ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 304 สายเลือด (2)
บทที่ 304 สายเลือด (2)
‘ไม่…ความจริงพลังทางสายเลือดของเราน่าจะกระตุ้นไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่เราฝึกฝนวิชาลับมารกำเนิดไปถึงขอบเขตที่สูงจนเกินไป สายเลือดในร่างจึงถูกกระตุ้นอีกครั้ง เป็นการกระตุ้นโดยตรงที่รุนแรง ’ ลู่เซิ่งเข้าใจ
‘ตอนนี้ท่านพ่อบอกในจดหมายว่ามารดาบังเกิดเกล้าของเราโผล่มา แถมยังคิดจะพาเราไปอีก’ สามารถทำให้ตระกูลลู่ระดมกำลังส่งจดหมายมาถึงมือเขาได้ เห็นได้ว่าสถานะของอีกฝ่ายจะต้องไม่ใช่ขุมกำลังทั่วไปแน่
‘ไม่แปลกหรอก ตระกูลที่มีพลังทางสายเลือดไม่มีทางเป็นตระกูลธรรมดาอยู่แล้ว’ ลู่เซิ่งวางจดหมายลงในมือ ปล่อยให้มันถูกเผากลายเป็นผงสีดำแล้วโปรยปรายไป
ลู่เซิ่งสงสัยถึงความเป็นมาของพลังทางสายเลือดในร่างมาโดยตลอด ทว่าหลังจากมาถึงสำนักมารกำเนิด เขาก็พบคนที่มีพลังทางสายเลือดอ่อนแอถึงขีดสุด จนไม่ต่างจากคนธรรมดาเหมือนตัวเองเป็นจำนวนมาก หากไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย หลายๆ คนจะกลายเป็นคนธรรมดาโดยสมบูรณ์หลังจากเวลาผ่านไป
เขาค้นพบผ่านการตรวจสอบว่า การที่ตระกูลขุนนางและเหล่าสำนักต่างๆ มีพฤติกรรมส่ำส่อนมานานและมีความสามารถในการขยายพันธุ์ที่น่าตกตะลึง เกรงว่าท่ามกลางคนธรรมดามีความเป็นไปได้สามถึงสี่ส่วน ที่จะมีสายเลือดตระกูลขุนนางที่เบาบางถึงขีดสุด เพียงแต่เบาบางจนกระตุ้นไม่ได้เท่านั้น
ตระกูลขุนนางไม่ได้มองทายาทเหล่านี้เป็นคนรุ่นหลัง หากถือให้เป็นเป็นคนที่ปลุกสายเลือดจนตื่น
‘มารดาบังเกิดเกล้าหรือ’ ลู่เซิ่งลูบที่เท้าแขนของเก้าอี้เบาๆ ‘ในเมื่อมีมารดาบังเกิดเกล้า อย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นกับแม่เลี้ยงในตอนแรกกัน’
เขาได้ฟังจากปากญาติสายตรงของบิดาลู่เฉวียวอันว่า มารดาซุนเยี่ยนให้กำเนิดร่างกายนี้ออกมาในห้องปีกด้วยมือหมอตำแย ย่อมต้องเป็นสายเลือดของตระกูลลู่ไม่ผิดแน่
จดหมายพูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน บอกเขาว่าไม่ต้องกังวล
‘เกิดภัยพิบัติมารพอดี อาจารย์ลิ่วซานจื่อก็อยู่ เราทิ้งมารหยินสักตัวให้เฝ้าด้านนอก อาจรีบกลับไปได้’ ตอนนี้เขาสามารถใช้ปราณมารในการลอยตัวไปกลางอากาศ จนมีความเร็วเหนือกว่าก่อนหน้าได้แล้ว
เทียบการเดินทางเป็นเส้นตรงกลางอากาศกลับการอ้อมไปอ้อมมาบนบกแล้ว อย่างน้อยก็ลดระยะทางไปได้ครึ่งหนึ่ง
ความจริงลู่เซิ่งรู้สึกว่าตนเองประหลาดขึ้นทุกที ปราณภายในที่ฝึก ทำให้คนกลายพันธุ์ได้ เกรงว่านี่จะมีความเกี่ยวข้องบางส่วนกับพลังทางสายเลือดในร่างกาย เขาคิดจะคุยกับมารดาของร่างนี้ดู หนำซ้ำยังมีสำนักไตรอริยะในตอนนั้นและโลกปริศนาที่ประตูบานใหญ่อันลึกลับเชื่อมไปถึงอีก เขาอยากจะทำความเข้าใจมาโดยตลอดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลังจากตกลงใจแล้ว ลู่เซิ่งก็ลุกขึ้นไปผลักประตู
ด้านนอกมีหมอกสีขาวแผ่กระจาย ผีตาเดียวขนาดมหึมาตัวหนึ่งเดินวนไปวนมาอยู่กลางลาน บางครั้งก็หยุดลง ไม่รู้ว่ามองอะไรอยู่ ถึงอย่างไรก็เดินเตร่อยู่ในอาณาเขตที่กำหนดไว้แน่นอนมาโดยตลอด
พอลู่เซิ่งออกมา ผีตนนี้ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ สายตามองมายังด้านนี้ในทันที พอสัมผัสได้ถึงดวงตาของลู่เซิ่ง มันพลันตัวสั่นน้อยๆ และยืนก้มหน้าแสดงความเคารพอย่างจริงใจต่อลู่เซิ่งอยู่กับที่
ลู่เซิ่งไม่สนใจมัน หลังจากเขาสอนผีที่ชื่อตู้เย่ตนนั้น ผีทุกตนในเวลากลางคืนก็ไม่มีเจตนาร้ายกับเขาอีก ถึงขั้นมีท่าทีเคารพนบนอบ
เห็นได้ชัดว่าพวกมันส่วนใหญ่ล้วนเป็นผีที่ไม่มีสติปัญญา
“ศิษย์พี่ซ่งจื่ออัน” ลู่เซิ่งเดินไปถึงด้านใต้หอ ก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
ซู่…
ไม่ไกลออกไปมีร่างคนที่เป็นหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งลอยออกมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง
“อยู่นี่ๆ ศิษย์น้องลู่ทางนี้!” ซ่งจื่ออันก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พลางชูมือมายังตำแหน่งของตน
“ข้าอยากไปด้านนอก จะแบ่งมารหยินตัวหนึ่งไว้คอยคุ้มครองที่นี่ ใช้เวลาไม่นานมาก” ลู่เซิ่งเอ่ยเบาๆ
“เจ้าบอกอาจารย์เอาก็ได้นี่” ซ่งจื่ออันกล่าวพลางยักไหล่
“ไม่นานข้าก็กลับแล้ว รีบไปรีบกลับเพื่อเตรียมการอพยพในภายหลัง” ลู่เซิ่งเกลี้ยกล่อมให้ลิ่วซานจื่อย้ายสำนักสำเร็จแล้ว แม้ว่าบึงมารจะน่าเสียดายมาก แต่ความปลอดภัยสำคัญมากกว่า
“ได้ ข้าจะบอกให้” ซ่งจื่ออันไม่ได้พูดถึงเรื่องของมารในหิน ลู่เซิ่งก็คร้านจะพูดถึง ตัวโง่เง่านั่นหลอกลวงได้ง่ายอย่างนึกไม่ถึง แต่ก็ช่วยเขาไว้ส่วนหนึ่ง อย่างไรมันก็มีแก่นมารไม่มาก จะดูดหรือไม่ดูดแก่นมารก็หาเป็นไรไม่ จึงปล่อยเขาไป
หลังจากฝากข้อความไว้กับซ่งจื่ออัน ลู่เซิ่งก็คิดว่าจะพาพวกสตรีกางร่มไปด้วยดีหรือไม่ แต่การกลับไปคนเดียวน่าจะเร็วกว่า
ตอนนี้ภัยพิบัติมารเริ่มเข้าสู่ช่วงชะงักงัน ทัพมารกระชับพื้นที่ในเมืองทั้งเก้า ทั้งยังเริ่มสร้างกองทัพและป้อมปราการ สภาพแวดล้อมรอบๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพราะปนเปื้อนปราณมาร ถึงขั้นที่พืชและสัตว์ส่วนหนึ่งซึ่งตอนแรกไม่มีอันตรายก็กลายเป็นอันตรายถึงขีดสุด
การสร้างหอคอยประกายมารหลายแห่งได้ขยายอาณาเขตขุมกำลังมารเพิ่มอีกขั้น
ตอนแรกลู่เซิ่งนึกว่าการดูดซับปราณมารจากทัพมารจะเพิ่มปริมาณแก่นมารของตัวเองได้ แต่ภายหลังค่อยพบว่าปราณมารอันน้อยนิดที่ดูดซับมาได้ ไม่อาจเปลี่ยนเป็นแก่นมาร ใช้แค่ครั้งเดียวก็หมดไป
ฐานที่มั่นสามจุดอย่างเมืองล่าอินทรี ตำหนักแดงเดือด และเมืองแปลงดาวค่อยๆ มั่นคง ทัพมารตีแตกได้ยากถึงขีดสุด ต่อให้เป็นตำหนักแดงเดือดที่อ่อนแอที่สุดในสถานที่ทั้งสามแห่ง ก็มีค่ายกลโบราณกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของสำนักมากมายรวมตัวกันอยู่ สามารถใช้พลังของค่ายกลร่วมกับใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์สร้างพลังงานป้องกันได้ ดีกว่าสำนักมารกำเนิดมากโข
เป้าหมายต่อจากนี้ของทัพมาร เกรงว่าจะเป็นการตีฐานที่มั่นสามฐานที่เหลืออยู่ให้แตกทีละฐาน และพวกมันน่าจะเล็งเห็นฐานที่มั่นซึ่งมีพลังป้องกันไม่พออย่างสำนักมารกำเนิด
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ลู่เซิ่งอยากไปจากจงหยวน
แหล่งกำเนิด…ที่ดีที่สุดของแก่นมารก็คือมารโบราณข่าเฟยที่อยู่ใต้ดิน
‘น่าเสียดาย…’ ภายหลังลู่เซิ่งเข้าไปในผนึกหลายครั้ง แต่ไม่เจอมารโบราณตนนั้นอีก ผนึกในตอนนี้กลายเป็นสวนหลังบ้านที่ปลอดภัย ขอแค่ทนความเข้มข้นของปราณมารที่อยู่ด้านในได้ ก็จะเข้าออกได้อย่างอิสระ กระนั้นตอนนี้ในสำนักมารกำเนิดนอกจากเขาแล้ว แม้แต่อาจารย์ลิ่วซานจื่อก็ทำไม่ได้
‘ยังมีปัญหาอีกอย่าง ทุกคนนึกว่าที่เราปีนป่ายสู่สวรรค์ข้ามขั้นไปหลายขั้นจนสำเร็จ เป็นเพราะเราได้หลอมรวมเข้ากับอาวุธเทพศัสตรามารและสำเร็จเป็นผู้ถืออาวุธ ถ้าหากเปิดเผยว่าเราไม่มีอาวุธเทพศัสตรามารสักชิ้น คงจะยุ่งยากจริงๆ ซะแล้ว” ในใจลู่เซิ่งยังคงเป็นกังวลในใจ
การดำรงอยู่ของเขาได้ทำลายการปกครองอย่างมั่นคงของระบบอาวุธเทพศัสตรามารโดยสิ้นเชิง เกิดว่ามีคนรู้เรื่องแล้วป่าวประกาศออกไป เกรงว่าพริบตาเดียวเขาจะกลายเป็นเป้าหมายที่ตระกูลขุนนางทั้งหมดให้ความสนใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
ลู่เซิ่งเก็บข้าวของในสำนักมารกำเนิด ก่อนจะอาศัยช่วงเวลากลางคืนผละไปอย่างเงียบงัน
เขาปล่อยอสรพิษริษยาไว้ตรงปากถ้ำ มารตนใดที่เข้าใกล้หากมีพลังไม่พอก็จะเข้าใกล้ไม่ได้ พวกที่ฝืนเข้าใกล้จะฆ่าตัวตายเพราะได้รับผลกระทบจากสนามพลังที่ปั่นป่วน
นี่เป็นวิธีการป้องกันที่เรียบง่ายและสะดวกที่สุด ขณะเดียวกันก็รับประกันได้ด้วยว่า จะมีเขตกันชนของสนามพลังปั่นป่วนดำรงอยู่ด้วย
ลู่เซิ่งใช้สภาพหยินโชติช่วงที่ความรู้สึกในการดำรงอยู่อ่อนแอ สะกิดเท้า ความเร็วอันน่ากลัวระเบิดขึ้น พริบตาเดียวเขาก็หายไปจากปากถ้ำ โดยพุ่งผ่านเมฆดำบนท้องฟ้ายามราตรีไปยังทิศเหนือ
ฟ้าว…!
กระแสอากาศเคลื่อนผ่านลู่เซิ่งด้วยความเร็วสูง ด้านหลังเขาปรากฏควันขาวหลายสาย เขาถอดเสื้อผ้าบนร่างออกเก็บไว้ เปลือยร่างพร้อมกับบินไปด้วย
เพียงแต่ร่างเปลือยของเขาไม่ได้หมายความว่าเปลือยเปล่าโดยสิ้นเชิง แต่สวมเกราะเกล็ดไว้บนตัวเหมือนกับสวมเกราะอ่อนปิดไว้ทั้งตัว
ปราณมารปริมาณมากพรั่งพรูออกมาด้านหลังของลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เพื่อเป็นแรงผลักดันซึ่งช่วยให้เขาบินได้ด้วยความเร็วสูง
บินไปได้ราวหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ผืนดินด้านล่างก็เริ่มเปลี่ยนจากที่ราบสีเหลืองเทาเป็นขุนเขาเล็กๆ ที่สูงต่ำไม่สม่ำเสมอ
ขุนเขาสีเขียวขจีที่ทอดยอดยืดเหยียดไปสุดลูกหูลูกตา
อากาศค่อยๆ เย็นลง
ลู่เซิ่งค่อยๆ เพิ่มระดับความสูง ปราณมารทะลักออกมาจากด้านหลังเร็วกว่าเดิม เกราะเกล็ดบนสองบ่ากับส่วนศีรษะเริ่มแดงขึ้นเนื่องจากเสียดสีกับอากาศด้วยความเร็วสูงจนร้อนเล็กน้อย
บินไปอีกครึ่งชั่วยามกว่าๆ อาณาเขตที่เป็นภูเขาก็เริ่มบางตา ด่านกำแพงอันยิ่งใหญ่ด่านหนึ่งปรากฏในสายตาของลู่เซิ่ง
ที่นี่เป็นป่าที่รกร้างมากที่สุด กำแพงเมืองไม่เห็นประตูเข้าออก เป็นเพียงกำแพงหนาหนักทอดยาวไปยังที่ไกล และแบ่งแดนเหนือกับจงหยวนจากหนึ่งเป็นสอง
รอบๆ ไร้ผู้คน เป็นทุ่งร้างผืนหนึ่ง
‘หือ’ ทันใดนั้นลู่เซิ่งหรี่ตามองสายน้ำสายหนึ่งข้างกำแพงเมือง
เงาร่างสีเขียวเข้มสองสายเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง เหมือนกับกำลังต่อสู้เข่นฆ่ากันด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
ลู่เซิ่งจดจำคนคนหนึ่งในนี้ได้ทันที
‘ตวนมู่หว่านหรือ’ เขามองออกว่าตวนมู่หว่านดูเหมือนกำลังหยอกล้อคู่ต่อสู้อยู่ในสภาพที่ได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้ลงมือสังหารอย่างแท้จริง หนำซ้ำท่วงท่าการเคลื่อนไหวของทั้งสองยังคล้ายกัน ต่างเป็นเป็นสตรีที่หน้าตาไม่ธรรมดา เหตุนี้ต้องมีเลศนัยอยู่แน่
เขาใคร่ครวญเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้หยุดทักทาย แต่บินข้ามหัวทั้งสอง มุ่งหน้าไปยังเมืองเลียบคีรีต่อ
เป็นเพราะเขาอยู่สูงเกินไป ทั้งสองคนที่อยู่ด้านล่างจึงสัมผัสไม่ได้ว่า มีคนบินด้วยความเร็วสูงอยู่เหนือขึ้นไปมากกว่าพันลี้ ยังคงต่อสู้เข่นฆ่ากันอยู่
ลู่เซิ่งข้ามผ่านกำแพงด่านศรัทธารุ่งโรจน์ บินต่ออีกหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ในที่สุดก็ไปถึงชานเมืองเลียบคีรีในเวลาเที่ยง
เขาเจอพื้นหญ้าริมแม่น้ำ ก่อนจะร่อนลงไปถึงร่มไม้โดยแทรกตัวกับอีกาฝูงใหญ่ มองดูไกลๆ หากไม่ใช่ผู้มีสายตาน่าตกตะลึงเพ่งมอง ก็จะมองไม่ออกว่ามีคนคนหนึ่งทิ้งตัวลงมาจากท้องฟ้า
ลู่เซิ่งทำความสะอาดเนื้อตัว ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บเกราะเกล็ด กลับกลายเป็นคุณชายร่างกำยำที่ในความปลอดโปร่งแฝงความเคร่งขรึมอีกครั้ง
เขาเดินเลียบแม่น้ำเข้าเมือง เดินผ่านนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่กำลังพลอดรักกัน ปะปนเข้าไปในฝูงชนเหมือนคนธรรมดา โดยใช้ถนนเส้นใหญ่ที่เชื่อมสู่ประตูเมืองเลียบคีรี
ยังไม่ทันเข้าเมือง เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพิเศษที่ต่างจากคนธรรมดาหลายสายในเมือง
กลิ่นอายนี้มหัศจรรย์อย่างยิ่ง เหมือนกับยืนรับความร้อนอยู่ด้านหน้ากองไฟที่ลุกโชน พวกเขาปลดปล่อยกลิ่นอายของตัวเอง โดยไร้ความเกรงกลัวและไร้การปิดบัง คล้ายกำลังจัดแสดงอะไรอยู่
‘กลิ่นอายแบบนี้…คล้ายๆ กับพลังทางสายเลือดของเราอยู่บ้าง…’ ลู่เซิ่งหยีตาก่อนจะสาวเท้าเดินไปยังทิศทางที่กลิ่นอายดำรงอยู่
หวังว่าเจ้าของกลิ่นอายนี้จะให้คำตอบที่น่าพอใจกับเขาได้ ถ้าหากดูจากเนื้อความบนจดหมาย มารดาของเขาไม่ใช่ซุนเยี่ยนแต่เป็นสตรีที่มาหา อย่างนั้นเหตุใดผ่านไปตั้งหลายปีนางไม่กลับมา ทว่ากลับมาหาในเวลานี้
ลู่เซิ่งไม่คิดว่าข่าวที่ตนเองเลื่อนระดับ จะส่งกลับมาแดนเหนือได้ หลังภัยพิบัติมารอุบัติ ทางแดนเหนืออย่างมากสุด คงนึกว่าเขาซึ่งอยู่ในระดับประมุขพรรควาฬแดง อาจจะแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่น่าจะแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ นอกจากนั้นก็ไม่รู้อะไรเลย
นี่เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เขากลับมาก่อน กลิ่นอายหลายสายในเมืองล้วนแข็งแกร่ง คงจะไม่ได้มาดึงเขาเป็นพวกเพราะสถานะของประมุขพรรคธรรมดาแน่ แบบนี้จะได้เห็นเป้าหมายของพวกเขาได้ชัดกว่าเดิม
‘ถ้ามีเป้าหมายแอบแฝง อย่างนั้นก็ฆ่าให้หมด ครอบครัวในชาตินี้นอกจากตระกูลลู่ที่เลี้ยงมาแล้ว คนที่เหลือก็แค่ความยุ่งยาก ในเมื่อตอนแรกไม่ต้องการ ก็ไม่จำเป็นต้องมาหาเรา’ ลู่เซิ่งชืดชากับเรื่องนี้มาก เทียบกับสายเลือดแล้ว เขาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และบุญคุณเลี้ยงดูมากกว่า
……………………………………….