ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 310 เรื่องเร้นลับ (4)
บทที่ 310 เรื่องเร้นลับ (4)
อาซามองจุดที่ลู่เซิ่งหายไป รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ เลือนหาย
“เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง” นางกล่าวเบาๆ
“ทุกอย่างพร้อมแล้วฝ่าบาท ประตูแห่งความเจ็บปวดแง้มเปิดแล้ว อีกทั้งแผนการของสิบสามเผ่าก็ได้สำเร็จไปแล้วมากกว่าครึ่ง จ้าวแห่งมารปราชญ์อริยะพร้อมจุติลงมาทุกเวลา จ้าวแห่งมารเก้าภูตกับจ้าวแห่งมารอธิษฐานเตรียมขานรับการอัญเชิญในรัฐมหาเกียรติกับพื้นที่ชุ่มน้ำเช่นกัน” เสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังสะท้อนตอบมาบนลานกว้างอย่างเคารพ
“นกกามาอยู่ร่วมกันยังอุตส่าห์ทำสำเร็จได้…ผ่านไปพันปีโลกมนุษย์อ่อนแอถึงเพียงนี้เชียวหรือ” อันซาหลับตาลง “เริ่มกันเลย”
“ขอรับ”
อันซายกมือขึ้น อักขระลี้ลับซับซ้อนรูปสามเหลี่ยมตรงกลางฝ่ามือค่อยๆ มีควันสีดำเข้มข้นลอยออกมา
“ข้า อันซา ผู้อยู่เหนือจิตวิญญาณมวลมนุษย์ ผู้ติดตามอารักขาโดยตรงต่อจักรพรรดิมารแห่งสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ หนึ่งในสี่เสาแห่งพิภพมาร ขอออกคำสั่ง ณ ที่แห่งนี้”
“ด้วยนามแห่งข้า”
ควันสีดำนับไม่ถ้วนแผ่กระจายออกมาจากกลางฝ่ามือของนาง ไม่นานก็กลายเป็นอักขระทรงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ยักษ์เหนือศีรษะ
“จงจุติ!”
อันซาลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน เข็มเล็กๆ สีแดงนับไม่ถ้วนหมุนวนในดวงตาด้วยความเร็วสูง
ครืน…
พื้นดินสั่นสะเทือน
ถ้าหากมีคนมองลานทองคำจากท้องฟ้าในเวลานี้ จะเห็นสัตว์ประหลาดสีดำที่น่ากลัวจำนวนเหลือคณาผุดออกมาจากลานกว้าง ตอนแรกพวกมันเพียงเป็นควันสีดำที่ลอยออกมาจากร่องแยก ต่อจากนั้นก็รื้อแผ่นหินสีทองออกโดยตรง เผยร่างทั้งหมดโดยไร้ความเกรงกลัว
สัตว์ประหลาดยักษ์นับไม่ถ้วนที่รูปร่างพิลึกกึกกือและเต็มไปด้วยไอพิษที่น่ากลัวพากันยึดพื้นที่โดยมีอันซาเป็นศูนย์กลาง
ตะขาบยักษ์ตัวหนึ่งที่ยาวถึงหลายพันหมี่และมีใบหน้าคนที่เจ็บปวดทรมานห้าหน้างอกอยู่บนส่วนหัวค่อยๆ ขดม้วนอันซาไว้ตรงกลาง
ยักษ์สีทองที่สูงหลายร้อยหมี่สี่ตนเดินออกมาจากรอบๆ ลานทองคำอย่างช้าๆ
“ไปเถอะ…จงไปกลืนกิน จงไปเข่นฆ่า จงไป…ทำลายล้าง…!” อันซากล่าวเสียงทุ้ม
นางยกมือชี้ไปที่ไกล
พริบตานั้น สัตว์ประหลาดนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบๆ กรูกันไปยังที่ไกลพร้อมเสียงดังสนั่นเหมือนกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากในห้วงสมุทรสีดำ
แต่ไม่ว่าสัตว์ประหลาดตนใดก็ไม่กล้าเข้าใกล้นางในรัศมียี่สิบหมี่ เหมือนกับรอบๆ ตัวนางเป็นดินแดนมรณะ
…
ลู่เซิ่งสัมผัสได้เล็กน้อยว่าใต้เท้าสั่นไหว เหมือนกับมีการสั่นสะเทือนใดส่งมา แต่ไม่นานการสั่นสะเทือนก็เบาลงและออกห่างไปเรื่อยๆ น่าจะกำลังลดกำลังลง หรือไม่ก็ออกห่างไปแล้ว
เขาชะงักเล็กน้อยแล้วเดินทางต่อ ในเมื่อไม่ได้มาทางสำนักมารกำเนิด อย่างนั้นก็ไม่ต้องสนใจ
เมื่อนึกถึงเด็กหญิงอันซาเมื่อก่อนหน้า เขาก็เกิดความประหลาดใจอยู่บ้าง ลานทองคำแห่งนั้นไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยหรือน่าสนใจแต่อย่างไร ตัวตนที่อยู่ที่นั่นได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว ไม่มีทางเป็นคนธรรมดา
‘แต่มันจะทำไมล่ะ ถึงยังไงก็ไม่คิดกลับมาอีกแล้ว’ มารโบราณข่าเฟยหายสาบสูญ ลู่เซิ่งคาดว่าอีกฝ่ายคงไม่กลับมาอีกแล้ว เมื่อไม่มีแก่นมารให้ดูดซับ เขาก็ถือโอกาสย้ายไปเสีย ที่นี่จะไม่เหลือใคร ถึงตอนนั้นสนใจทำไมว่าเด็กหญิงลึกลับนั่นเป็นอย่างไร อันตรายก็ดี เป็นมิตรก็ดี ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ลู่เซิ่งกลับถึงสำนักมารกำเนิดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะออกจากทะเลสาบปราณมารไปถึงเขตหลักของสำนัก ศิษย์ส่วนใหญ่เริ่มเก็บข้าวของแล้ว มีส่วนน้อยที่ไม่อยากจากไป ลิ่วซานจื่อมอบเงินและค่าชดเชยให้
ซั่งหยางจวินแห่งตระกูลซั่งหยางส่งคนมา หมายจะเกลี้ยกล่อมลู่เซิ่ง แต่ก็โดนปฏิเสธตรงๆ
หลายวันให้หลัง
ทุกคนเก็บข้าวของเรียบร้อย หลังจากจัดการดูแลติดต่อกันหลายวัน ของที่มีค่าอยู่บ้างในสำนักมารกำเนิดล้วนถูกนำไปด้วย แม้แต่บ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกลู่เซิ่งขุดออกมาแล้วใช้แก่นมารผนึกไว้ จากนั้นก็ใส่ในรถที่มีกระทิงสี่เขาสี่ตัวลากไป
สิ่งเดียวที่นำไปด้วยไม่ได้ มีแต่สวนสุสานและอมนุษย์เช่นคุณหนูมี่กับศิษย์พี่หน้าขาว พวกนางไม่มีทางตาย ต่อให้เป็นทัพมาร อย่างมากสุดก็ทำให้พวกนางหายไปสักพักหนึ่ง
ขอแค่รอจนภัยพิบัติมารหายไป เมื่อกลับมาสำนักมารกำเนิดอีกครั้ง ก็จะเจอกันได้อีก
รถม้าและรถเทียมวัวหลายคันยืดขยายไปหลายลี้ ลู่เซิ่งปล่อยมารหยินออกมาตรวจตราและสังหารทัพมาร รวมถึงอันตรายทั้งหมดที่เข้าใกล้
ที่บอกว่ามารหยินไม่อาจควบคุมเป็นเพราะว่าคนอื่นๆ ควบคุมไม่ได้
อย่างเช่นร่างมารสดับสงัดที่บูรพาจารย์คนอื่นๆ ในสำนักมารกำเนิดฝึกฝนสำเร็จ พวกเขาล้วนมีมารหยินที่แข็งแกร่งกว่าร่างหลัก หากไม่ให้มารหยินสิงร่าง ร่างหลักก็เป็นระดับอสรพิษที่สุดแสนอ่อนแอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีวิธีปราบมารหยิน ได้แต่โอนอ่อนผ่อนตาม
ทว่าลู่เซิ่งนั้นไม่เหมือนกัน เขาไม่ต้องใช้ร่างมารสดับสงัดก็แข็งแกร่งกว่ามารหยินมากโข หากไม่เชื่อฟังก็ตบฟาดฝ่ามือใส่ มารหยินทุกตัวล้วนถูกฟาดสลายไป
ลิ่วซานจื่อรับผิดชอบเส้นทางการเคลื่อนย้าย ทุกกลุ่มค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังทิศทางของราชวงศ์ต้าอินอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ต้าอินตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแดนเหนือ ระหว่างทางต้องอ้อมผ่านธารน้ำแข็ง จากนั้นก็จะเข้าสู่ป่าบนเทือกเขาผืนใหญ่ เส้นทางยาวไกลเป็นพิเศษ ต่อให้ลู่เซิ่งรวบรวมกระทิงสี่เขาที่กลายเป็นมารมามากกว่าร้อยตัว ก็ต้องใช้เวลาที่ยาวนานถึงขีดสุดกว่าจะไปถึง
ตอนนี้ต้าซ่งกำลังติดอยู่ในวังวนสงครามที่ใหญ่กว่าเดิม
สงครามที่มีขนาดเท่ากันกับศึกที่ลู่เซิ่งเจอมาก่อนหน้า เริ่มเกิดขึ้นไปทั่วต้าซ่ง ในเวลาไม่กี่เดือน ช่วงเวลาที่สำนักมารกำเนิดจากไป สงครามที่มีขนาดใหญ่กว่าศึกเก้าเมืองได้อุบัติขึ้นหลายครั้ง สงครามระดับคนหมื่นคนที่มีขนาดน้อยกว่าเล็กน้อยเกิดขึ้นหลายสิบครั้ง
ทัพมารกับมนุษย์รวบรวมขุมกำลังทั้งหมดอย่างคลุ้มคลั่งเพื่อเข่นฆ่ากัน ผู้ถืออาวุธของเก้าตระกูลจงหยวนออกมาสะกดสถานการณ์รบ ทั่วทั้งจงหยวนอลหม่านอยู่ชั่วขณะ
ทางลู่เซิ่งได้รับคนในตระกูลลู่ที่อยู่ทางเหนือ รวมถึงศิษย์คนสนิทในสำนักอาทิตย์ชาดกับคนในครอบครัวมาแล้วกำลังขนสัมภาระมากมายมุ่งหน้าไปยังต้าอิน
ลู่เซิ่งทิ้งมารหยินเอาไว้ทั้งหมด หลังจากทำให้พวกมันว่านอนสอนง่ายและจดจำได้ว่าตนเป็นบริวารของร่างหลักผ่านการอบรมความคิดอย่างตั้งใจ เขาค่อยให้พวกมันคุ้มครองอยู่รอบๆ ขบวนเพื่ออารักขาตลอดทาง
บวกกับสำนักอาทิตย์ชาดก็ไม่ใช่สำนักอ่อนแอ ยังมีลิ่วซานจื่อ สตรีกางร่ม เหอเซียงจื่อ รวมถึงมารในหินกับราชาเงามืดที่ย้ายผนึกไปด้วย แค่กลิ่นอายที่ปล่อยออกมา ก็ทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีอันตรายทั้งหมดหลบหนีไปอยู่ห่างๆ แล้ว
ตลอดเส้นทางปลอดภัยไร้ปัญหา เทียบกับขบวนใหญ่ที่เดินทางอย่างเชื่องช้าแล้ว ลู่เซิ่งเร่งความเร็วกรุยเส้นทาง รวมถึงกำจัดการคุกคามแฝงเร้นที่อาจจะโผล่มาทั้งหมด
…
แดนเหนือ ทะเลสาบซวนเย่
บนผิวทะเลสาบสีขาวราวหิมะเต็มไปด้วยรอยน้ำแข็งร้าว หมียักษ์สีขาวอมเทาหลายตัวซุกศีรษะอยู่ใกล้กันพลางส่งเสียงร้องทุ้มต่ำ
เงาคนร่างกำยำที่สวมเสื้อคลุมสีดำกำลังยืนชมพระอาทิตย์ตกอยู่เงียบๆ บนเส้นทางเดินรถริมทะเลสาบ เขาซุกมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ เป็นลู่เซิ่งที่บินจากจงหยวนมาตลอดทางนั่นเอง
เคร้งๆๆ!
ไกลออกไปมีเรือตัดน้ำแข็งลำหนึ่งแล่นมาบนผิวทะเลสาบ คนบนเรือเคาะฆ้องทองแดงเสียงดังเหมือนกับกำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง ข้างเรือมีอวนจับปลาเล็กๆ แต่คมกริบมากมายแขวนอยู่ บนอวนมีตะขอขนาดต่างๆ ติดอยู่เต็มไปหมด
‘ที่นี่น่าจะมาถึงชายแดนของต้าซ่งแล้วมั้ง’ ลู่เซิ่งไม่ค่อยแน่ใจ หยิบแผนที่ที่คัดลอกอย่างง่ายซึ่งพับไว้อย่างดีออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ
ดูแผนที่อยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขาดูไม่ออกว่าตนเองใช้เส้นทางไหนบินมา ระหว่างทางเจอเมฆหิมะครั้งหนึ่ง หลังทะลุชั้นเมฆมาแล้ว เขาก็สูญเสียทิศทาง พอบินมาถึงชายแดนของแดนเหนือ ก็ทิ้งตัวลงริมทะเลสาบธารน้ำแข็งแห่งนี้
แต่ไม่รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน
‘เอาเถอะ ต้องหาคนถามดู’ ลู่เซิ่งเลื่อนสายตาไปมองเรือตัดน้ำแข็งที่อยู่ห่างออกไป
เขากระโดดพุ่งเข้าหาเรือตัดน้ำแข็งนั้นอย่างแผ่วพลิ้ว ทุกๆ ครั้งที่สะกิดปลายเท้าสามารถพุ่งออกไปเป็นระยะทางสิบกว่าหมี่
พุ่งไปแค่ไม่กี่สิบก้าว ก็เข้าใกล้เรือตัดน้ำแข็งได้อย่างง่ายดาย
สาเหตุที่ยุ่งยากขนาดนี้ก็เพื่อต้องการปกปิดสถานะพิเศษและความสามารถของเขา การทำให้ผู้คนแตกตื่นมากไป ไม่ส่งผลดีต่อการซ่อนร่องรอย ไม่อย่างนั้นเขาสามารถข้ามระยะทางหลายร้อยหมี่ไปถึงบนเรือตัดน้ำแข็งได้ด้วยการก้าวเท้าก้าวเดียว
หลังเข้าใกล้แล้ว ลู่เซิ่งค่อยได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวาย เสียงตีฆ้อง และเสียงตัดน้ำแข็งดังแกร่กๆ
เขาเพิ่งจะเข้าใกล้ ก็เห็นมือพายบนเรือมองมาทางด้านนี้
“ข้าเป็นนักท่องเที่ยวที่ผ่านทางมา สามารถสอบถามได้หรือไม่ว่าที่นี่เป็นที่ใด ข้าสามารถมอบค่าตอบแทนให้ได้” เขาส่งเสียงออกไปไกลๆ
บนเรือตัดน้ำแข็งเงียบงันลงชั่วขณะ หลังจากซุบซิบกันสักพัก บุรุษเยาว์วัยร่างกำยำคนหนึ่งก็ชะโงกหัวออกมา
“สวัสดี ขอถาม…ท่านเป็น…สตรีหรือ” เขากล่าวเสียงดังด้วยภาษาต้าซ่งอันย่ำแย่ ที่กว่าจะฟังออกก็ลำบากพอสมควร
ลู่เซิ่งมุมปากกระตุก “เป็นคนผ่านทางมา…ไม่ใช่สตรี!”
เขาใช้ท่าทางของมือประกอบ
“คนผ่านทาง ขอถามทาง” ครั้งนี้ใช้ภาษาง่ายๆ แล้ว
บุรุษผู้นั้นพยักหน้าเข้าใจแล้ว
สนทนากันอย่างลำบากอยู่สักพัก ลู่เซิ่งก็ได้รับการเชื้อเชิญขึ้นเรือ คนบนเรือมีทั้งหมดยี่สิบคน นายเรือเป็นชายชราไว้หนวดเครายาว มีรอยแผลที่เหมือนรอยกรีดบนทรวงอก นิสัยเปิดเผย หลังกระดกสุรารสแรงหลายจอกกับลู่เซิ่งก็ยอมรับอีกฝ่ายทันที
บนเรือยังมีเด็กสาวมัดผมหางม้าที่ร่าเริงน่ารักคนหนึ่ง นางเป็นหลานของนายเรือชื่อว่าปิงตั่ว อายุสิบเอ็ดปีแล้ว
ขณะมองลู่เซิ่ง ดวงตาของเด็กสาวเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ร้อนแรงเหมือนกับสุราที่ถูกต้ม
แม้จะสนทนากันอย่างลำบาก แต่ลู่เซิ่งยังได้รับกุ้งน้ำแข็งถุงหนึ่งที่นายเรือมอบให้ กุ้งชนิดนี้หลังเอาไปตากให้แห้งแล้วสามารถกินดิบๆ ได้ แต่เนื่องจากการขนส่งที่ลำบาก จึงเน่าเร็วสุดขีด ดังนั้นในเมืองบนแผ่นดินด้านในจึงมีราคาแพง แต่ว่าหลายๆ ครั้งเมื่ออยู่ในทะเล กะลาสีกลับกินหมดเสียเอง
ลู่เซิ่งที่ถือกุ้งน้ำแข็งแห้งทราบทิศทางของตัวเองแล้ว เขาบอกลาชายชรากับปิงตั่ว แล้วมุ่งหน้าไปยังต้าอินอีกครั้ง
เขาบินต่ำด้วยความเร็วสูงสุด โดยที่ระยะทางหนึ่งลี้ใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจ ระหว่างทางยังได้เจอเรือตัดน้ำแข็งที่เหมือนกันหลายลำ ยังมีเรือล่าวาฬที่ออกทะเลมาล่าปลาใหญ่โดยเฉพาะด้วย
อันตรายของที่นี่เหมือนจะน้อยกว่าในแผ่นดิน ไม่มีความประหลาดลี้ลับ ไม่มีภูตผี มีแค่ธรรมชาติบริสุทธิ์กับสภาพอากาศที่เลวร้าย
บินจนกระทั่งถึงตอนดึก ขณะที่ลู่เซิ่งกำลังจะร่อนลงพื้น เพื่อตั้งค่ายพักผ่อน เขาก็เห็นประภาคารสูงใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าเยื้องไปทางซ้าย
ลมหนาวเย็นเยียบ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดำ อาณาเขตถัดจากทะเลสาบน้ำแข็งเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่โตมโหฬาร
ประภาคารตั้งอยู่บนหน้าผาสีดำริมธารน้ำแข็ง
หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่ข้างใต้ประภาคาร ดูท่าทางจะรับผิดชอบบำรุงรักษาประภาคารโดยเฉพาะ
ลู่เซิ่งอาศัยความมืดของรัตติกาลทิ้งตัวลงบนหน้าผาสีดำอย่างแผ่วเบา โดยหยุดลงห่างจากหมู่บ้านเล็กๆ หลายร้อยหมี่
เขาจัดเสื้อผ้าเล็กน้อยก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินไปยังหมู่บ้าน มีความคิดจะจ่ายเงินเพื่อค้างคืนสักคืน หากอยู่บนเตียงที่อบอุ่นสะดวกสบายได้ย่อมไม่อยากค้างคืนด้านนอก
ด้านในหมู่บ้านจุดแสงตะเกียงอันอบอุ่น โคมตะเกียงขนาดใหญ่สองใบที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันแผ่นหนาส่ายไหวตามลม
……………………………………….