ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 3 วิชาดาบพยัคฆ์ดำ (1)
‘เป็นอาการเห็นภาพหลอนหรือ หรือว่าไม่ใช่ภาพหลอน’
ลู่เซิ่งหยีตา ข่มความคิดในใจไว้
“ไม่เป็นไร” เขายืดเอวขึ้น ขานรับราบเรียบ
“คุณชาย…ใต้เท้าสวี คนดีๆ ขุนนางดีๆ เช่นพวกเขาไฉนจึง…”
เสี่ยวเฉี่ยวน้ำตาคลอหน่วย กำลังจะเริ่มร้องไห้อีกครั้ง
ลู่เซิ่งมองศพคนตระกูลสวีที่เรียงรายอยู่เต็มพื้นอย่างเงียบงัน
ศพล้วนเป็นสีเทาอมเขียว บนคอมีรอยรัดสายหนึ่ง
ขุนนางข้าหลวงตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พลันจากไป มอบอำนาจทั้งหมดให้แก่หัวหน้ามือปราบใหญ่จากห้องลงทัณฑ์ที่รับผิดชอบคดี
ที่เหลือยังมีขุนนางที่ทำหน้าที่ตรวจสอบคดีอีกสองสามคน สนทนารูปคดีกับหัวหน้ามือปราบใหญ่
“คุณชาย นายท่านผู้เฒ่าให้ท่านไปหา” บ่าวรับใช้คนหนึ่งวิ่งมาพูดกับลู่เซิ่งเบาๆ
ขณะพูด เขายังมองไปที่ศพของคนตระกูลสวีที่อยู่บนพื้นอย่างเสียใจ
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ลู่เซิ่งมองบ่าวรับใช้ “เจ้าไม่กลัวหรือ”
“กลัวขอรับ” บ่าวรับใช้ผู้นี้อายุสิบแปดสิบเก้าปี แต่สีหน้าท่าทางกลับแฝงความเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่สมกับอายุอยู่
“แต่ข้าน้อยอพยพมาจากรัฐมหาเกียรติทางตะวันออก ที่นั่นตอนนี้กำลังเกิดความอดอยาก ทุกที่มีแต่ศพ ถึงขั้นมีคนไม่น้อยต้องกินลูกของตัวเอง สภาพโหดร้ายเช่นนี้เห็นมามากแล้ว…เฮ้อ…”
เขาถอนใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นค่อยรู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายไม่ใช่สหายของตนที่สนทนากันทุกวัน จึงรีบก้มศีรษะลง
“เห็นมามาก? รัฐมหาเกียรติทางตะวันออกมีเรื่องแบบนี้มากหรือ”
ลู่เซิ่งถาม
บ่าวรับใช้ผู้นั้นเงียบไปชั่วครู่
“ไม่น้อยขอรับ”
จิตใจลู่เซิ่งตึงเครียดขึ้น
ในระหว่างพูดเขายังคงไม่หยุดเท้า ไม่ทันไรก็เดินมาถึงเบื้องหน้าลู่ฟ่างบิดาในชาตินี้ของตน
ลู่ฟ่าง ชื่อรองเฉวียนอัน ฉายาบุรุษทองคำ
ฐานะการเงินของลู่เฉวียนอันก็เป็นสิ่งมีชื่อเสียงในเมืองเก้าประสานเช่นกัน เรื่องที่ระหว่างตระกูลลู่กับตระกูลสวีใกล้จะดองกันก็แพร่สะพัดไปทั่วตั้งแต่แรก ถึงขั้นที่เมืองม่วงโชติซึ่งอยู่ติดทางตะวันตกก็มีคนส่งของขวัญอวยพรมาแล้ว
เรื่องใหญ่ครึกโครมเช่นนี้ตอนนี้กลายเป็นสภาพแบบนี้ไปแล้ว
สีหน้าในยามนี้ของลู่เฉวียนอันเหยเกเป็นอย่างยิ่ง ในดวงตาแฝงความอิดโรยและความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าบอกเล่าเรื่องเมื่อวานกับหัวหน้ามือปราบจ้าวให้ดี”
เขาหลีกทาง ให้แก่ชายฉกรรจ์ไว้เคราข้างแก้มที่เดินเข้ามาคนหนึ่ง
ลู่เซิ่งนึกถึงคำพูดของสวีเต้าหรานที่พูดเมื่อวานมาโดยตลอด เขารู้สึกว่าคดีผีน้ำต้องมีความเกี่ยวข้องกับการตายของคนตระกูลสวีแน่นอน
ตอนนี้เขาจึงบอกเล่าเรื่องราวที่พูดกับสวีเต้าหรานเมื่อวานออกมา
ไม่มีอันใดปิดบังทั้งสิ้น
หัวหน้ามือปราบใหญ่ขมวดคิ้วมุ่น มองเงื่อนงำใดไม่ออก
ลู่เซิ่งเห็นว่าไม่มีคำถามอะไรอีกจึงเอ่ยลา
ก่อนไป คนของที่ว่าการก็เริ่มเก็บศพ
ลู่เซิ่งยืนมองดูอยู่ด้านข้างพักหนึ่ง เห็นตอนที่สวีเต้าหรานถูกยกขึ้นบนแคร่ เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เดินเข้าไปหามือปราบคนหนึ่ง ถามว่า
“สหายท่านนี้ ตระกูลสวียังเหลือใครอยู่หรือไม่”
เขานึกในใจว่า ถ้าตระกูลสวียังมีคนรอดชีวิตอยู่ เขาก็จะดูแลแทน ไม่แน่อาจได้บางสิ่งที่มีประโยชน์จากปากของอีกฝ่าย
“ไม่มีแล้ว…ล้วนตายหมดแล้ว แม้แต่คนชราและเด็กที่เป็นญาติฝ่ายนอกก็โดนไปด้วย บางทีทางเมืองม่วงโชติอาจยังมีญาติห่างๆ อีกสองสามคนกระมัง”
มือปราบผู้นี้ส่ายหน้าเอ่ยเบาๆ
ลู่เซิ่งยัดเศษเงินหนึ่งเจี่ยว ให้เขา ส่วนตนเองพาเสี่ยวเฉี่ยวไปขึ้นรถม้าพร้อมกับคนในตระกูล
รถม้าทยอยกลับบ้านแล้ว
แต่ว่าสภาพอันน่าอนาถของตระกูลสวียังตราตรึงในใจทุกคน
ลู่ฟ่าง ลู่เฉวียนอันในฐานะประมุขตระกูล เรียกรวมตัวเปิดการประชุมครอบครัว ประกาศว่างานหมั้นหมายกับตระกูลสวีจบลงเพียงเท่านี้ ให้พวกผู้หญิงปลอบใจอีอี จากนั้นก็กลับห้องไปพักผ่อนเงียบๆ คนเดียว
เหล่าคนหนุ่มในตระกูลลู่ ต่างพากันทยอยออกนอกบ้านไป ถ้าไม่ไปเหลาสุราในเมือง ก็ไปหอนางโลมหรือสถานเริงรมย์เพราะได้รับความสะเทือนใจ จึงล้วนต้องการมอมเมาตัวเองเช่นนี้
ส่วนพวกสตรีก็พากันออกจากบ้านไปจุดธูปไหว้พระที่วัดบัวแดงซึ่งอยู่ใกล้ๆ อธิษฐานขอให้ปลอดภัยพระคุ้มครอง
ให้ดีที่สุดคือสามารถขอยันต์วิเศษจากนักพรตในวัดบัวแดงแผ่นหนึ่ง เอามาป้องกันตัวจากสิ่งชั่วร้าย
ทั่วทั้งตระกูลลู่ต่างพากันหวาดกลัว
ทว่าลู่เซิ่งไม่ได้ออกไปมั่วสุมด้วย
เขาพาเสี่ยวเฉี่ยวมาถึงห้องหนังสือขนาดใหญ่ซึ่งเก็บหนังสือของตระกูลไว้
ในห้องหนังสือเงียบสงัด
เขาผลักประตูเข้าไป ด้านในมีสตรีร่างอ้วนคนหนึ่ง กำลังปัดเช็ดชั้นหนังสืออยู่
ชั้นหนังสือสีแดงชาด เครื่องเรือนยังมีเส้นแสงที่มืดมัวนอกหน้าต่างขับให้ที่นี่อึมครึมอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งเดินเข้าไป อ้อมผ่านม่านไม้กันลม รูปบุปผาทวิชาติทรงกลมตรงประตู สูดดมกลิ่นหอมของไม้จางๆ ในห้องหนังสือ
“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าจะอ่านหนังสือพักผ่อนสักครู่”
เขาสั่ง
“เจ้าค่ะ”
เสี่ยวเฉี่ยวขานรับอย่างเชื่อฟัง จากนั้นจึงพาสตรีร่างอ้วนที่ทำความสะอาดนางนั้นออกจากประตูไป
ลู่เซิ่งยืนอยู่ในห้องหนังสือคนเดียว มองชั้นหนังสือหลายแถวเบื้องหน้า ถอนใจเบาๆ
เขาเริ่มค้นหาบนชั้นหนังสือทีละชั้น
และเขาเจอสมุดบันทึกเหตุการณ์ในท้องถิ่นอย่างรวดเร็ว
จากนั้นจึงย้ายสมุดเหล่านี้ออกมาทั้งหมด เริ่มพลิกอ่านทีละเล่ม
อาศัยแสงสลัวนอกหน้าต่าง เขาอ่านสมุดเล่มหนึ่งจบอย่างรวดเร็ว
‘รัชสมัยต้าซ่ง ปีที่เจ็ดสิบสอง ชานเมืองเก้าประสานปรากฏคนผู้หนึ่ง ถือมีดสังหารคนสิบสองคนด้วยความคลุ้มคลั่ง ถูกกลุ่มมือปราบล้อมจู่โจมถึงแก่ความตาย’
‘รัชสมัยต้าซ่ง ปีที่แปดสิบห้า ใจกลางเมืองเก้าประสาน บนถนนมีคนผู้หนึ่ง หัวหลุดออกจากร่างอย่างกะทันหัน สาเหตุการตายไม่แน่ชัด’
‘รัชสมัยต้าซ่ง ปีที่เก้าสิบเอ็ด วัดร้างนอกเมืองมีนักท่องเที่ยวหายสาบสูญสิบห้าคน มาจนถึงวันนี้คดียังไม่ถูกไข’
‘รัชสมัยต้าซ่ง ปีที่เก้าสิบห้า เจ้าของสถานเริงรมย์เมืองเก้าประสานหายตัวไป แขนขาถูกพบในสถานที่ที่แตกต่างกันสี่แห่งนอกเมือง เสียชีวิตเพียงสี่วัน ศพก็เน่าเปื่อยเป็นกระดูกขาว’
‘รัชสมัยต้าซ่ง ปีที่หนึ่งร้อยสิบหก กลางดึกปรากฏเสียงเด็กร้องไห้นอกประตูเมือง ผู้ไปตรวจสอบล้วนหายตัวไป เสียงร้องไห้ดำเนินอยู่สามวันก็หายไปเอง’
…
เมื่อได้อ่านบันทึกเรื่องราวคดีน้อยใหญ่
ลู่เซิ่งยิ่งอ่านยิ่งตกใจ ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกหวาดผวา
โลกเช่นนี้ โลกที่เรียกได้ว่ามีอันตรายทุกฝีก้าวเช่นนี้ คนที่อยู่ที่นี่ไม่พังทลายวิปลาส ยังมีชีวิตอยู่ดีได้ ไม่ง่ายดายจริงๆ
เขาพลิกอ่านสมุดอีกเล่ม
สมุดเล่มนี้อลังการกว่าเล่มก่อนหน้า
‘รัชสมัยต้าซ่ง ปีที่หนึ่งร้อยสิบเก้า เกิดพายุหิมะเก้าครั้งติดต่อกัน บางที่ล่ำลือกันว่าเจ้าพ่อราชามังกรแสดงอภินิหาร หิมะจะหยุดในสามวัน สามวันให้หลัง พายุหิมะที่ดำเนินติดต่อกันสิบวันค่อยหยุดลง’
‘รัชสมัยต้าซ่ง ปีที่หนึ่งร้อยยี่สิบแปด ถนนใหญ่ที่มุ่งไปยังเมืองม่วงโชติปรากฏหมอกหนา คนที่เข้าไปหลงทิศทาง ไปโผล่ขึ้นที่ริมหาดทะเลน้ำแข็งสีขาวที่อยู่ห่างไกลหลายสิบลี้อย่างน่าประหลาด สิบวันให้หลัง หมอกค่อยจางหายไป’
ลู่เซิ่งอ่านถึงตรงนี้ แทบยืนยันได้แล้วว่า โลกนี้มิได้รวบรัดเหมือนที่เขาคิด ปีศาจมารภูตผีเกรงว่าอาจจะมีอยู่จริงๆ
อย่างน้อยในที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็มองไม่ออกว่าโลกใบนี้มีวิธีการอะไรที่ส่งผลต่อสภาพอากาศได้
เขาย้ายเก้าอี้ หยิบชุดไฟขึ้นมาจุดเทียนบนโต๊ะ
แสงเทียนสีเหลืองสว่างไหววูบ สาดส่องใบหน้าของเขาเห็นไม่ชัดเจน
‘ถ้าโลกใบนี้อันตรายเหมือนที่เราคาดเดาจริงๆ อย่างนั้นเราก็จำเป็นต้องหาอะไรมาปกป้องตัวเองสินะ ถ้าอย่างนั้น จะใช้อะไรปกป้องตัวเองล่ะ’
เขาถามตนเองเช่นนี้
ครุ่นคิดข้างโต๊ะอยู่ครู่หนึ่ง
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลุกขึ้น เป่าเทียนดับลง เก็บสมุดบนโต๊ะกลับคืนสู่ที่เดิมทีละเล่ม
จากนั้นผลักประตูออกไป
“คุณชาย ท่านอ่านบันทึกจบแล้วหรือ”
เสี่ยวเฉี่ยวที่กำลังยืนสัปหงกอยู่หน้าประตู สะดุ้งตื่นเพราะลู่เซิ่งออกประตูมาอย่างกะทันหัน แต่ยังตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
“อืม ตอนนี้ลุงจ้าวอยู่ไหน เจ้ารู้ไหม”
ลู่เซิ่งถาม
คนแซ่จ้าวและอายุมาก ในตระกูลลู่มีอยู่มากมาย แต่ผู้ที่ทุกคนเรียกว่าลุงจ้าวมีแค่คนเดียว
นั่นเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งตระกูลลู่ ที่ลู่ฟ่างเรียกว่าอาจ้าว จ้าวต้าหู่อาจารย์สอนวรยุทธ์ที่เก่งกาจที่สุด
“เอ่อ…ปกติตอนนี้ลุงจ้าวกำลังปรับเส้นเอ็น กระดูก และสั่งสอนข้ารับใช้ที่ลานฝึกวรยุทธ์” เสี่ยวเฉี่ยวมีความสัมพันธ์กับข้ารับใช้คนอื่นไม่เลว ข่าวสารนับว่ารวดเร็ว
“พวกเราไปหาเขากัน”
ลู่เซิ่งคิดอย่างละเอียดอยู่นาน รู้ว่าลุงจ้าวน่าจะเป็นเป็นกุญแจสำคัญที่ตัวเองสัมผัสได้ง่ายดายที่สุด สำหรับการทำให้ตนได้รับพลังเพื่อปกป้องตัวเองได้
เดินตามทางน้อยในคฤหาสน์ ลู่เซิ่งผ่านห้องพักสองแห่งจนมาถึงคฤหาสน์ด้านหลัง
บนลานฝึกใหญ่แห่งหนึ่ง ชายชราผมขาวโพลนกำลังนำข้ารับใช้สิบกว่าคนฝึกฝนการใช้หมัดและเท้า
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่สาดลงมา ค่อยๆ ลดทอนเรื่องราวน่าสะพรึงกลัวที่ได้ยินในตอนเช้ามืด
จ้าวต้าหู่อาจารย์สอนวรยุทธ์สวมชุดเข้ารูปพอดีตัว เสื้อตัวบนสีดำ กางเกงขายาวสีเทา หลังแบกดาบใหญ่สันหนาที่ไม่เคยห่างตัวเล่มหนึ่ง
ลู่เซิ่งรอดูอยู่ด้านข้าง
เมื่อจ้าวต้าหู่ฝึกฝนเหล่าข้ารับใช้ได้สักพัก ก็ให้พวกเขาจับคู่ฝึกกันเอง
เขาเห็นลู่เซิ่งตั้งแต่แรกแล้ว จึงเดินเข้ามาหา
“คุณชายใหญ่ ไฉนวันนี้มีเวลามาลานฝึก มีเรื่องอันใดต้องการให้ตาเฒ่าอย่างข้าช่วยหรือ”
ตำแหน่งของจ้าวต้าหู่ในคฤหาสน์ไม่ต่างกับนายท่านผู้เฒ่ามากนัก
ที่เหลือยังมีอาจารย์สอนวรยุทธ์อีกหลายคน ต่างมีตำแหน่งไม่ต่ำต้อย เทียบได้กับคุณชายคุณหนูเช่นพวกเขาเหล่านี้ ดังนั้นส่วนใหญ่จึงสนทนาในระดับเดียวกัน
ลู่เซิ่งมองเหล่าข้ารับใช้ที่กำลังฝึกฝนท่าหมัดเท้าอยู่ไม่ไกล
“ลุงจ้าว ข้าอยากฝึกวรยุทธ์”
พอเขากล่าวประโยคนี้จบ รอยยิ้มบนใบหน้าจ้าวต้าหู่พลันค้างไป
“คุณชายเซิ่ง ท่านมิใช่มาล้อเล่นกับตาเฒ่าอย่างข้ากระมัง”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
เขาคิดอยู่นาน สถานที่เพียงแห่งเดียวที่สามารถฝึกฝนพลังป้องกันตัวเองได้ง่ายดายที่สุดในตอนนี้ ก็คือตามหาอาจารย์สอนวรยุทธ์ในตระกูลเพื่อฝึกวรยุทธ์
วิชาดาบของลุงจ้าว จ้าวต้าหู่ ผู้เป็นอาจารย์สอนวรยุทธ์ในตระกูล ในมืองเก้าเชื่อมนี้มีไม่กี่คนที่เหนือกว่าเขา
จ้าวต้าหู่มองลู่เซิ่งอย่างจริงจัง แล้วส่ายศีรษะ
“คุณชายเซิ่ง ถ้าคิดฝึกวรยุทธ์จริงๆ ด้วยความสามารถน้อยนิดของข้าผู้เฒ่า มิใช่ไม่อาจถ่ายทอดแก่ท่าน เพียงแต่…ตอนนี้ท่านอายุมากเกินไป โครงกระดูกเข้ารูปแล้ว มีการเคลื่อนไหวมากมายที่ไม่อาจฝึกจนชำนาญได้
“การเคลื่อนไหวนี้หากฝึกไม่ชำนาญ อานุภาพจะลดลงมาก…”
“ไม่เป็นไร ลุงจ้าวสอนข้าให้เต็มที่ก็พอ”
ลู่เซิ่งไม่เพียงแค่คิดหาพลังปกป้องตัวเอง ยังคิดจะทดลองเรื่องหนึ่งด้วย
จ้าวต้าหู่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
แต่แล้วก็ตอบรับอย่างผ่าเผย
“เอาเถอะ ข้าไม่มีทายาท อยู่ในตระกูลลู่มาหลายปี ได้รับความสะดวกสบายมาก นายท่านผู้เฒ่าปฏิบัติกับพวกเราไม่เลว” ตามกฎเกณฑ์แล้ว ท่านเรียนวิชาของข้า ต้องกราบข้าเป็นอาจารย์
“แต่ด้วยความสัมพันธ์ของข้ากับตระกูลลู่ ไม่ต้องกราบข้าเป็นอาจารย์แล้ว ขอแค่ท่านไม่เผยแพร่สู่ภายนอกก็พอ”
จ้าวต้าหู่โบกมือ
ลู่เซิ่งในฐานะคุณชายใหญ่ ไม่ช้าก็เร็วต้องรับสืบทอดกิจการของของตระกูลลู่
ในใจเขาจึงมีความคิดจะร่นระยะห่างกับอีกฝ่ายด้วย
“แต่ว่าคุณชายเซิ่ง มีคำพูดที่ข้าต้องกล่าวกับท่านให้ชัดเจนก่อน”
“ท่านบอกออกมา” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างจริงจัง
จ้าวต้าหู่ลูบเคราใต้คาง กล่าวเสียงทุ้ม
“ข้ารู้ว่าท่านได้รับการกระทบกระเทือนจากคดีตระกูลสวีเมื่อเช้านี้ จึงคิดเรียนวรยุทธ์เพื่อป้องกันตัว
“แต่ข้าขอพูดกับท่านให้ชัดเจน ต่อให้เป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพที่แกร่งที่สุด ก็รับมือกับเรื่องเร้นลับพิสดารเหล่านั้นไม่ได้
“…ข้าเข้าใจแล้ว…”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ในใจข้าเพียงไม่อยากยอมรับ อยากทำสิ่งที่ตัวเองทำได้ก็พอ”
“คุณชายเซิ่ง เข้าใจก็ดีแล้ว” จ้าวต้าหู่คิดเล็กน้อยก่อนหยิบคัมภีร์เล็กๆ เล่มหนึ่งออกมา คัมภีร์เล่มนั้นใช้ผ้าสีเหลืองหลายชั้นห่อเอาไว้
เขาค่อยๆ เปิดออก นำคัมภีร์เล่มเล็กที่อยู่ด้านในสุดออกมา
ปกคัมภีร์เขียนตัวอักษรตัวใหญ่สองสามตัว
‘วิชาดาบพยัคฆ์ดำ’
……………………………………….