ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 299 ใต้หล้า (7)
บทที่ 299 ใต้หล้า (7)
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ถึงแม้จะรู้สึกเหลือเชื่อ แต่ซั่งหยางจวินรู้แล้วว่าบุรุษตรงหน้าเป็นการดำรงอยู่แบบไหน
สำนักมารกำเนิด เขาเคยได้ยินมาก่อนว่าสำนักนั้นเป็นสำนักที่แข็งแกร่งซึ่งเคยแสดงสีสันในภัยพิบัติมารเมื่อครั้งอดีต ทว่าปัจจุบันได้ทรุดโทรมลงไปแล้ว
เพียงแต่…อาศัยแค่ความเข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบกับวิชาลับก็สามารถบรรลุถึงขั้นนี้ได้หรือ ต่อให้เป็นผู้ถืออาวุธที่มีอาวุธเทพแข็งแกร่ง ก็ไม่น่าจะมาถึงระดับนี้ได้ ทั้งที่อายุน้อยขนาดนี้กระมัง
ซั่งหยางจวินยังคงเคลือบแคลง แต่เมื่อเผชิญกับผู้เข้มแข็งที่อย่างน้อยก็เหนือกว่าเขาขั้นหนึ่ง สุดท้ายเขาก็ซ่อนความเคลือบแคลงเอาไว้ในก้นบึ้งจิตใจ ถึงจะไม่รู้ว่าอาวุธเทพที่ลู่เซิ่งหลอมรวมด้วยคืออะไร แต่อาศัยแค่อานุภาพที่ใกล้เคียงกับระดับจ้าวแห่งมารแล้ว จะต้องจ่ายค่าตอบแทนทุกอย่างเพื่อดึงมาเป็นพวกให้ได้
“เช่นนั้นสหายลู่ ผู้บัญชาการลัวซีหมู่ที่อยู่ที่นี่…” ซั่งหยางจวินถามอย่างลังเล
“ข้าจะพามันไปด้วย” ลู่เซิ่งย่อมไม่ทิ้งเนื้อที่ส่งมาถึงปาก “หน่วยหลักของสำนักมารกำเนิดอยู่ใกล้ๆ ถ้ามีปัญหา สามารถส่งคนมาหาข้าได้”
“ตกลง…” ซั่งหยางจวินไม่พร่ำพิไรอีก บอกทิศทางของเรือนสุดประจิมกับลู่เซิ่งอย่างละเอียด
ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงพื้นอย่างรวดเร็ว ยืนอยู่วงนอกของหลุมใหญ่ด้านล่างที่เกิดขึ้นในการเข่นฆ่า
“บอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นศิษย์น้องของข้า…จริงๆ” เหอเซียงจื่อเดินออกมาจากกลุ่มคน มองเขาด้วยสายตาซับซ้อน
ลู่เซิ่งมองพวกคนจากสำนักมารกำเนิดที่เดินออกมา ยังมีจ่านข่งหนิงและจ่านหงเซิง พวกสตรีกางร่ม สวีชุย และนิ่งซาน เดินมายืนอยู่ด้านหลังตนอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“หลังจากข้าบรรลุร่างมารสดับสงัด ข้าเข้าไปค้นหาซากปรักหักพังของสำนัก บังเอิญได้รับคัมภีร์ลับวิถีแปดมารสูงสุดมา จึงได้ฝึกฝนอย่างหนัก ในที่สุดข้าสามารถสร้างร่างมารทั้งแปดได้ ก่อนจะรวมร่างมารทั้งแปดให้กลายเป็นหนึ่งเดียว บรรลุถึงขั้นที่ไม่เคยมีมาก่อน ท้ายที่สุดก็ทำลายพันธนาการของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้ในครั้งเดียว”
ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบขณะมองเหอเซียงจื่อ
“ดังนั้น ท่านว่าข้าใช่รึเปล่า”
เหอเซียงจื่อยิ้มฝาด
“ถ้า…ถ้าอาจารย์อยู่นี่จะต้องมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้เจ้าทันทีแน่”
ใช้เวลาปีกว่าในการบรรลุร่างมารสดับสงัดและร่างมารอีกเจ็ดร่างติดต่อกัน ต่อให้เป็นจ้าวแห่งมารกลับชาติมาเกิด ก็ไม่น่าจะประสบความสำเร็จขนาดนี้
พรสวรรค์และคุณสมบัตินี้ไม่อาจใช้คำว่าน่ากลัวและพิสดารมาบรรยายได้อีกแล้ว แต่ควรบอกว่าเป็นสัตว์ประหลาดพิสดารมากกว่า…จึงจะบรรยายอีกฝ่ายได้
“ไปเถอะ ไปเรือนสุดประจิม” ลู่เซิ่งไม่เปลืองวาจากับพวกเหอเซียงจื่อ ตัดผ่านฝูงคน มุ่งหน้าไปยังเรือนสุดประจิม
คนจากสำนักมารกำเนิดรีบตามไป
ซั่งหยางจวินลอยตัวลงมา พวกตุลาการที่เหลืออยู่เข้ามาห้อมล้อมทันที
“นึกไม่ถึง…ว่าจะปรากฏตัวตนที่เหี้ยมหาญระดับนี้ในร้อยเส้นสายได้” เขาขบคิดไม่เข้าใจ
สถานที่อย่างสำนัก ที่เอาไว้ใช้ฝึกฝนวิชาลับเท่านั้น ไม่มีอาวุธเทพศัสตรามาร แต่กลับปรากฏสัตว์ประหลาดแบบนี้ อีกทั้งยังฝึกฝนวิชาลับมารกำเนิดไปถึงขอบเขตที่ไม่เคยมีมาก่อน
“บางทีอาจจะหลอมรวมเข้ากับอาวุธเทพชิ้นใหม่ หลังจากครอบครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็ได้” ซั่งหยางเซินเหยียนคาดเดา
“นั่นก็แข็งแกร่งมากพอแล้ว ระดับของคนผู้นี้ใกล้เคียงกับจ้าวแห่งมารในระดับปกป้องประเทศ ต่อให้เป็นผู้ถืออาวุธของทั้งรัฐซ่ง ก็นับว่าเป็นตัวตนระดับสูงสุดอยู่ดี” ซั่งหยางจวินส่ายหน้า
ทั้งสองกวาดตามองซ้ายขวา รอบๆ เต็มไปด้วยกลุ่มทัพพันธมิตรที่ถูกคลื่นกระแทกชนใส่ หน่วยพลาธิการเริ่มเก็บกวาดพื้นที่บนที่ราบ เปลมากมายถูกยกเข้าไปกองรวมกันด้านในกระโจมพยาบาลที่จัดตั้งขึ้น
“ประตูเลือดเนื้อถูกปิดไปหนึ่งบาน แต่ว่าเมืองเก้าเมืองไม่ได้มีแค่ตรงนี้ ประตูมีทั้งหมดสามบาน นอกจากบานนี้แล้ว อีกสองบานที่เหลือ…เกรงว่า…” ซั่งหยางจวินกล่าวอย่างจนปัญญา “ไม่ว่าอย่างไรพวกเราต้องจัดการที่นี่ก่อน เจ้าไปรวบรวมกลุ่มผู้รอดชีวิตที่อยู่รอบๆ แล้วจัดการเหมือนภัยพิบัติมารเมื่อครั้งก่อน”
“ขอรับ!” ซั่งหยางเซินเหยียนพยักหน้า
“ต่อจากนี้…เป็นสงครามของพวกเราแล้ว…” ดวงตาของซั่งหยางจวินเคร่งขรึม แม้ผู้บัญชาการมารจะถูกจับตัว แต่ว่าหวงฟู่วิญญาณมารดวงที่สาม เพิ่งฉวยจังหวะชุลมุนหนีเข้าป่าไป ตอนนี้ไม่ทราบอยู่ไหน จะเมินเฉยต่อตัวตนที่เหี้ยมหาญระดับผู้ถืออาวุธนี้ไม่ได้เด็ดขาด
เมืองเก้าเมืองส่วนใหญ่เป็นอาณาเขตของตระกูลซั่งหยาง นอกเสียจากเมืองกระดิ่งขาวกับอีกสองเมืองที่ดูแลร่วมกับร้อยเส้นสายแล้ว เมืองที่เหลือยังมีเมืองใจกลางที่เทียบได้กับศูนย์กลางอยู่อีกหนึ่งเมือง ตอนนี้กำลังรับการโจมตีจากภัยพิบัติมาร
ที่นี่เป็นแค่ศึกขนาดเล็ก ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนที่แข็งแกร่งน่ากลัวระดับผู้บัญชาการมารอย่างลู่เซิ่งโผล่มาอย่างกะทันหัน ประตูเลือดเนื้อคงจะมายังที่นี่ สุดท้ายทัพพันธมิตรจะพ่ายแพ้และสถานการณ์ทั้งหมดจะพังทลาย
“จะว่าไป ถ้าไม่ใช่เพราะยอดฝีมือจากสำนักมารกำเนิดผู้นี้โผล่มา ครั้งนี้แม้ข้าจะออกจากการกักตนด้วยตัวเอง ก็เกรงว่าจะกอบกู้สถานการณ์ไม่ได้” ซั่งหยางจวินถอนใจ “ตระกูลซั่งหยางของเราติดค้างน้ำใจของคนผู้นี้ใหญ่หลวงนัก”
ถ้าหากประตูเลือดเนื้อมาถึง และคนที่ต้องสู้กับมือยักษ์ของจ้าวแห่งมารที่พุ่งออกมาเป็นเขา ผลลัพธ์นั้น…
อยู่ๆ ซั่งหยางจวินก็ไม่กล้าคิดต่อ
ซั่งหยางเซินเหยียนที่อยู่ด้านข้างของเขา ก็แสดงสีหน้าหนักใจเช่นกัน พวกเขาสองคนเป็นระดับสูงสุดของตระกูลซั่งหยาง ล้วนเข้าใจว่าครั้งนี้ติดหนี้บุญคุณลู่เซิ่งมากมายขนาดไหน
…
ณ เรือนสุดประจิม
เมืองรูปแบบป้อมปราการขนาดใหญ่ในเวลานี้วังเวงเงียบสงัด
ปราณมารสีดำหลายสายลอยอยู่ในอากาศ ดวงอาทิตย์ถูกเมฆสีดำบดบัง เส้นแสงสาดลงมาเหมือนกับถูกผ้าหนาคลุมไว้ ไม่มีร่องรอยสิ่งมีชีวิตแม้แต่น้อย
ณ เขตสุดอุดร ถนนหยกฟ้า
บนถนนที่โล่งกว้างเต็มไปด้วยซากศพและชิ้นเนื้อสีแดง
มารประหลาดที่ท่อนล่างเป็นหมอกสีดำ ท่อนบนมีศีรษะและแขนสองข้างเป็นมนุษหลายตัวนั่งอยู่ในเงามืดตรงมุมถนน มารเหล่านี้รวมกลุ่มกันโดยหันหลังให้แก่แสงสว่าง กำลังกัดกินศพที่ส่งกลิ่นเหม็นบนพื้นอย่างตะกละตะกลามเหมือนกับแมลงวัน
กลิ่นเหม็นของศพลอยตลบอยู่ในอากาศ ยังมีกลิ่นไหม้แทรกอยู่ด้วย
ซู่…
อยู่ๆ มารตนหนึ่งก็เงยหน้ามองปลายถนนอย่างดุดัน
แสงสีดำแวบผ่าน งูหน้าคนกึ่งโปร่งแสงที่ยาวหลายสิบหมี่ตัวหนึ่งพุ่งออกมาอย่างฉับพลันพร้อมกับทะลวงไปบนถนนตรงๆ
มารในซอกมุมทั้งหมดพลันหนีเตลิดไปอย่างหวาดผวา ไม่อาจกระตุ้นความคิดต่อสู้แม้แต่น้อย
งูหน้าคนส่งเสียงหัวเราะคิกคักแปลกประหลาด มันขดตัวกลางอากาศรอบหนึ่ง ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป ด้านหลังของมัน พวกลู่เซิ่งที่สวมชุดสีดำเหยียบลงบนพื้นที่นี้
เพิ่งจะเหยียบลงบนพื้นที่ของเขตนี้ ลู่เซิ่งก็นิ่วหน้าน้อยๆ ก้มมองสีแดงเข้มบนพื้น
เท้าที่เหยียบลงไปเกิดความรู้สึกไม่เหมือนเหยียบบนพรมพื้นหญ้า แต่ให้ความรู้สึกเหนียวเหนอะขยะแขยง
“ที่นี่อย่างน้อยมีคนตายไปมากกว่าหมื่น พอเลือดแห้ง ตัวก็เดี๋ยวชื้นเดี๋ยวแห้งซ้ำไปซ้ำมา จึงเกิดภาพเหมือนกับนรกบนถนนสายสั้นเส้นนี้”
หงฟางไป๋นับว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์โชกโชนที่สุดในกลุ่ม นางเคยผ่านยุคที่เกิดภัยพิบัติมารมาแล้ว ทว่าพอเห็นฉากที่น่ากลัวด้านหน้า สีหน้าก็ยังเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ทุกคนสวมใส่ชุดคลุมสีดำ เร่งรุดไปถึงเรือนสุดประจิมที่อยู่ใกล้ๆ โดยไม่หยุดพักก่อนฟ้าจะมืด
หน่วยหลักของเรือนสุดประจิมเป็นเมืองเมืองหนึ่ง เนื่องจากความจำเป็นในการดำรงชีวิตของเหล่าศิษย์และอาจารย์ เรือนสุดประจิมจึงสร้างกิจการในสังกัดขึ้นมาไม่น้อย
หน่วยหลักทั้งหมดถึงขั้นเรียกได้ว่าเมืองสุดประจิม
ลู่เซิ่งเงยหน้าทอดตามองไกล เห็นป้อมปราการขนาดใหญ่ที่มีสัตว์ประหลาดควันมารจำนวนมากลอยวนเวียนอยู่ได้อย่างลางๆ กลางไอหมอกสีดำอมเทาด้านหน้า
คิกๆๆ…
ไกลออกไป เงาที่อยู่ใต้ป้อมปรากฏลอยไปมาพลางบิดเอี้ยวตัว เหมือนกับซุกซ่อนการคุกคามบางชนิดที่ดุร้ายน่ากลัวไว้
ทุกคนเดินไปหยุดยืนตรงทางเข้าเรือนสุดประจิม
ปากประตูว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่รอยเลือด ทั้งยังสะอาดเอี่ยมอ่อง เห็นอาคารส่วนใหญ่ที่เป็นระเบียบเรียบร้อยด้านในได้
สิ่งก่อสรางสีแดงอ่อนที่เชื่อมติดกัน ตั้งตระหง่านเกาะกลุ่มกัน ลมพัดมาพร้อมกับเสียงครางฮือๆ
คิกๆๆ…
มีเสียงหัวเราะลี้ลับดังมาจากในอากาศอีกครั้ง
“ที่นี่คือที่ที่อาจารย์เข้าร่วมงานชุมนุมย่อยหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ เขาหันไปมองคนที่อยู่ด้านหลังสุดในกลุ่มด้วยสายตาตรงแน่วและคมกริบ
“ถูกต้อง…” คนที่อยู่ด้านหลังสุดคลุมเสื้อคลุมสีดำ แม้แต่ส่วนศีรษะก็ใช้หมวกติดเสื้อสีดำสนิทปิดไว้ จนมองไม่เห็นใบหน้า ครั้นเผชิญกับการซักไซ้จากลู่เซิ่ง เขาได้แต่ตอบอย่างสงบนิ่ง
“ข้าควรทำอย่างไรจึงจะเจอคนที่ข้าต้องการเจอ” ลู่เซิ่งถามอีก
คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้น ถอดหมวกออก ปรากฏใบหน้าทุกข์ทรมานของผู้บัญชาการมารลัวซีหมู่
“ข้าไม่ใช่ผู้ครองเรือนสุดประจิม ข้าเพียงควบคุมสถานการณ์ใหญ่ ไม่ทราบเรื่อนอื่น ท่านลองถามหลี่ซุ่นซีดู”
“ถ้าข้ารู้คงบอกไปแต่แรกแล้ว” หลี่ซุ่นซีที่อยู่ด้านข้างถอดหมวกติดเสื้อพลางกล่าวอย่างจนปัญญาเช่นกัน
หลังจากฉวยจังหวะชุลมุนหนีออกจากทัพมารได้ เขาก็ตัดสินใจติดตามลู่เซิ่ง ร่วมเดินทางมายังเรือนสุดประจิม
สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดบนสมรภูมิภัยพิบัติมารในปัจจุบัน ไม่มีที่ใดดีไปกว่าข้างกายประมุขพรรคลู่ ลู่เซิ่งอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงร่วมทางมาด้วยอย่างหน้าด้าน
ลู่เซิ่งมองเรือนสุดประจิมอย่างละเอียด เห็นได้ชัดว่ามีอันตรายบางอย่างซุกซ่อนอยู่ในสิ่งก่อสร้างที่ดูเหมือนโล่งกว้างและเงียบสงัด
“อสรพิษริษยา” เขาพลันยกมือขึ้น
ซี่…
งูหน้าคนกึ่งโปร่งแสงที่ยาวถึงหลายสิบหมี่ ที่เมื่อก่อนหน้านี้เลื้อยออกมาจากในเงาด้านหลังลู่เซิ่งอย่างช้าๆ ก่อนจะขดตัวอยู่ด้านหลังเขาท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกๆ คน
“ฆ่ามัน”
ลู่เซิ่งชี้ประตูใหญ่ด้านหน้า
คิกๆๆ…
อสรพิษริษยาหัวเราะเสียงแหลม ร่างอันมหึมาค่อยๆ ขดไปด้านหลัง
ตูม!
ชั่วพริบตานั้นร่างกายขนาดหลายสิบหมี่ของมันพุ่งไปพร้อมเสียงดังสนั่น แล้วฉกใส่พื้นบนลานกว้างที่อยู่ตรงข้ามกับประตูใหญ่ของเรือนสุดประจิม
ในตอนนั้นเอง ลานกว้างที่เดิมไม่มีสิ่งใด พลันส่ายไหวน้อยๆ ก่อนจะเคลื่อนย้ายไปทางซ้าย พลันกลายร่างเป็นคนอ้วนฉุกลมเกลี้ยง
คนอ้วนผู้นี้เป็นสัตว์ประหลาดตัวอ้วนที่สูงสิบกว่าหมี่ มันขยับตัวพร้อมกับก้มเอวฟาดมือไปทางงูหน้าคน
หนังท้องของคนอ้วนผู้นี้เหมือนกับภาพถ่ายและภาพวาดน้ำมันที่งดงามสมจริงที่สุด สิ่งที่วาดไว้ด้านบนก็คือสิ่งก่อสร้างและลานกว้างที่ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดเมื่อก่อนหน้า ทำให้ทุกคนเข้าใจผิดว่าท้องของมันคือทางเข้า
ตูม!
สัตว์ขนาดมโหฬารสองตัวต่อสู้พัวพันกันอย่างดุเดือด
ทุกคนจึงค่อยรู้สึกตัว
“นี่…ลานกว้างของเรือนสุดประจิมที่พวกเราเห็นก่อนหน้านี้ เป็นภาพวาดบนท้องสัตว์ประหลาดตนนี้หมดเลยหรือ?!” เหอเซียงจื่อกล่าวอย่างตื่นตระหนก
ตอนนี้หลังจากสัตว์ประหลาดอ้วนตนนั้นถอยไป ทุกคนค่อยเห็นสภาพที่แท้จริงด้านในเรือนสุดประจิม
พื้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดงก่ำ กำแพง อิฐ เสาหินกลายเป็นสีแดง ทุกสิ่งทุกอย่างต่างส่งกลิ่นเหม็นเน่าและทรุดโทรม
ประตูหน้าต่างทั้งหมดของสิ่งก่อสร้างที่อยู่ตรงข้ามประตูใหญ่เปิดอ้าออก ด้านในมีเงาสีดำแวบผ่านตลอดเวลา
“ที่นี่…คือหน่วยหลักของเรือนสุดประจิมในอดีตหรือ” หงฟางไป๋กล่าวอย่างฉงนเล็กน้อย
ในอดีตนางเคยถูกสำนักไล่ล่า แต่ปัจจุบันมีโอกาสมาถึงหน่วยหลักของสายที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนัก ต่อให้พังทลายไปแล้ว ความรู้สึกนี้ก็น่าชื่นชมอยู่ดี
“ไปเถอะ ที่นี่ปนเปื้อนปราณมารที่เข้มข้นมาก พวกเจ้าเกาะติดข้าไว้” ลู่เซิ่งพูดอย่างเฉยชา
……………………………………….