ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 307 เรื่องเร้นลับ (1)
บทที่ 307 เรื่องเร้นลับ (1)
ครึ่งเดือนต่อมา…
ณ ราชวงศ์ต้าอิน เหนือนครหลวงขึ้นไปสามพันสี่ร้อยหกสิบห้าหมี่
ฟ้าว!
กระบี่สีแดงเล่มหนึ่งเหมือนกับทำขึ้นจากทับทิมคุณภาพสูง มีงูสองหัวที่เกิดจากเปลวไฟสามตัวเลื้อยอยู่รอบคมกระบี่พลางส่งเสียงลุกไหม้เบาๆ
กระบี่ฟันขวางออกไปกลางอากาศ ลากเป็นรอยกระบี่สีแดงสว่างไสว
หยวนกวงหรงเก็บกระบี่อย่างแผ่วเบาแล้วก้มหน้ามองนครหลวงที่กว้างใหญ่ด้านล่าง
สิ่งก่อสร้างสีขาวเทาที่แบ่งระดับกันอย่างชัดเจนขยายออกไปรอบๆ ข้างใต้นาง คล้ายกับแค่ย่ำเบาๆ ก็ทำลายได้อย่างง่ายดาย ราวกับของเล่นทำจากไม้จำนวนนับไม่ถ้วน
ไกลออกไปมีเหยี่ยวยักษ์สีน้ำเงินฝูงหนึ่งบินฉวัดเฉวียนอยู่รอบหอคอยชมเมือง
จากมุมมองของหยวนกวงหรง พวกมันเหมือนกับจุดสีน้ำเงินเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย
“หรง เจวี่ยนหวนทางต้าซ่งกลับมาแล้ว เจ้าคิดจะจัดการนางอย่างไร” ร่างบุรุษที่ประกอบขึ้นจากเมฆสีขาวอย่างพร่ามัวคนหนึ่งปรากฏขึ้นด้านข้างหยวนกวงหรงก่อนกล่าวถามเบาๆ
“นางโปรยเมล็ดพันธุ์ในต้าซ่งหลายร้อยเมล็ด ครั้งนี้จำนวนการตื่นคงจะครบแล้วถึงได้กลับมา ปัจจุบันตระกูลเสียหายอย่างสาหัสเพราะการรบ มีตำแหน่งว่างมากมาย หากให้นางรับผิดชอบเมืองใหญ่ ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร” หยวนกวงหรงกล่าวอย่างราบเรียบ ภายนอกนางเหมือนกับสตรีธรรมดาอายุยี่สิบกว่าปี แม้ไม่งดงาม หุ่นไม่นับว่าดี เพียงแต่ผมยาวถึงบ่าสีแดงเพลิงที่เจิดจ้าเสียจนเหมือนเปลวไฟที่ลุกไหม้ก็สะดุดตาคนเป็นพิเศษ
ไม่ว่าใครก็มองไม่ออกว่า นางเป็นหนึ่งในผู้ถืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลหยวนกวง หนึ่งในสามตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งต้าอิน
“แล้วแต่เจ้าเถอะ นางเป็นทายาทของเจ้านี่ จะจัดการอย่างไรก็เป็นเรื่องของเจ้า” บุรุษที่ประกอบขึ้นจากเมฆกล่าวอย่างไม่นำพา “ภัยพิบัติมารทางด้านต้าซ่งเล่า…”
“มิต้องใส่ใจ” หยวนกวงหรงตอบอย่างสงบ “รอเจวี่ยนหวนกลับมา ค่อยให้นางรับผิดชอบทางด้านนั้น”
“แล้วฉินอวี่เล่า” เขางุนงง
“ฉินอวี่…ถ้ามันตอบรับว่าจะตัดขาดกับสตรีนางนั้น ข้าจะพิจารณาให้มันควบคุมหอคอยดาราต่อไป” หยวนกวงหรงกล่าวอย่างราบเรียบ
“…ฉินอวี่…ก็เป็นลูกเจ้าเช่นกัน เจ้าใจดำยิ่ง…” บุรุษกล่าวอย่างจนปัญญา
“ถ้ามันไม่ใช่ลูกข้า มันคงตายไปนานแล้ว” หยวนกวงหรงแสยะยิ้มอย่างเย็นชา
…
ณ สำนักมารกำเนิด
ลู่เซิ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ในส่วนเว้าของผนังหินแห่งหนึ่งที่อยู่สูงขึ้นไปบนถ้ำ จากตำแหน่งนี้เขาสามารถมองเห็นสภาพบนลานกว้างทั้งหมดของสำนักมารกำเนิดได้อย่างชัดเจน
เขาเป็นคนขุดส่วนเว้านี้ขึ้น เพื่อใช้เป็นแท่นชมทิวทัศน์ด้วยตนเอง
อาจารย์ลิ่วซานจื่ออยู่ในส่วนเว้าด้านหลัง โดยนั่งอยู่หน้าโต๊ะหยกศิลาตัวหนึ่ง เขากางแผนที่โบราญที่เหลืองซีดแผ่นหนึ่งออกเบาๆ
มุมบนขวาของแผนที่บันทึกยุคสมัยว่า ต้าซ่งปีแรก ราชวงศ์หมิงซวน
นี่เป็นผลิตผลในช่วงสถาปนาประเทศของต้าซ่งเมื่อพันปีก่อน
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจอพยพ เช่นนั้นแผนที่นี้ก็นับว่าได้ใช้ประโยชน์แล้ว” ลิ่วซานจื่อกางม้วนแผนที่ออกทีละนิดๆ ทั้งยังคอยเป่าฝุ่นที่ติดอยู่ด้านบนตลอดเวลา
“อาจารย์ ท่านมีสมบัติไม่น้อยทีเดียว มีแม้แต่ของแบบนี้ด้วย” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เป็นแค่ต้นแบบที่ปรับแก้เอง หลังออกท่องเที่ยวตอนสมัยยังหนุ่มเท่านั้น เจ้าลองพิจารณาดู” ลิ่วซานจื่อพูดยิ้มๆ “จะว่าไปเจ้าอาจจะไม่รู้ว่า โลกใบนี้เป็นทรงกลม หากเดินทางเป็นเส้นตรงจากสถานที่หนึ่งไปอีกสถานที่หนึ่ง ตามทฤษฎีแล้วจะกลับมาที่เดิมได้ ดังนั้นตอนเห็นเส้นขอบฟ้า ก็จะสามารถเห็นเรือที่อยู่ไกลออกไปได้ เพียงแต่มันจะค่อยปรากฏขึ้นมาจากด้านบนลงมาด้านล่าง”
“อ้อ!?” ลู่เซิ่งทำหน้าประหลาดใจ เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าลิ่วซานจื่อจะหัวก้าวหน้าขนาดนี้ แต่ก็ไม่แปลก หลังบรรลุระดับอสรพิษก็จะเริ่มอยู่เหนือธรรมชาติมากขึ้น พลังเหนือธรรมชาติของระดับอสรพิษจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การมีความรู้แบบนี้ไม่น่าประหลาดอะไร
ลิ่วซานจื่อใช้นิ้ววาดบนแผนที่หลังกางแผนที่เสร็จ
“ต้าซ่งของพวกเราอยู่ในทวีปด้านใต้ อาณาเขตของทวีปด้านใต้มีสามประเทศได้แก่ ต้าเฉิน ต้าอิน ต้าซ่ง ต้าเฉินกับต้าอินเป็นศัตรูกัน ปกติพวกเราต้าซ่งจะปิดประเทศเพราะความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ ทว่าพลังอำนาจกลับอ่อนแอ ไม่มีการติดต่อกับประเทศอื่นๆ มากนัก ประเทศที่มีพื้นที่ขนาดกลางถึงเล็กอย่างรัฐมหาเกียรติ มีพลังอำนาจแข็งแกร่ง แต่พื้นที่ไม่มาก ทรัพยกรไม่อุดมสมบูรณ์ จึงไม่เหมาะจะย้ายไป”
ลู่เซิ่งเดินมาอ่านแผนที่อย่างละเอียด
ตำแหน่งของต้าซ่งอยู่ด้านล่างสุด สองด้านเชื่อมกับอาณาเขตใหญ่ โดยที่ด้านซ้ายคือต้าอิน ด้านขวาคือต้าเฉิน ระหว่างสองประเทศนี้กับต้าซ่งคั่นด้วยเส้นหนาสีดำสนิทที่ยืดยาวติดต่อกัน
“เส้นนี้คือทะเลไร้แสงที่ประกอบขึ้นจากเทือกเขาและป่ารกร้างมากมาย แม้ดูเหมือนข้าจะวาดตรงนี้ไว้อย่างละเอียด แต่ความจริงแล้ว ส่วนใหญ่เป็นครึ่งหนึ่งของต้าซ่ง ด้านในเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน เป็นโลกของปีศาจและสิงสาราสัตว์”
“น่าจะมีเส้นทางที่ผ่านได้กระมัง” ลู่เซิ่งถาม
“แน่นอน แต่ไม่เยอะมาก ทั้งยังไม่มีหอเฝ้ายามคอยป้องกันเพราะมีระยะห่างมากเกินไป ความปลอดภัยในการเดินทางต้องรับผิดชอบเอง” ลิ่วซานจื่ออธิบาย
“อย่างนั้น…ก็ไปต้าอินก็แล้วกัน” ลู่เซิ่งจิ้มนิ้วลงที่ตำแหน่งของต้าอินที่อยู่บนแผนที่เบาๆ “ความจริงแล้วต้าอินอยู่ใกล้กว่าต้าเฉิน ถ้าพวกเราใช้เส้นทางนี้” เขาวาดเส้นตรงเฉียงๆ จากต้าซ่งไปยังต้าอิน
“นี่…ระยะทางที่ไกลมาก อาณาเขตอันตรายที่จะเจอก็มีมากเช่นกัน เกรงว่า…” ลิ่วซานจื่อลังเลเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร ข้ากรุยทางเอง” ลู่เซิ่งไม่นำพา
“ถูกต้องแล้ว มีเจ้าอยู่ ย่อมไม่มีอะไรต้องกังวล” ลิ่วซานจื่อพยักหน้าเห็นด้วย “แล้วเจ้าจะจัดการทางแดนเหนืออย่างไร”
“ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายก็ย้ายไปด้วยกัน เพียงแต่จำนวนคนมากไปบ้าง เวลาที่ต้องใช้ในการจัดการวางแผนค่อนข้างจะ…”
ลู่เซิ่งไม่ได้พูดต่อ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกระพือปีกดังมาจากด้านหลัง เขาหันไปมอง นกพิราบสีขาวราวหิมะตัวหนึ่งหุบปีกยืนอยู่บนดาดฟ้า กำลังเดินมาหาเขา
ลู่เซิ่งกวักมือ กระดาษบนเท้าของนกพิราบลอยมาตกลงกลางฝ่ามือของเขาอย่างแผ่วเบา
เขาเปิดกระดาษออกอ่าน จากนั้นก็ใคร่ครวญสักพัก
“อาจารย์ ข้าขอลงไปก่อน”
“ไปเถอะ ตั้งใจพักผ่อน” ลิ่วซานจื่อโบกมือ
ลู่เซิ่งพยักหน้าพลางถอยหลัง จากนั้นก็กระโดดลงจากดาดฟ้าไปยังหอฝึกฝนที่อยู่ไกลออกไป
หอฝึกฝนเอาไว้ให้ศิษย์ที่ต้องการกักตนใช้โดยเฉพาะ ภายนอกเป็นหอ แต่ความจริงหอนี้มีทางเข้าทางเดียว พื้นที่ใหญ่โตด้านในเป็นชั้นหินที่อยู่ลึกเข้าไป
ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงด้านหน้าหอ หลี่ซุ่นซีรออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
“สหายลู่ ท่านคิดจะอพยพจริงๆ หรือ” หลี่ซุ่นซีสวมอาภรณ์สีขาว เห็นเหงื่อบนหน้าผาก แสดงว่าเพิ่งวิ่งอย่างสุดแรงมาจากที่ไกล เดิมทีเขามีคุณสมบัติร่างกายของคนธรรมดา ภายหลังถ้าไม่ใช่เพราะได้พบเรื่องอัศจรรย์ติดต่อกันจนร่างกายได้รับการปรับปรุง คงทนสภาพแวดล้อมพิเศษที่มีปราณมารวนเวียนอยู่ของสำนักมารกำเนิดไม่ไหว
ดังนั้นตอนนี้แค่ใช้แรงกายไปเล็กน้อย เขาก็ทนไม่ไหวแล้ว
“ถูกต้อง” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ทำไมหรือ”
หลี่ซุ่นซีเงียบขรึมเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวไป “ท่านตามข้ามา! ข้ามีของให้ท่านดู” พอเขาพูดจบก็รีบวิ่งไปยังหอฝึกฝน
ลู่เซิ่งตามไปติดๆ ทั้งสองเข้าไปในหอ เดินตามเส้นทางศิลาที่วกวน แล้วเข้าไปในโถงศิลาที่ใหญ่อยู่บ้าง หลี่ซุ่นซีปิดประตู ใส่สลักหิน จากนั้นก็จุดตะเกียงบนผนัง
ทั้งสองทยอยนั่งลงบนเบาะกลมสองใบที่อยู่ตรงกลางห้องศิลาพร้อมกับสบตากัน
“สหายลู่ ข้าเรียกท่านมาแบบนี้คงไม่ว่าอะไรกระมัง” หลี่ซุ่นซีถามเสียงแผ่ว
“ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ต้องมีพิธีรีตองคร่ำครึแบบนี้หรอก” ลู่เซิ่งมองอีกฝ่ายอย่างสงบ ไม่รู้ว่าในน้ำเต้าเขาจะขายอะไร[1]
“ประเสริฐ ข้าจะให้ท่านดูสิ่งนี้” หลี่ซุ่นซีไม่เกรงใจ ยื่นฝ่ามือขวาออกมา จากนั้นก็กรีดฝ่ามือ รอยเลือดปรากฏขึ้น มีเลือดจำนวนมากไหลซึมออกมา
เลือดสีแดงเข้มไหลออกมาตามขอบฝ่ามือแล้วหยดลง แต่กลับไม่ได้หยดลงบนพื้น
เลือดทั้งหมดระเหยกลางอากาศกลายเป็นไอหมอกสีเลือด ไอหมอกลอยขึ้นก่อนจะผนึกตัวเป็นคันฉ่องสีเลือดบานหนึ่งกลางอากาศระหว่างทั้งสอง
ผิวคันฉ่องแวววาว ใบหน้าของบุรุษแก่ชราคนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้น สิ่งที่น่าประหลาดก็คือบุรุษผู้นี้มีเขากวางสีดำสนิทคู่หนึ่งบนศีรษะ
“นี่คือ…?” ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าหลี่ซุ่นซีให้เขาดูคนผู้นี้เพื่ออะไร
“นี่เป็นใบหน้าที่ข้าเคยเห็นมาก่อน เป็นใบหน้าของผู้อยู่เบื้องหลังทัพมาร” หลี่ซุ่นซีกล่าวอย่างเคร่งเครียด
“ท่านรู้ว่า ข้ามีความสามารถเห็นอนาคตเพราะครอบครองหยกลี้ลับ ความปั่นป่วนของเมืองทั้งเก้าเมื่อก่อนหน้านี้เดิมทีข้านึกว่าสถานการณ์ถูกกำหนดไว้แล้ว สุดท้ายเกิดการหักมุม ตัวแปรที่ใหญ่ที่สุดเช่นท่านปรากฏตัวขึ้น ดังนั้น ประวัติศาสตร์จึงเปลี่ยนแปลงไป…”
“ท่านกำลังบอกว่าคนผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ที่ท่านเห็นหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง
“ในนิมิตของข้า คนผู้นี้เป็นตัวการหลักที่แอบวางแผนเปิดประตูแห่งเลือดเนื้อ จนทำให้ต้าซ่งและหลายประเทศข้างเคียงต้องเผชิญกับภัยพิบัติมาร ในอนาคต เขาจะส่งจ้าวแห่งมารในสังกัด มายึดครองดินแดนของต้าซ่งทีละก้าวๆ จากนั้นก็จัดพิธีกฎเกณฑ์ขนาดใหญ่เพื่อเชื่อมต่อกับโลกที่อยู่สูงกว่า รวมถึงเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของโลกมนุษย์ให้กลายเป็นฐานที่มั่นของพิภพมาร” หลี่ซุ่นซีอธิบาย จากนั้นก็ถอนใจ “สำนักใบไม้เจอข้าแล้ว ข้าตอบรับแล้วว่าจะร่วมมือกับพวกเขา จะต้องหยุดยั้งไม่ให้คนผู้นี้บุกโลกมนุษย์อย่างสุดกำลัง”
“อย่างนั้นท่านเรียกข้ามาเพราะอะไรกัน” ลู่เซิ่งถามอย่างฉงน
“ต้าซ่งเป็นบ้านของพวกเรา เป็นมาตุภูมิของพวกเรา สหายลู่ หรือท่านไม่คิดจะช่วยเหลือแม้แต่นิดเดียว” หลี่ซุ่นซีงุนงงก่อนจะกล่าวอย่างผิดหวังอยู่บ้าง
“ไม่คิด”
หลี่ซุนซีคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าลู่เซิ่งจะตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
คนของสำนักใบไม้ ได้บอกเขาถึงนิสัยของลู่เซิ่งในตอนติดต่อกัน และพูดกับเขาว่าความเป็นไปได้ที่จะดึงคนผู้นี้มาเป็นพวกมีไม่มากนัก
ดูจากตอนนี้ บุคคลสูงส่งจากสำนักใบไม้เหล่านั้นพูดถูกต้องจริงๆ
“ในต้าซ่ง ณ เวลานี้คนมีพลังขั้นสุดยอดระดับสหายลู่น้อยเกินไป ถ้าหากท่านหลบลี้หนีห่าง จะต้องทำลายขวัญกำลังใจของยอดฝีมือระดับสุดยอดคนอื่นๆ อย่างใหญ่หลวงโดยไม่ต้องสงสัย” หลี่ซุ่นซีเกลี้ยกล่อม
“นั่นแล้วจะอย่างไร” ลู่เซิ่งพูดอย่างไม่สนใจ “เส้นทางของข้า การตัดสินใจของข้า เดิมก็ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่มากมายอยู่แล้ว ในตอนที่ต้องตัดสินใจอะไรสักอย่าง ก็หมายความว่าท่านจะต้องรับผิดชอบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจนี้ ทุกๆ คนล้วนเป็นเช่นนี้”
หลี่ซุ่นซีเงียบงัน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “หากคิดจะปิดประตูเลือดเนื้อสามบานของพิภพมารในตอนนี้ จะต้องขัดขวางวิญญาณมารของราชาแห่งความซีดขาวหวงฟู่เสียก่อน ความสามารถในการหลบหนีของราชาแห่งความซีดขาวแทบไม่มีวิธีแก้ไข ดังนั้นหลินเป่ยไคแห่งตระกูลหลินจึงจะไปยังตำหนักหมื่นปีศาจเพื่อยืมวารีปีศาจ เพื่อสะกดความสามารถในการหลบหนีของมัน ข้าก็จะร่วมทางไปด้วยเช่นกัน ถ้าหากสหายลู่ต้องการ…”
“ขออภัย ข้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้” ลู่เซิ่งตัดบทเขาอย่างเรียบเฉย
หลี่ซุ่นซีมองอีกฝ่ายอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง
ความจริงเขาเห็นแล้วว่าการไปยังตำหนักหมื่นปีศาจในครั้งนี้จะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ต่อจากนั้น เนื่องจากปิดประตูเลือดเนื้อไม่ได้ วิญญาณมารจึงจุติลงมาติดต่อกัน และทำลายต้าซ่งโดยสิ้นเชิง กำลงรบที่อยู่รอบๆ มาสนับสนุนไม่ทัน สถานการณ์เลวร้าย จนเกิดเงาสุดท้ายแห่งหุบเหวมาร ซึ่งเป็นหายนะอันน่ากลัวในประวัติศาสตร์ที่เขาเพิ่งเห็นไปก่อนหน้านี้
วิญญาณมารจำนวนมากจับมือกันเปิดหุบเหวมารและปล่อยปราณมารนับไม่ถ้วนออกมา เพื่อทำให้ทุกอย่างปนเปื้อน อาณาเขตมากกว่าแปดส่วนของต้าซ่งจึงพินาศ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดแปดเปื้อนปราณมาร วิญญาณของสิ่งมีชีวิตนับพันหมื่นทุกข์ทนทรมาน กระตุ้นให้ประตูใหญ่ของโลกใบนั้นเปิดออก…สุดท้ายการจุติของตัวตนอันน่ากลัวนั้นก็มาถึง
จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างนี้ มาจากการตัดสินใจเดินทางไปยังตำหนักหมื่นปีศาจในครั้งนี้
……………………………………….
[1] ในน้ำเต้าขายสิ่งใด หมายถึง มีลับลมคมใน