ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 313 คาดเดา (1)
บทที่ 313 คาดเดา (1)
ทะเลสาบสามประสพ
ระลอกคลื่นในทะเลสาบน้อยกลางหมู่ขุนเขาสะท้อนแสงอาทิตย์
ตอนนี้ด้านหน้าเรือนสี่ประสานริมทะเลสาบน้อยมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่ บุรุษสตรีพกกระบี่กลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ลงทะเบียนรายชื่อให้กับนักเรียนจำนวนมากที่มาสมัคร
ขบวนแถวยาวเหยียดซึ่งตัดแถวไปหลายรอบ เบียดเสียดกันอยู่บนหาดทรายริมทะเลสาบที่กว้างใหญ่ของที่นี่จนแน่นขนัด
ในแถวมีคนวัยกลางคนจูงมือเด็กตัวเล็กๆ มีบุรุษสตรีสวมชุดทะมัดทะแมงอย่างคนในยุทธภพ มีครอบครัวร่ำรวยพาคนคุ้มกันเบียดเข้ามา ดูเหมือนจะเข้าร่วมการสมัครเช่นกัน
“อ้าว! พี่ลู่ พวกเราเจอกันอีกแล้ว”
ด้านหลังสุดของแถวแถวหนึ่ง คนหนุ่มแต่งกายหรูหราที่มีคนคุ้มกันอารักขา ตะโกนทักทายบุรุษชุดดำที่อยู่ด้านหน้าไม่ไกล
บุรุษชุดดำใบหน้าไร้อารมณ์ เหลือบมองเขาอย่างเรียบเฉย ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างไร
“พี่ลู่ท่านมาตั้งแต่ตอนไหน ข้าคุ้นเคยสถานที่ใกล้ทะเลสาบสามประสพเป็นอย่างดี ท่านไม่มาให้ผู้น้องแนะนำให้เล่า เมื่อวานพวกพี่เฉินมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ไม่เห็นพี่ลู่ท่าน” บุรุษหนุ่มคนนั้นดูเหมือนจะอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี ไม่นับว่าหนุ่มมาก ถือว่าถึงวัยแต่งงานแล้ว
เขายังไม่ได้ตั้ง ชื่อรองของที่นี่จะมีอาจารย์ตั้งให้หลังจากสำเร็จในการเรียนหรือกิจการ หรือไม่ก็ตั้งเองหลังจากประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง คนปกติไม่มีชื่อรอง ล้วนเรียกด้วยชื่อแซ่
พี่ลู่ที่เขาร้องเรียกก็คือลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งมุ่งหน้ามายังทะเลสาบสามประสพ เพราะคิดว่าอย่างไรก็อยู่ไม่ไกลแล้ว บวกกับไม่อยากดึงดูดความสนใจและทำให้ใครต่อใครตกใจ จึงเดินทางทางพื้นดิน และได้รู้จักกับอู๋เฉวียนเซิงระหว่างทาง
ลู่เซิ่งซึ่งมีความคิดว่าคนมากซ่อนตัวได้ง่าย ถือโอกาสติดตามพวกเขามายังทะเลสาบสามประสพ
คนกลุ่มนี้มีทั้งหมดสิบกว่าคน มีคนที่ฝึกวรยุทธ์ไม่มาก คนที่เหลือล้วนเป็นคนธรรมดาที่ใช้วิชาป้องกันตัวได้สองสามท่า พกดาบกระบี่ที่ไว้ใช้สำหรับป้องกันตัว แต่กลับแสร้งทำท่าเป็นคนเก่าคนแก่ในยุทธภพ คุยโวจนคนจากครอบครัวบ้านรวยอย่างอู๋เฉวียนเซิงตกตะลึง
ผ่านไปทางไหน อู๋เฉวียนเซิงเห็นใครก็เรียกเขาเป็นพี่ชาย เขาชอบช่วยเหลือคนอื่นๆ และยึดมั่นในสัจจะ พอได้ยินว่ามีพี่ชายสักคนประสบปัญหา ก็ให้เงินสิบตำลึงเพื่อช่วยเหลือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงทันที
ครั้งนี้เจอชายฉกรรจ์ธรรมดาที่เสแสร้งแกล้งดัดกลุ่มหนึ่งเข้า ตลอดทางที่ผ่านมาต่างคนต่างคบหากับอู๋เฉวียนเซิงผู้นี้โดยมีเจตนาไม่ดี ยึดถือเขาเป็นถุงเงิน ไม่ว่าเรื่องใดก็ให้เขาจ่ายให้
ลู่เซิ่งเห็นเรื่องแบบนี้มามากมาย เพียงมองดูอย่างเรียบเฉย
ไม่รู้ว่าอู๋เฉวียนเซิงผู้นี้โง่หรือไม่ มักจะยิ้มแย้มอย่างไร้หัวคิด ต่อให้รู้ว่าตัวเองโดนหลอก ครั้งต่อไปก็ยังคงเป็นแบบเดิม เหมือนไม่สนใจแม้แต่น้อย
“พี่ลู่ก็มาสมัครเข้าพรรคอาทิตย์วสันต์เหมือนกันหรือ” อู๋เฉวียนเซิงถามเบาๆ “ตัวข้ามาสมัครเป็นรอบที่สามแล้ว น่าเสียดายที่ไม่ติดสักครั้ง ยังเหลืออีกสองครั้งข้าถึงจะหมดสิทธิ์ สมัครไม่ได้อีกแล้ว”
ลู่เซิ่งไม่สนใจเขา
ขบวนเคลื่อนที่ไปด้านหน้าแล้วหยุดลงอีกครั้ง
อู๋เฉวียนเซิงพูดต่อ “คาดว่าครั้งนี้คงเหลวอีกตามเคย บิดาข้าบอกให้ข้ากลับไปรับสืบทอดกิจการที่บ้านเร็วๆ”
“อย่างนั้นก็ดีเลยไม่ใช่หรือ เจ้าไม่ใช่พวกฝึกวรยุทธ์หรอก” ลู่เซิ่งตอบอย่างขอไปที
“เอ๋!? พี่ลู่ไม่ใช่เป็นใบ้หรอกหรือ?!” อู๋เฉวียนเซิงพลันตกใจ
ลู่เซิ่งยื่นมือไปหยิกแก้มของอู๋เฉวียนเซิง
โอ๊ย!
เกิดเสียงร้องดังขึ้น
คนคุ้มกันที่อยู่รอบๆ อดเบือนหน้าหนีไปยิ้มไม่ได้ พวกเขาล้วนรู้จักนิสัยของนายน้อยดี
ลู่เซิ่งปล่อยมือ จากนั้นก็ไม่สนใจเขาอีก หากแต่มองไปทางด้านหน้า
“พี่ลู่ พี่ชายของข้า ท่านแรงเยอะจริงๆ…” อู๋เฉวียนเซิงลูบแก้มพลางโอดครวญ “จริงสิ อีกไม่กี่วันชุมนุมบุปผาอาทิตย์วสันต์จะมาถึงแล้วนี่นา พวกพี่เฉินก็ล้วนมา พี่ลู่ท่านเองก็…”
“เจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างหมดคำพูด “เจ้าพวกนั้นกินของเจ้าดื่มของเจ้า หลอกเอาเงินเจ้าเท่านั้น” พี่เฉินอะไรพวกนั้นเป็นคนแบบไหน เขายังไม่รู้อีกหรือ ล้วนเป็นคนธรรมดาที่แค่เป่าลมใส่ก็ทำให้ติดพิษตายแล้ว
พลังกับสิ่งที่พวกเขาโม้ต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ไม่มีทางหรอก!” อู๋เฉวียนเซิงโบกมือหัวเราะ “ข้าเชื่อใจพวกพี่เฉิน หนำซ้ำจริงปลอมแล้วอย่างไรเล่า บิดาข้ามักพูดว่าคนเราเกิดมาชีวิตหนึ่ง มีขึ้นก็ต้องมีลง ผู้ใดไม่เคยตกต่ำบ้าง ขอแค่พวกพี่เฉินจำความดีของข้าได้ก็พอ ภายหลังหากได้ดี แค่นี้ก็ไม่นับเป็นอะไรแล้ว”
เขากลับมองโลกในแงดี ลู่เซิ่งหยีตาสำรวจเด็กน้อยผู้นี้เพิ่ม
เขามองออกว่าอู๋เฉวียนเซิงไม่ใช่ไม่รู้ว่าคนมากมายกำลังหลอกลวงเขา แต่เขาผูกมิตร เด็กน้อยผู้นี้ชมชอบชีวิตที่เรียกว่าในสี่ทะเลล้วนเป็นพี่น้อง ไม่สนใจเงินเล็กน้อยที่ถูกหลอกไป
เป็นคนโง่แต่มีเงินมาก
ลู่เซิ่งกำหนดนิยามให้แล้วไม่สนใจเขาอีก
ขบวนเคลื่อนไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง อู๋เฉวียนเซิงเข้าแถวห่างจากด้านหลังลู่เซิ่งเล็กน้อย ระหว่างทางพอพบเห็นคนที่รู้จัก เขาร้องทักตลอดเวลา พี่นั่นน้องนี่ พี่สาวนี่น้องสาวนั่น ดูเหมือนทุกที่จะมีแต่คนที่เขารู้จัก เส้นสายเยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหว
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ขบวนที่ยาวเหมือนงูเหลือแค่ครึ่งเดียว
“อู๋เฉวียนเซิง” เสียงบุรุษที่เฉียบขาดทุ้มต่ำดังมาจากในฝูงชน ไม่นานชายฉกรรจ์สวมชุดทะมัดทะแมงสีเทา ถือกระบองทองแดงสามคนก็เบียดตัวเข้ามา
“ครั้งก่อนเจ้าทำลายแผนการของข้า นึกไม่ถึงว่าจะเจอเจ้าที่นี่ เหอะๆๆ” คนหนุ่มรูปหล่อที่มีสีหน้าซีดขาวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังคนทั้งสาม เพียงแต่ว่านัยน์ตาของคนหนุ่มผู้นี้ปรากฏความมุ่งร้ายอย่างเลือนราง
“เป็นเจ้า?!” อู๋เฉวียนเซิงงุนงงจากนั้นก็จดจำอีกฝ่ายได้ทันที สีหน้าเคร่งขรึมลงอย่างฉับพลัน กล่าวด้วยความโกรธว่า “ยังกล้ามาโผล่ที่นี่อีกหรือ ฉุดกระชากสตรีชาวบ้างกลางถนน ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามจริงๆ เชียว!”
“เหลวไหล! นางสองคนนั้นมาเกาะแกะข้าเองต่างหาก ข้าปฏิเสธไม่เป็นผลจะโทษใครได้เล่า” คุณชายชั่วร้ายกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“คอยก่อนเถอะ วันนี้พี่เฉินซันจากที่ว่าการอยู่นี่พอดี พวกเราไปแจ้งเรื่องด้วยกัน ดูว่าใต้เท้าที่ว่าการจะตัดสินอย่างไร!” อู๋เฉวียนเซิงข่มความโกรธพลางเอ่ยอย่างเย็นชา
“ใต้เท้าที่ว่าการหรือ” คนหนุ่มชั่วร้ายหัวเราะอย่างเย็นชา “พี่เฉินซัน พี่เฉินซันที่เจ้าว่าคือใคร”
อู๋เฉวียนเซิงพลันงงงัน กวาดตามองรอบๆ พี่เฉินซันที่เมื่อครู่เข้าแถวอยู่ด้านขวาของเขาเวลานี้ไม่เห็นร่องรอยแล้ว
ไม่เพียงแค่นี้ คนไม่น้อยที่อยู่ข้างตัวเขาล้วนหลบไปอยู่ไกลๆ ทำท่ากลัวว่าจะโดนลากเข้าไปเกี่ยวด้วย
เขาตกใจในทันที หันไปมองด้านหลังอีกครั้ง แม้แต่คนคุ้มครองหลายคนที่อยู่ด้านหลัง ยังรักษาระยะห่างกับตนด้วยสีหน้าเหยเก
“นายน้อย…ท่านนี้คือ…คุณชายสาม…คุณชายสามจากตระกูลหลิน” คนคุ้มครองคนหนึ่งก้มหน้ากล่าวเบาๆ อย่างละอาย
คุณชายสามแห่งตระกูลหลิน…
อู๋เฉวียนเซิงลืมตาโต เข้าใจกระจ่างในทันที
เขากวาดตามองรอบๆ คนที่ก่อนหน้านี้ยังเรียกเขาว่าพี่น้อง จ่ายเงินซื้อข้าวซื้อปลาด้วยกัน ตอนนี้ล้วนหดหัวอยู่ในฝูงชนไม่เห็นแม้แต่เงา
คนที่เห็นเขาก็ทำเป็นไม่รู้จักเขา ชั่วขณะนั้นในฝูงชนเหมือนมีเขายืนอยู่คนเดียว
“ทุบตีสักรอบ จากนั้นตัดขาทั้งสองข้างแล้วโยนออกไป ยืนอยู่นี่ขวางหูขวางตา” คุณชายชั่วร้ายคนนั้นโบกมือกล่าวอย่างเหลืออด
“ขอรับ” คนคนหนึ่งในสามคนที่อยู่ตรงหน้าเขาถือกระบองทองแดงเดินเข้าหาอู๋เฉวียนเซิง
“พี่เฉิน…” อู๋เฉวียนเซิงหน้าซีด เขาเป็นลูกหลานครอบครัวร่ำรวยธรรมดา ไหนเลยจะเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ จึงขาอ่อนยวบ รีบตามหาพี่เฉินที่ก่อนหน้านี้คุยโวกับตนว่ามีความสามารถมาก
แต่หาดูรอบๆ กลับไม่เห็นใคร
“พี่สาวหวัง…” เขาไปหาพี่สาวหวังที่บอกว่าตนมีพลังไม่น้อยเช่นกัน ทว่าอีกฝ่ายแสร้งทำเป็นไม่เห็นเขา เมินเฉยการขอความช่วยเหลือของเขาไป
อู๋เฉวียนเซิงใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม คนที่ปกติดูเหมือนมีสัจจะมาถึงเวลานี้ถึงกับ…
ไม่มีใครก้าวออกมาเลยสักคนเดียว ทุกคนตั้งวงล้อมอยู่ด้านนอก ทิ้งพื้นที่ว่างเอาไว้ คนส่วนใหญ่ถึงขั้นไม่เหลือบแลมาทางนี้
“ฮ่ะๆ…” อู๋เฉวียนเซิงเข้าใจแล้ว ทุกคนกำลังหลีกเลี่ยงปัญหาอยู่ เวลาที่มีเงินคนเหล่านี้ต่างเรียกพี่เรียกน้อง ตอนนี้ตนเองเกิดปัญหา คนเหล่านี้กลับ…เขาพลันกระจ่างแจ้ง เข้าใจเรื่องราวมากมาย
“เจ้าหนู ครั้งหน้าถ้าเจอคุณชายอย่าลืมโขกศีรษะล่ะ ใครให้เจ้าหาเรื่องคนที่ไม่ควรหาเรื่องเล่า…” ชายฉกรรจ์คนนั้นยิ้มอย่างดุร้ายพลางเงื้อกระบองทองแดงฟาดใส่ขาขวาของอู๋เฉวียนเซิง
“หนวกหู!” อยู่ๆ ก็มีพละกำลังอันมหาศาลสายหนึ่งกระแทกมาอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น มีเงาคนที่หมุนตัวมาชนใส่ร่างของชายฉกรรจ์ดังเปรี้ยง
เปรี้ยง!
เกิดเสียงดังแกร๊กเมื่อกระดูกของคนสองคนหัก พวกเขากระเด็นออกไปอย่างรุนแรงเหมือนน้ำเต้ากลิ้ง ก่อนจะปะทะใส่ร่างของคนสองคนด้านหลัง
ทั้งสี่คนทับใส่ร่างของคุณชายชั่วร้ายคนนั้นดังตึง พวกเขาส่งเสียงร้องโหยหวน ทั้งยังกลิ้งไปบนพื้นอีกหลายรอบ
รอบๆ บริเวณเงียบงันเป็นเป่าสาก หลายคนที่ล้อมวงอยู่รอบๆ ยังไม่ทันมีปฏิกิริยา ก็เห็นสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน คุณชายคนนั้นถูกกระแทกล้มลงกับพื้น โดนบุรุษสี่คนที่หนักหลายร้อยชั่งกดทับจนกระดูกหักส่งเสียงกร๊อบๆ
อึก
อู๋เฉวียนเซิงมองลู่เซิ่งอย่างอ้าปากตาค้าง จากนั้นก็มองคนที่ล้มอยู่บนพื้นเหล่านั้น
เมื่อครู่เขาเห็นลู่เซิ่งคว้าผมของคนคนหนึ่ง แล้วโยนคนผู้นั้นใส่ชายฉกรรจ์กับคนอีกสามคนจนล้มลง
ตอนนี้ชายฉกรรจ์ที่อยู่ใกล้สุดซึ่งมีร่างกายที่แข็งแกร่ง รีบร้อนลุกขึ้น ถือกระบองทองแดงตะโกนอย่างโมโหไปทั่ว
“เป็นผู้ใด!? โผล่หน้าออกมาเดี๋ยวนี้! กล้าลงมือกับคุณชายสามแห่งตระกูลหลิน คงรำคาญในการมีชีวิตอยู่…”
“หาที่ตาย!” ทันใดนั้นมีเงาสายหนึ่งโผบินออกมาจากในฝูงชน แล้วประทับฝ่ามือใส่ทรวงอกชายฉกรรจ์
เปรี้ยง!
ชายฉกรรจ์คนนั้นกระอักเลือดออกมา กระเด็นออกไปสิบกว่าหมี่ ก่อนจะชนใส่คนอื่นๆ จนล้มระเนระนาด
“ตระกูลหลิน ตระกูลหวังอะไร รู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน” เงาสายนั้นยืนนิ่ง เป็นบุรุษวัยกลางคนที่รูปร่างเตี้ยเล็ก กำลังร้องเสียงแหลม “นี่คือพรรคอาทิตย์วสันต์! กล้ามาอาละวาดที่นี่ อย่าว่าแต่ตระกูลหลิน ตระกูลหวังอะไรของเจ้า ต่อให้เป็นเทพเจ้ามาเอง ก็ไสหัวออกไป!”
บุรุษวัยกลางคนผู้นี้คือเฝิงหย่วนผู้จัดการเรื่องราวภายนอกของพรรคอาทิตย์วสันต์ ที่ปักหลักอยู่ที่นี่ มีนิสัยหยิ่งทะนงเอาแต่ใจ ปกติแล้วชอบทำให้สวรรค์พิโรธผู้คนโกรธแค้น มีความสามารถนับไม่ถ้วนในการเรียกรับเงินทอง
ปกติพอคนผู้นี้ปรากฏตัวทุกคนมีแต่จะหลบไปอยู่ห่างๆ แต่พอเขาโผล่มาในตอนนี้ อู๋เฉวียนเซิงกลับรู้สึกซาบซึ้งต่อเฝิงหย่วนที่มาช่วยเหลืออย่างทันท่วงที่
เวลานี้ภาพลักษณ์แย่ๆ ที่เกิดจากความตระหนี่และการเรียกรับเงินทองของเขาดูดีขึ้นมาทันที
ตาเล็กๆ ของเฝิงหย่วนกวาดมองรอบๆ ครั้นเห็นเครื่องประดับหรูหราบนตัวคุณชายตระกูลหลิน ก็รู้ทันทีว่าเนื้อเข้าปากเสือแล้ว
“ทำให้ระเบียบการสมัครวุ่นวาย ทั้งยังสร้างความเสียหายให้แก่ความปลอดภัยของศิษย์ตัวสำรอง ไม่ไหว เหอะๆ เรื่องนี้ต้องมีการตรวจสอบ” เขาเดินเข้าไปหิ้วตัวคุณชายสามตระกูลหลินขึ้นมา แล้วตะโกนให้คนอื่นๆ เข้ามารับคำสั่ง พร้อมทั้งกลับไปยังจุดรับสมัครของพรรคอาทิตย์วสันต์
……………………………………….