ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 309 เรื่องเร้นลับ (3)
บทที่ 309 เรื่องเร้นลับ (3)
“เปิดประตูแห่งการทำลายล้างหรือ” ลู่เซิ่งเพิ่งได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก สิ่งนี้รู้สึกเหมือนเรื่องพระเจ้าชำระล้างโลกด้วยการทำลายล้างโลกอย่างน่าประหลาด ส่วนประตูแห่งพิภพมารน่าจะเป็นประตูแห่งการปนเปื้อน ประตูแห่งความเจ็บปวดอาจจะเป็นประตูที่อยู่ใต้ดินของลานทองคำแห่งนั้นก็ได้
ความคิดของเขาทำงานอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ยิ้มให้ราชาเงามืดที่ดูบิดเบี้ยวเป็นอย่างยิ่งตรงหน้า
“หวังว่าสิ่งที่เจ้าพูดจะเป็นความจริง” เขาไม่ได้ทำอะไรต่อ หากหมุนตัวเดินไปยังที่ไกล “รอข้ายืนยันความจริงของข้อมูลค่อยปล่อยเจ้าออกมา!”
“เอ๋!?” ราชาเงามืดคิดจะเรียกเขา ยังไม่ทันได้ส่งเสียง ก็ไม่เห็นเงาของลู่เซิ่งแล้ว
…………….
ลานทองคำ
ลู่เซิ่งกระโดดลงมาจากถ้ำ ทิ้งตัวลงบนพื้นของลานกว้างสีทองที่แข็งแกร่ง
รอบๆ นี้น่าจะไม่ได้ทำขึ้นจากทองบริสุทธิ์ ทองบริสุทธิ์มีความแข็งไม่สูงมาก ทว่าทองของที่นี่มีความแข็งสูงมาก
ห่างออกไปวงล้อขนาดยักษ์สีทองที่เหมือนกับชิงช้าสวรรค์หมุนวนอย่างช้าๆ อากาศรอบๆ มีกลิ่นหอมจางๆ แผ่ซ่านอยู่ เหมือนกับกลิ่นหอมพิเศษปริศนาชนิดหนึ่ง
ยักษ์ทองคำงหายตัวไปแล้ว สิ่งก่อสร้างสีทองเมื่อก่อนหน้านี้คล้ายสลับสับเปลี่ยนไปแล้ว แตกต่างไปจากตอนที่ลู่เซิ่งมาถึงเป็นครั้งแรก
‘ที่นี่…’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว ทอดตามองวงล้อยักษ์สีทองที่กำลังหมุนอยู่ มันเดี๋ยวหายไป เดี๋ยวปรากฏขึ้นในเมฆหมอกเหมือนกับจะอยู่ไกลยิ่ง ไม่ได้ยินเสียงครืนครันแต่อย่างไร
ลู่เซิ่งกลั้นลมหายใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากลิ่นหอมนี้ส่งผลอะไรบ้าง เขาไม่คิดจะสูดดมมากเกินไป
เขาหยุดมองวงล้อยักษ์แล้วมองตามพื้นไปทางซ้าย ไม่นานก็เจอทางเข้าอุโมงค์ใต้ดินที่พบในครั้งที่แล้ว
แผ่นหินสีทองที่ถูกรื้อออก ยังอยู่ที่เดิม หลุมสีดำที่เชื่อมไปยังใต้ดินยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหน
‘เป็นสถานที่เดิม แต่ลานกว้างแห่งนี้…อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง…’ ลู่เซิ่งสะกิดเท้าทะยานร่างขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะไปถึงทางเข้าอุโมงค์ใต้ดิน
เขาก้าวเท้าเข้าไปในในหลุมอันมืดมิดอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เดินไปตามอุโมงค์เป็นเวลาสิบอึดใจ ไม่นานก็เห็นประตูรากไม้โบราณที่เต็มไปด้วยพลังอาวรณ์อันเป็นแหล่งกำเนิดของน้ำในธารหมอกพิษบานนั้น
เขาเดินเข้าไปทาบมือกับผิวของประตู
ซู่…
พลังอาวรณ์หลายสายถูกเขาดูดซับเข้าไปในร่าง
‘มีพลังอาวรณ์คงอยู่ห้าสิบกว่าหน่วย ไม่เลว’ ลู่เซิ่งดูดซับเสร็จอย่างรวดเร็ว เขาชักมือกลับ รู้สึกพอใจกับการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้มาก ผ่านไปไม่นานก็มีพลังอาวรณ์ห้าสิบหน่วยแล้ว
พั่บๆๆ…
ทันใดนั้นลู่เซิ่งเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
เขากวาดตามองรอบๆ อย่างสงสัย ไอหมอกแผ่กระจายอยู่รอบๆ ไม่พบการเคลื่อนไหวใดๆ ด้านในทางเชื่อมอันมืดสนิทว่างเปล่า มีแต่เขาที่เป็นมนุษย์เพียงคนเดียว
เขาไม่พบอะไร จึงหันหน้ากลับไปใหม่ แล้วทดลองมองผ่านร่องแยกเข้าไปด้านในเพื่อตรวจสอบว่าประตูแห่งความเจ็บปวดที่ราชาเงามืดพูดถึงมีความพิเศษตรงไหนกันแน่
ดังนั้นเขาจึงไม่สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อยว่า มีเงาคนมุดออกมาจากพื้น ที่อยู่ด้านหลังของเขาอย่างเงียบเชียบ
เป็นอมนุษย์ร่างกำยำที่ทั้งตัวเป็นสีเหลืองอมดำและเต็มไปด้วยหนอน
อมนุษย์เหมือนจะเป็นเพศชาย บนตัวเต็มไปด้วยบาดแผลหลายร้อยสายที่ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ทุกๆ บาดแผลมีหนอนตัวอวบอ้วนเกาะติดอยู่
ถึงขั้นที่ส่วนใบหน้า ในดวงตาและในปากของมัน มีหนอนครึ่งท่อนขยับยุบยับ หนอนเหล่านี้เป็นสีเหลือง เห็นผ่านเปลือกนอกที่เรืองแสงน้อยๆ ได้ว่า ด้านในเต็มไปด้วยน้ำหนองที่น่าขยะแขยง
อมนุษย์กางปีกด้านหลังที่เหมือนปีกแมลงเม่าขนาดใหญ่โตสีเหลืองอมดำคู่หนึ่งขึ้นมา ปิดพื้นที่ทั้งหมดที่อาจจะใช้หลบได้ จากนั้นก็โปรยผงพิษแมลงเม่าขนาดเล็กๆ ให้กระจายไปยังมุมทุกมุม
มันค่อยๆ ยื่นสองแขนไปยังคอของลู่เซิ่งพร้อมกับยิ้มอย่างแปลกประหลาด
“ข้าไม่เคยหันหลังให้ศัตรู” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างฉับพลัน “และในตอนที่ข้าหันหลังให้ใครสักคน นั่นหมายความว่ามันไม่มีการคุกคามใดๆ แม้แต่น้อย”
แขนสองข้างของอมนุษย์ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ไม่อาจเคลื่อนที่ต่อไปได้อีก
ตูม!
สนามพลังอันยิ่งใหญ่ชั้นหนึ่งระเบิดขึ้นบนตัวของเขา อมนุษย์ตอบสนองไม่ทัน ถูกกระแทกจมไปในผนังถ้ำทันที
เปรี้ยง!
ผนังหินระเบิดออก กรวดหินนับไม่ถ้วนกระจายเวียนว่อน ร่างของอมนุษย์ที่สูงถึงสองหมี่จมลึกเข้าไปในผนัง เหลือแค่รอยยุบรูปมนุษย์ที่ลึกหลายหมี่
ลู่เซิ่งไม่แม้แต่จะยกมือ ค่อยๆ หมุนตัวมามองหลุมบนผนังหิน
พลังไร้รูปร่างสายหนึ่งแผ่ออกไปแล้วจับอมนุษย์ออกมาจากหลุมอย่างง่ายดาย นี่เป็นพลังของตาข่ายโลหิต ตาข่ายโลหิตที่ปกป้องอยู่รอบตัวเขาตลอดเวลาหลังจากปราณภายในกับแก่นมารผสานกัน ตาข่ายนี้แข็งแกร่งทนทาน ออกคำสั่งได้ประหนึ่งแขน ทั้งยังสามารถใช้เป็นสนามพลังได้
“พูดเป็นไหม” ลู่เซิ่งมองอมนุษย์ที่ถูกจับลอยอยู่กลางอากาศ
อมนุษย์ตนนี้ดูเหมือนกับศพที่ถูกแมลงเม่าฝังตัวเป็นกาฝาก บาดแผลบนร่างเต็มไปด้วยหนอนของแมลงเม่าหนาแน่น แม้แต่ด้านหลังของมันก็มีปีกแมลงเม่าสองข้างที่กำลังกระพืออยู่
“ฆ่า…ฆ่าข้าเลย…” อมนุษย์บิดร่างพลางส่งเสียงคำราม “ฆ่าข้าเลย…” เสียงนี้เหมือนซึมซาบเข้าไปในจิตวิญญาณ ไม่ต้องใช้คำพูดก็ฟังออกได้
ลู่เซิ่งถามทวนหลายครั้ง สิ่งที่ได้ล้วนเป็นคำตอบเดิม
เขาโคจรตาข่ายโลหิตด้วยความจนปัญญา
ฉัวะ
ร่างของอมนุษย์แมลงเม่าถูกเฉือนเป็นก้อนเนื้อจำนวนหลายร้อยก้อนที่มีขนาดเท่ากัน แม้แต่หนอนบนตัวก็ถูกเฉือนสังหารไปด้วย
“เจ้าคิดจะเข้าไปในประตูแห่งความเจ็บปวดหรือ” เสียงเอียงอายเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้างประตู
ลู่เซิ่งนิ่วหน้า เขาไม่พบว่าอีกฝ่ายเข้าใกล้ นี่ไม่ปกติ ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาไปถึงขีดจำกัดของมนุษย์แล้ว กระนั้นกลับสัมผัสถึงอีกฝ่ายไม่ได้
นี่หมายความว่าอะไร นี่หมายความว่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง ที่อีกฝ่ายจะเข้าใกล้โดยไม่ได้ใช้วิธีที่สัมผัสได้ผ่านประสาทสัมผัส
เขามองไปตามเสียง
สิ่งที่เห็นคือเด็กผู้หญิงที่สวมอาภรณ์สีดำตัวใหญ่ซึ่งมีหมวกสีดำติดอยู่ นางมีใบหน้างดงาม แต่ว่าไร้สีเลือด คล้ายกับเพิ่งหายจากโรคหรือไม่ก็เสียเลือดมากเกินไป
ร่างของเด็กผู้หญิงสูงเพียงครึ่งหนึ่งของลู่เซิ่ง ดังนั้นตอนนี้จึงกำลังเงยหน้าพูดกับเขาอยู่
“เจ้าเป็นใคร” ลู่เซิ่งถามอย่างสงบนิ่ง “เจ้าพาข้าเข้าไปในประตูแห่งความเจ็บปวดได้หรือไม่” เขานึกถึงปีศาจที่ต้องการเข้าไปในในประตูแห่งความเจ็บปวดอย่างบ้าคลั่งตนนั้น เรื่องนี้จะต้องมีความลับที่เขาไม่รู้อยู่แน่
“พวกเขาล้วนเรียกข้าว่าอันซา” เด็กหญิงยิ้มตอบอย่างอ่อนหวาน “วิธีที่ใช้เข้าไปในประตูแห่งความเจ็บปวดเรียบง่ายยิ่ง ขอแค่เจ้าผ่านการทดสอบขณะรับความเจ็บปวด ก็จะเข้าไปด้านในได้””
“รับความเจ็บปวดหรือ…” ลู่เซิ่งไม่เข้าใจเล็กน้อย
“มนุษย์แมลงเม่าต้องการให้เจ้าได้รับความเจ็บปวด น่าเสียดายตรงที่ผู้ช่วยที่ส่งออกมาถูกเจ้าฆ่าไปแล้ว” เด็กหญิงอันซากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด เจ้าจะพบว่าความจริงแล้วประตูแห่งความเจ็บปวดไม่เคยปิดมาก่อน…”
เสียงเพิ่งจะขาดลง ร่างกายของนางก็ค่อยๆ จางลงแล้วหายไป เหมือนกับสิ่งที่ปรากฏขึ้นที่นี่ตั้งแต่เริ่มแรกเป็นภาพหลอน
เด็กหญิงอันซาหายตัวไปแล้ว ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ไล่ตามไป เพียงแต่กำลังใคร่ครวญ
ประตูแห่งความเจ็บปวดบ่งบอกถึงอะไรกันแน่ ตามคำพูดของราชาเงามืด เป้าหมายหลักของพิภพมารเกรงว่าจะเป็นประตูแห่งความเจ็บปวดที่เชื่อมอยู่กับโลกมนุษย์ ในนี้จะต้องมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ ความลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
‘รับความเจ็บปวด…’ เขาสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่บ้าง ต่อให้จะเผชิญกับมือยักษ์โครงกระดูกสีขาวของจ้าวแห่งมารในประตูแห่งเลือดเนื้อ ก็ไม่เคยรู้สึกไม่ดีอย่างนี้มาก่อน
หลังลังเลสักพัก เขาก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่หมุนตัวเดินไปยังทิศทางที่มา เขาในตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องเสี่ยง ขอแค่ค่อยเป็นค่อยไป ก็จะบรรลุถึงระดับจ้าวแห่งมารได้ในไม่ช้าก็เร็ว
“เจ้าจะไปแล้วหรือ” เด็กหญิงคนนั้นปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันอีกครั้ง โดยโผล่ขึ้นในเงามืดด้านหลังเขา
ลู่เซิ่งหันไปมองนาง ได้กลิ่นแห่งความบิดเบี้ยวและพังพินาศจากร่างของเด็กสาว เขาเพียงเคยสัมผัสกลิ่นอายชนิดนี้จากมือยักษ์โครงกระดูกขาวที่น่ากลัวข้างนั้นเท่านั้น
ในร่างกายของเด็กสาวคนนี้อาจจะมีแก่นสารที่น่ากลัวถึงขีดสุดซ่อนอยู่
“ถ้าหากเจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้า ข้าจะดีใจมาก” อันซายิ้ม
“เจ้าเหมือนจะรู้เรื่องราวมากมาย” ลู่เซิ่งหยีตา
“ถูกต้อง เยอะกว่าที่เจ้าจินตนาการ” อันซาตอบอย่างซื่อสัตย์
“น่าเสียดาย…ข้าจะไปแล้ว ย้ายไปจากที่นี่” ลู่เซิ่งตอบกลับอย่างเย็นชาและไม่แสดงสีหน้า
“เป็นเพราะลานกว้างแห่งนี้หรือ” อันซาลืมตาโต ดวงตาของนางงดงามมาก เรียวเล็กสุกใส ทั้งยังเป็นประกายเล็กน้อย
“ไม่…ไม่เกี่ยวกับที่นี่ เพียงแค่ข้าคิดจะไปจากที่นี่เท่านั้น ด้านนอกวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” ลู่เซิ่งตอบกลับ
“อย่างนั้นเจ้าจะมีโอกาสมาหาข้าไหม” อันซาเหมือนกับสนใจในตัวลู่เซิ่งมาก
“เกรงว่าจะยากยิ่ง” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
“อย่างนั้นหรือ” อันซาผิดหวังอยู่บ้าง “เจ้าเป็นมนุษย์คนแรกที่ข้าเคยพบ มนุษย์ที่น่าสนใจคนแรก”
“งั้นหรือ เจ้าอยู่ที่นี่มานานขนาดไหนแล้ว” ลู่เซิ่งถาม
“จำไม่ได้แล้ว…อย่างไรก็นานมากๆ แล้ว นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ความทรงจำต่อห้วงเวลาของข้าก็เริ่มพร่ามัว ที่นี่ไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่มีฤดูกาล มองไม่เห็นแสงอาทิตย์ มองไม่เห็นฝน…” อันซากล่าวอย่างจนปัญญาเล็กน้อย
“อย่างนั้นหรือ” แม้ลู่เซิ่งจะรู้ว่าเด็กหญิงคนนี้ไม่ธรรมดา ทว่าก็ยังคงสะท้อนใจอยู่บ้าง หากถูกขังอยู่ในสถานที่ที่มืดมิดไร้แสงตะวัน ต่อให้เป็นเขาก็เกรงว่าจะกลายเป็นบ้าและมีปัญหา
“สุดท้ายนี้ข้ามีคำขอข้อหนึ่ง” อันซาลืมตาโตอย่างวิงวอน “เข้ามาใกล้ๆ ให้ข้ามองเจ้าได้หรือไม่”
ไอหมอกไม่น้อยที่ขวางกั้นอยู่ระหว่างคนทั้งสองขมุกขมัวจนมองไม่เห็นอะไร
ลู่เซิ่งหยีตา
“ได้” เขาเดินไปด้านหน้าทีละก้าว จนกระทั่งอยู่ห่างจากเด็กหญิงสิบหมี่ จึงค่อยหยุดลง
“ใกล้จัง…” อันซามองลู่เซิ่งอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย นางก้มหน้ามองพื้น จากนั้นเงยหน้ามองลู่เซิ่งเช่นนี้กลับไปกลับมาหลายครั้ง
“ขอบคุณ…”
“ไม่ต้องหรอก”
“ขอบคุณเจ้าจริงๆ คนที่ทำแบบนี้มีเจ้าเป็นคนแรก” อันซายิ้มอย่างอ่อนหวานและสดใสจากใจจริง
“ขอบคุณ…ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร”
ลู่เซิ่งไม่เข้าใจว่าคำพูดของนางหมายถึงอะไร
“อย่างนั้น ข้าไปแล้ว”
“อื้อ” อันซามองเขาเงียบๆ “พวกเราจะได้เจอกันอีกไหม”
ลู่เซิ่งงุนงง
“ข้าคิดว่า…คงไม่…
“คงไม่นาน” อันซาตัดบทเขา “อีกไม่นานพวกเราจะได้พบกันอีก” นางยิ้มอย่างบริสุทธิ์และงดงามจากใจจริง
ลู่เซิ่งไม่เคยเห็นคนที่ยิ้มอย่างบริสุทธิ์ขนาดนี้มาก่อน พริบตาที่เห็นรอยยิ้ม เขาเหมือนกับอยู่ในทะเลดอกทานตะวันที่อาบแสงอาทิตย์
ความอบอุ่นและอ่อนโยนทำให้คนอดที่จะอยากเดินเข้าไปกอดนางไม่ได้
ลู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เขาหมุนตัวก้าวออกไป ก่อนจะหายไปจากที่เดิมในพริบตา หายไปจากมุมโค้งของอุโมงค์
……………………………………….