำเนิดหรือ ในร้อยเส้นสายมียอดฝีมือที่อายุน้อยแบบนี้อยู่ด้วยหรือ อย่างน้อยก็เป็นระดับอสรพิษ” เขาใคร่ครวญ “ตอนนี้กองกำลังทุกส่วนต้องรวมตัวกัน เซินเหยียนเจ้านำคนไปขวางคนจากสำนักมารกำเนิดไว้ ให้เขาถอยมา คนผู้นี้คงโกรธเพราะการตายของเจ้าสำนัก จะให้เขาทำร้ายตัวเองไม่ได้”
“ขอรับ!” ซั่งหยางเซินเหยียนทิ้งตัวลงพื้นอย่างรวดเร็ว ก้าวไม่กี่ก้าวก็เข้าใกล้ลู่เซิ่งแล้ว
“ท่านผู้มาจากสำนักมารกำเนิด…”
“เจ้ารู้หรือไม่” ลู่เซิ่งหรี่ตา ดวงตาแสดงความอันตรายขณะจ้องมองซั่งหยางเซินเหยียน
“ข้า…” ซั่งหยางเซินเหยียนจิตใจเย็นเยียบ พูดอะไรไม่ออก รู้สึกแน่นหน้าอก ได้แต่ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม
รอจนลู่เซิ่งพาคนเดินผ่านเขาไป เขาค่อยได้สติ
“ใครฆ่าอาจารย์ลิ่วซานจื่อ ไสหัวออกมา” ลู่เซิ่งคร้านจะคิดมากแล้ว จึงเดินไปกลางสมรภูมิด้วยความเชื่อมั่น
เขาเดินเข้าไปตรงกลางที่ด้านหนึ่งเป็นแสงสีรุ้งของค่ายกล ด้านหนึ่งเป็นเงาสีดำของปราณมาร ซึ่งมีที่ว่างเล็กๆ อยู่พอดี
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปโดยไม่หยุดฝีเท้า คำพูดของเขาราวสายฟ้าจากสวรรค์ ดังสนั่นไปทั่วสนามรบ
……………………………………….