ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 312 ต้าอิน (2)
บทที่ 312 ต้าอิน (2)
หากคิดจะย้ายตระกูลมาลงหลักปักฐานในต้าอิน โดยมีขุมกำลังสองกลุ่มอย่างสำนักมารกำเนิดกับสำนักอาทิตย์ชาดติดสอยห้อยตาม ไม่ใช่แค่ต้องรวบรวมคนฝั่งนี้เท่านั้น ยังต้องแบ่งผลประโยชน์ของที่นี่เสียใหม่ หนำซ้ำต้องไม่แตะต้องรากฐานของขุมกำลังท้องถิ่นของที่นี่มากเกินไปในตอนที่เผยเขี้ยวเล็บ
ดังนั้นหลังจากจัดการความยุ่งยากมาตลอดทาง ลู่เซิ่งก็มายังต้าอินก่อนเพื่อกรุยเส้นทางและบุกเบิกขุมกำลังกับอาณาเขตให้แก่กลุ่มที่จะตามมาในภายหลัง
เขาเคยได้ยินข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับพรรคอาทิตย์วสันต์ซึ่งเป็นพรรคที่แข็งแกร่งที่สุดในแถบนี้จากเหล่านายพราน คนบุญหนักศักดิ์ใหญ่และตระกูลคหบดีจำนวนมากล้วนต้องการส่งลูกหลานของตัวเองไปฝึกวรยุทธ์ที่พรรคอาทิตย์วสันต์ ในรัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบๆ นี้ พรรคอาทิตย์วสันต์นับเป็นเส้นทางความก้าวหน้าที่ดีที่สุด
ดังนั้นพอเห็นคนที่พกป้ายติดเอวแบบเดียวกันกลุ่มเมื่อครู่ ลู่เซิ่งก็ฉุกใจนึกถึงพรรคอาทิตย์วสันต์นี้ทันที
เขาลุกขึ้นมายืดเหยียดข้อมือ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดหินบนเขาไป
หลังเดินขึ้นบันไดอย่างไม่รีบไม่ร้อน ไปราวครึ่งชั่วยาม ลู่เซิ่งก็เห็นวัดโบราณขนาดใหญ่ที่มีความเก่าแก่บนยอดเขาอย่างรวดเร็ว
วัดแขวนป้ายเอาไว้ บนป้ายเขียนตัวหนังสือตัวใหญ่ที่เรียบร้อยไว้สามตัวแต่เขาไม่รู้จัก
ลู่เซิ่งเห็นกลุ่มคนกลุ่มนั้นที่เพิ่งขึ้นมาในทันที พวกเขารวมตัวกันอยู่ทางขวาของประตูวัด กำลังพูดคุยกับสามเณรคนหนึ่งอยู่
อาทิตย์อัสดงลาลับขอบฟ้า แสงมืดสลัวยิ่งกว่าเดิม
ลู่เซิ่งเดินไปหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีลำต้นโค้ง ในมุมที่ลับตาคน พลางทอดตามองคนที่อยู่บนยอดเขา
ไม่นานประตูวัดก็เปิดออก วัดแห่งนี้ประหลาดอยู่บ้าง ถึงกับเปิดประตูตอนกลางคืน
ผู้แสวงบุญหลายกลุ่มเข้าแถวเดินเข้าวัดอย่างเป็นระเบียบ มีสามเณรคนหนึ่งตะโกนรับบริจาคเงินค่าธูปเทียน ไม่นานก็ถึงรอบกลุ่มคนที่ลู่เซิ่งจับตาดูอยู่
“…ประสกเหวิน ไม่ได้มานานทีเดียว…” ลู่เซิ่งที่อยู่ห่างออกมาได้ยินว่ามีพระต้อนรับแขกเดินออกมากล่าวกับคนกลุ่มนั้นอย่างค่อนข้างนอบน้อม
“ติดงานในพรรค พอมีเวลาก็มาทันที” สตรีคนหนึ่งยิ้มเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ
พวกนางเดินเข้าไปในวัด พอผ่านไปราวครึ่งชั่วก้านธูปก็ทยอยเดินออกมา
ผู้ที่นำกลุ่มเป็นสตรีอายุน้อยที่เป็นคนพูดเมื่อครู่ แถมเจ้าอาวาสยังออกมาส่งด้วยตัวเอง
ลู่เซิ่งหยีตา ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่กล้าแกร่งตรวจสอบคำสนทนาระหว่างคนพวกนี้ได้ในพริบตาเดียว
“…พรรคอาทิตย์วสันต์ของเราถือการจุดธูปตอนกลางคืนมากที่สุด ถ้าไม่ใช่ศิษย์พี่มู่ระบุว่าต้องการเหรียญทองแดงปลุกเสกของที่นี่ พวกเราคงไม่มาไกลขนาดนี้หรอก” เด็กสาวคนหนึ่งพูดเบาๆ
“เบาๆ หน่อย ระวังคนอื่นจะได้ยิน” สตรีนำกลุ่มถอนใจกล่าว “ศิษย์พี่มู่ย่อมมีเหตุผลของเขา ข้าเห็นว่าเจ้าอาวาสผู้นั้นก้าวเดินดั่งพยัคฆ์มังกร ไม่น่าใช่คนโกหกหลอกลวง คิดว่าคงมีความสามารถหลายส่วน ต่อให้การปลุกเสกของเขาไม่มีประโยชน์ แต่ก็ไม่น่าจะย่ำแย่นัก”
“พี่ชิงซู่ท่านถูกหลอกง่ายเหลือเกิน หัวอ่อนเกินไป” สตรีคนเมื่อครู่กล่าวเสริม
เจ้าอาวาสคนนั้นยืนอยู่ข้างคนทั้งสอง ได้ยินสตรีทั้งสองกล่าวตรงๆ ว่าตนไม่มีความสามารถก็ไม่โกรธ เพียงมองคนทั้งสองด้วยรอยยิ้มเท่านั้น
“เอาล่ะ อย่างนั้นพวกเราขอตัว” สตรีแซ่เหวินประสานมือ กำลังจะพาคนลงเขา
ในตอนนั้นเอง เกิดเสียงแหวกอากาศดังขึ้นอย่างฉับพลัน
ฟิ้วๆๆ! เข็มเหล็กสีฟ้าแกมเงินกลุ่มหนึ่ง ปักลงใส่พื้นดินด้านหน้านางโดยเรียงตัวเป็นเส้นตรง
สตรีแซ่เหวินถอยหลังหลบเข็มเหล็กได้แต่แรก ตอนนี้หมุนตัวมาสะบัดแขนไปที่มุมหนึ่ง
ฟิ้ว!
แสงสีขาวเงินปรากฏขึ้นแวบหนึ่งแล้วหายไป
บุรุษหล่อเหลาหน้าตาโรคจิตคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมนั้น เขาถือกระบี่สั้นสีดำสนิท ปลายกระบี่กลืนลายเส้นแสงสีฟ้าอมเงินอย่างช้าๆ ปัดแสงสีขาวเงินทิ้งไป
“เหวินชิงซู่ หลังจากเจอกันครั้งก่อน กว่าจะเจอกันอีกครั้งก็เป็นอีกหนึ่งปีให้หลังแล้ว เจ้ารู้ไหมว่าปีนี้ข้าใช้ชีวิตอย่างไร” บุรุษสวมผ้าคลุมสีดำซึ่งด้านในมีผ้าพันแผลสีขาวพันอยู่หลายชั้น
“นักศึกษาหัตถ์มาร เจ้าโผล่มาจริงๆ เสียด้วย…” เหวินชิงซู่กล่าวอย่างเย็นชา “สหายเหวินรั่ว ออกมาได้แล้ว”
เสียงเพิ่งขาดลง ในกลุ่มก็มีบุรุษที่ร่างกายกำยำล่ำสันถึงขีดสุดเดินออกมา เขามีผมสีขาวโพลน ดูเหมือนจะอายุไม่น้อยแล้ว
“ครั้งนี้จะต้องจัดการเจ้าให้จงได้! นักศึกษาหัตถ์มาร!” บุรุษนั้นแค่นเสียงอย่างเย็นชาแล้วกระโจนตัวเข้าไปต่อสู้ในระยะประชิดโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงทันที
คนทั้งสามสู้กันอย่างสับสนบนพื้น ปะทะกันไปมาอย่างดุเดือด ลู่เซิ่งคอยชมการต่อสู้อยู่ด้านข้าง
‘การเคลื่อนไหวและกระบวนท่าของสามคนนี้ หลักๆ แล้วใช้พลังงานที่อยู่ภายในเหมือนกับปราณภายใน การเคลื่อนไหวมีลำดับรุกถอย น่าจะเป็นการสืบทอดที่สมบูรณ์’
ขณะที่นึกอยู่ ทั้งสามคนในลานต่างเอาจริงแล้ว เหวินชิงซู่ยกมือขึ้น ทรายละเอียดสีขาวเงินกำใหญ่พุ่งไปรอบๆ เหมือนกับเทพธิดาโปรยบุปผา
นักศึกษาหัตถ์มารหัวเราะฮ่าๆ รังสีแสงสีฟ้าอ่อนปรากฏบนร่างแล้วปกคลุมทรายละเอียดทั้งหมดเอาไว้ จากนั้นเขาก็พุ่งตัวไปด้านหน้าจนเกิดเงาพร่างพราว ก่อนจะกระแทกฝ่ามือใส่ท้องน้อยของเหวินชิงซู่อย่างรุนแรง
ตอนนี้บุรุษร่างล่ำสันอีกคนกระแทกฝ่ามือใส่กลางหลังนักศึกษาหัตถ์มารเช่นกัน ทว่าพละกำลังอันเหี้ยมหาญกลับคล้ายไม่มีผลอะไรต่อตัวเขา ตรงกันข้ามกลับถูกเขาชักนำไปยังฝ่ามือที่เล็งใส่เหวินชิงซู่
‘แพ้ชนะตัดสินแล้ว’ ชมดูถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งก็พอจะเข้าใจวิธีการต่อสู้ในราชวงศ์ต้าอินแล้ว
‘วรยุทธ์ไม่เหมือนวรยุทธ์ วิชาลับไม่เหมือนวิชาลับ แต่เหมือนมรรคายุทธที่มหัศจรรย์เล็กน้อย ในร่างพวกเขาไม่มีพลังงานใดๆ นอกจากปราณภายใน’ เขาสรุป จากนั้นก็นึกอะไรบางอย่างออก ขณะมองดูเหวินชิงซู่ที่ถูกกระแทกจนกระอักเลือด ผลุบหายเข้าไปในเงามืด
นักศึกษาหัตถ์มารประสบผลสำเร็จก็หัวเราะฮ่าๆ แล้วกระโจนถอยหลัง ไม่ทันไรก็หายเข้าไปในป่า
คนอื่นๆ ไล่ตามไม่ทัน ไม่ได้หมายความว่าลู่เซิ่งตามไม่ทัน เขาขยับเท้า สนามพลังตาข่ายโลหิตพาตัวเองบินเข้าหานักศึกษาหัตถ์มารด้วยความเร็วสูง ไม่ได้อาศัยประสาทสัมผัสทั้งห้าสัมผัส แต่ว่าสัมผัสผ่านปราณภายในอันเหี้ยมหาญที่โคจรอยู่ในตัวของอีกฝ่าย
หลังจากเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาในป่า ไม่นานลู่เซิ่งก็ไล่ตามนักศึกษาหัตถ์มารที่กำลังหอบหายใจพักผ่อนอยู่ด้านหน้าทัน
คะเนจากอานุภาพเมื่อครู่ นักศึกษาหัตถ์มารที่ดูเหมือนร้ายกาจมากผู้นี้เดิมมีระดับพลังถึงขอบเขตพันธนาการอย่างฝืนๆ เท่านั้น ทว่าเขามีทักษะไม่เลว สามารถอาศัยพลังเจาะทะลวงในการโจมตี เพื่อสร้างอาการบาดเจ็บอย่างสาหัสให้แก่ศัตรูที่แข็งแกร่งได้ เห็นได้ว่าคนผู้นี้มีทักษะพรสวรรค์ไม่เลวยิ่ง
ลู่เซิ่งหยีตา ถ้าหากเป็นทางต้าซ่ง อย่างหยาบก็ใช้เยื่อดำต้านรับ อย่างนั้นนักศึกษาหัตถ์มารผู้นี้รวบรวมเยื่อดำไว้ด้วยกันเพื่อแสดงอานุภาพที่มากกว่าเดิมและการป้องกันที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
นี่ทำให้เขาที่มีพลังโดยรวมเพียงแค่ระดับพันธนาการสามารถแสดงพลังทำลายล้างกับพลังป้องกันในระดับตรีลักษณ์ได้
“สวัสดี” ลู่เซิ่งยกแขนสองข้างขึ้น เดินออกมาจากที่ซ่อน เพื่อบอกว่าตนเองไม่มีเจตนาร้าย “สวัสดี ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า วางใจ คุยกันได้ไหม” เขายิ้มอย่างแข็งทื่อ
นักศึกษาหัตถ์มารกำลังจะนั่งหลับตาปรับลมหายใจ พอได้ยินว่ามีเสียงดังมาจากด้านหลัง ก็ตกใจตัวสั่นจนเกือบจะถูกธาตุไฟเข้าแทรก
เขาหายใจกระหืดกระหอบอยู่หลายรอบ ค่อยหายตื่นตระหนก จากนั้นก็หันไปมองลู่เซิ่ง
“ท่านคือใคร” ด้วยความสามารถในการรับรู้ของเขา ถึงกับสัมผัสคนผู้นี้ไม่ได้ นี่ทำให้เขาตกใจจริงๆ
“ข้าคือคนธรรมดาที่ผ่านทางมา ไม่ค่อยรู้จักที่นี่ดีนัก เจ้าช่วยแนะนำข้าหน่อยได้หรือไม่” ลู่เซิ่งเดินไปหยุดยืนด้านหน้านักศึกษาหัตถ์มาร
“คน…ธรรมดาหรือ” นักศึกษาหัตถ์มารโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แต่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไร เขาจึงระบายโทสะไม่ได้ “ท่านอยากถามอะไร” เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันน่ากลัวดั่งผลักภูเขาถมทะเลของอีกฝ่ายแล้ว กลิ่นอายนี้กดทับจนทำให้เขาหายใจไม่ออก
ลู่เซิ่งเว้นระยะเล็กน้อย แล้วถามคำถาม รวมถึงความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศและขุมกำลังในบริเวณนี้
ตอนแรกนักศึกษาหัตถ์มารนึกว่านี่เป็นการทดสอบ ผู้อาวุโสท่านนี้มีพลังยุทธ์เต็มเปี่ยม เขาจึงตอบอย่างว่าง่าย แต่ต่อจากนั้นจึงพบว่าลู่เซิ่งถามอย่างจริงจังอย่างแท้จริง
เขารีบตอบทีละข้อ ทั้งยังอธิบายรายละเอียดส่วนหนึ่งอย่างถ้วนถี่
“ผู้อาวุโส…ข้าไปได้หรือยัง” หลังเล่าจบ นักศึกษาหัตถ์มารก็ถามอย่างระมัดระวัง
“แน่นอน” ลู่เซิ่งเพียงหยุดอีกฝ่ายเพื่อถามสถานการณ์เท่านั้น ไม่ได้วางแผนจะกำจัดเขา
เขาได้รู้จากนักศึกษาหัตถ์มารว่า กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในบริเวณนี้ก็คือพรรคอาทิตย์วสันต์ ประมุขพรรคสาขาย่อยของพวกเขาถึงขั้นมียอดฝีมือระดับปฐมปฐพี
ระดับปฐมปฐพี
ต้าอินได้แบ่งยอดฝีมือในยุทธภพออกเป็นมือดีธรรมดา รวมถึงคนที่ชื่อเสียงเล็กน้อยในเมืองเล็กๆ ไปถึงเมืองใหญ่ในการสะท้อนบารมีของพวกเขา
สุดท้ายจึงเป็นระดับปรมาจารย์ ซึ่งโด่งดังในอาณาเขตกว้างใหญ่ มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ
ระดับปฐมปฐพีเป็นคำเรียกของฝั่งต้าอิน ความจริงคือระดับอสรพิษ ถือเป็นผู้เข้มแข็งที่อยู่ในระดับที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นบุคคลร้ายกาจที่ปกครองเมืองเมืองหนึ่ง
ลู่เซิ่งสอบถามสถานการณ์จนเข้าใจ รู้ว่าพรรคอาทิตย์วสันต์ความจริงแล้วเป็นสายย่อยในสังกัดสำนักใหญ่ที่ครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศ ที่นี่ก็แค่สาขาย่อยในสาขาย่อยเท่านั้น
ในต้าอิน พรรคและสำนักต่างๆ มีความสัมพันธ์กับแต่ละพื้นที่อย่างแนบแน่น สำนักทั้งหมดสามสำนักปกคลุมทุกสิ่งดุจดวงอาทิตย์กลางหาว ไม่ว่าที่ไหนล้วนมีสาขาย่อยของพวกเขา
หลังจากปล่อยนักศึกษาหัตถ์มารไป ลู่เซิ่งก็จัดระเบียบความคิด หากต้องการหลอมรวมเข้ากับต้าอินโดยสมบูรณ์ ดูเหมือนต้องเข้าร่วมกับสามสำนักใหญ่นี้
นักศึกษาหัตถ์มารเป็นผู้ร้ายตามประกาศจับของพรรคอาทิตย์วสันต์ จึงรู้จักพรรคอาทิตย์วสันต์เป็นอย่างดี เดิมทีเขาเตรียมจะไปทำลายเทศกาลอาทิตย์จุติ ที่พรรคอาทิตย์วสันต์ใช้รับลูกศิษย์ซึ่งจัดขึ้นปีละครั้งพอดี
นึกไม่ถึงว่าจะเจอเหวินชิงซู่ศิษย์ตัวจริงโดยบังเอิญ ดังนั้นจึงลงมืออย่างอุกอาจ ต้องการจัดการอีกฝ่ายให้ได้ น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ สุดท้ายค่อยพบลู่เซิ่งโดยบังเอิญ
‘เราไม่รู้จักตัวหนังสือ มรรคายุทธ์ รวมถึงธรรมเนียมประเพณีของที่นี่เลยสักอย่าง น่าจะลองแฝงตัวเข้าไปทำความรู้จักได้’
ลู่เซิ่งต้องการเรียนรู้สิ่งที่อยู่ที่นี่อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะระบบมรรคายุทธ์ของทางฝั่งนี้
‘เทศกาลอาทิตย์จุติ…นี่กลับเป็นโอกาส’ เงื่อนไขจำกัดของเทศกาลอาทิตย์จุติคือ ขอแค่คนทุกคนที่อายุต่ำกว่าสามสิบปีมีคุณสมบัติ มีความขยันหมั่นเพียร ก็จะมีโอกาสเข้าร่วมกับพรรคอาทิตย์วสันต์
ลู่เซิ่งคำนวณดู ตอนนี้เขาเพิ่งอายุไม่เกินยี่สิบสามปี ตรงกับเงื่อนไขโดยสมบูรณ์
‘ที่แท้ปีนี้เราเพิ่งอายุยี่สิบสาม…’ ลู่เซิ่งนึกถึงอายุของตัวเอง อยู่ๆ ก็เหม่อลอย ยี่สิบสาม…ถ้าบวกกับอายุของชาติก่อนด้วย เขาก็เป็นคนอายุห้าสิบกว่าแล้ว ทว่าไม่มีความกระตือรือร้นที่คนอายุยี่สิบสามปีควรมีแม้แต่น้อย
‘ตกลงตามนี้ ในเมื่อระดับสูงของพรรคอาทิตย์วสันต์เป็นสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงไปทั่วต้าอิน อย่างนั้นก็กราบเข้าไปเป็นลูกศิษย์เพื่อสืบสถานการณ์ดูก่อน แล้วค่อยว่ากัน’
หลังจากเขาสัมผัสร่างของนักศึกษาหัตถ์มารในระยะใกล้ๆ ก็รู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าระบบของฝั่งนี้เหมือนจะไม่ใช่ระบบปราณภายในทั่วไปเหมือนต้าซ่ง แต่ว่าเป็นปราณภายในอีกชนิดหนึ่ง เป็นระบบพลังที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่งกว่า
พอดีที่มรรคายุทธ์ของเขาในวันนี้ยกระดับไม่ได้อีกแล้ว สถานการณ์ของต้าอินอาจจะช่วยเขาทำลายข้อจำกัดได้
พอคิดได้ก็ลงมือทันที ลู่เซิ่งออกจากเขาจันทราหลับใหล ในตอนกลางคืนเขาไปสอบถามเส้นทางผู้คน หลังจากชาวบ้านในภูเขาสองแห่งชี้ทางอย่าง ‘เป็นมิตร’ แล้ว ไม่นานเขาก็รู้ว่าทะเลสาบสามปสพเป็นสถานที่ที่ใช้จัดเทศกาลอาทิตย์จุติ จึงใช้เส้นทางหลักไปที่นั่นอย่างรวดเร็ว
เขามองเห็นคนไม่น้อย ขณะมุ่งหน้าไปตามถนนสายหลัก ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่กำลังไปยังทะเลสาบสามปสพเหมือนกัน
ต่อให้เป็นการเดินทางยามกลางคืนก็ไม่อาจขัดขวางจิตใจใฝ่วรยุทธ์ของคนหนุ่มสาวเหล่านี้ได้
นอกจากนี้ยังมีรถเทียมวัวบางส่วนบรรทุกเด็กจำนวนไม่น้อย ดูเหมือนต้องการเข้าร่วมสำนักอาทิตย์วสันต์เช่นกัน
ลู่เซิ่งได้ทราบจากนักศึกษาหัตถ์มารว่า ภาพแบบนี้ถือว่าปกติมากในราชวงศ์ต้าอิน คนทุกคนล้วนใฝ่วรยุทธ์ ต่อให้เป็นชายแก่ในครอบครัวชาวนาก็ใช้กระบวนท่าชาวนาได้หลายท่า ชายฉกรรจ์ที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อนไม่แน่ว่าจะเอาชนะเขาเหล่านั้นได้
เพราะแบบนี้ สามสำนักใหญ่จึงไม่ใช่แค่สำนักมรรคายุทธ์ธรรมดาในต้าอินเท่านั้น แต่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ด้านวรยุทธ์ในใจคนนับไม่ถ้วนด้วย
……………………………………….