ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 317 เป้าหมาย (1)
บทที่ 317 เป้าหมาย (1)
เมืองจันทราหลับใหล เรือนใหญ่ตระกูลหลิน
หลินฉีย่าเอามือไพล่หลังขณะชื่นชมภาพเพาะปลูกกลางสายฝนในฤดูใบไม้ผลิที่ตนแขวนไว้บนกำแพงเงียบๆ ตอนนี้เขาที่อายุครึ่งร้อยแล้ว แสยะยิ้มน้อยๆ เหมือนกับอารมณ์ดียิ่ง
“ท่านพ่อ จับตัวเด็กน้อยตระกูลอู๋ผู้นั้นมาแล้ว จะจัดการอย่างไรดี” หลินฉวีนายน้อยที่สามของตระกูลหลินที่พันผ้าพันแผลเต็มตัวจ้องมองบิดาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลใช้เส้นสาย เขาคงจะถูกคุมตัวไว้ในพรรคอาทิตย์วสันต์และได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างสาหัส โชคดีที่ผู้ดูแลเรื่องจับกุมเป็นคนเห็นแก่เงิน หลังได้แท่งเงินไปสองแท่งก็ปล่อยเขาออกมาก่อนกำหนด แน่นอนว่าที่ทำถึงขนาดนี้ได้เพราะจ่ายเงินไปไม่น้อย
“ตระกูลอู๋ยังมีความสามารถอยู่บ้าง ศิษย์คนใหม่ของพรรคอาทิตย์วสันต์ผู้นั้นก็เป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ คอยดูไปก่อนว่าจะมีคนออกหน้าไกล่เกลี่ยหรือไม่ ถ้าไม่มี แค่ตระกูลอู๋ตระกูลเดียว เจ้าไปจัดการเองเถอะ” หลินฉีย่ากล่าวอย่างราบเรียบ
“ถูกต้อง ข้าได้ตรวจสอบมาแล้ว ลู่เซิ่งอะไรนั่นเป็นคนใหม่ที่เพิ่งเข้าพรรค ไม่มีปัญหาอะไร มันไม่น่าจะกล้าหาเรื่องตระกูลหลินของเรา” หลินฉวีคุณชายที่สามแห่งตระหูลหลินหัวเราะเย็นชา “คาดว่าอีกไม่นานคงถูกคัดทิ้งแล้ว รอถึงเวลานั้น ข้ามีวิธีจัดการคนผู้นั้นอยู่”
“อย่าได้ทำให้เรื่องในตระกูลเสียหาย” หลินฉีย่าย้ำเตือน
“ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ไม่ทำให้เสียเรื่องแน่ น่าเสียดาย ถ้าพี่รองลงมือ คงจะจับคนที่ซ่อนตัวในพรรคอาทิตย์วสันต์นั่นออกมาได้” หลินฉวีไม่ยินยอมอยู่บ้าง
“พี่รองของเจ้ามีเรื่องของตัวเองที่ต้องจัดการ แต่กำลังกลับมาแล้ว มาถึงเมื่อไหร่เจ้าค่อยเล่าให้เขาฟังเอง” หลินฉีย่ากล่าวอย่างไม่นำพา
“ขอรับ ไว้หาโอกาส…ได้ยินมาว่าคุณหนูห้าของตระกูลอู๋หน้าตาไม่เลว…” หลินฉวีเลียริมฝีปาก ดวงตาฉายแววชั่วร้าย
แอ๊ด
ทันใดนั้นประตูของเรือนข้างพลันเปิดออก คนหนุ่มสวมชุดรัดรูปที่ร่างสูงใหญ่สมส่วนเดินเข้ามา
“ท่านพ่อ น้องสาม มาพบสหายของข้าหน่อย จัวเทียนอี้ น้องชายจัว” คนหนุ่มที่เดินอยู่ด้านหน้ากล่าวเสียงดัง
หลินฉีย่ากับหลินฉวีพลันมองคนหนุ่มทั้งสองด้วยดวงตาเป็นประกาย
คนหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าคือหลินฮุ่ยบุตรคนที่สองของตระกูลหลิน บุรุษอาภรณ์ขาวท่าทางอ่อนโยนผู้หนึ่งติดตามอยู่ด้านหลังเขา
บุรุษผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลา นิ้วมือเรียวยาวขาวผ่อง แขวนกระบี่สีขาวราวหิมะไว้ที่เอว ดูลักษณะท่าทางค่อนข้างไม่ธรรมดา
“พี่รอง!”
“เสี่ยวฮุ่ย!”
ทั้งสองรีบเข้าไปต้อนรับ
“เสี่ยวฮุ่ยเอ่ยถึงพี่ใหญ่เทียนอี้อยู่เสมอ” หลินฉวีกล่าวอย่างกระตือรือร้นกับบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นด้วยรอยยิ้ม
“ท่านลุง เจ้าคือเสี่ยวฉวีกระมัง ข้าได้ยินพี่ฮุ่ยพูดถึงเจ้า บาดแผลบนตัวเจ้าเกิดจากอะไร” บุรุษอาภรณ์ขาวพยักหน้า พอพิจารณาหลินฉวีเสร็จก็ประหลาดใจอยู่บ้าง จากนั้นก็มองหลินฮุ่ยเป็นเชิงถาม
ตอนนี้หลินฮุ่ยค่อยสังเกตเห็น ครั้นเห็นผ้าพันแผลบนตัวหลินฉวี สีหน้าก็เคร่งขรึมลง
“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นกัน ก่อนหน้านี้เสี่ยวฉวียังสบายดีไม่ใช่หรือ”
“เรื่องนี้…เป็นแค่เรื่องเล็กๆ เสี่ยวฉวีจัดการเองได้ เกิดอุบัติเหตุนิดๆ หน่อยๆ” หลินฉีย่าส่ายหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาแค่เสียเปรียบเพราะเตรียมตัวไม่ดี”
“ไม่เป็นไร ลองเล่าดูก่อน ข้ากลับอยากเห็นว่าในสถานที่คับแคบแบบนี้ยังมีคนกล้าไม่เห็นแก่หน้าตระกูลหลินของข้าอีกหรือ” ดวงตาของหลินฮุ่ยสาดจิตสังหาร
หลินฉวีจึงได้แต่เล่าเรื่องที่ตนประสบมาอย่างละเอียดด้วยความจนปัญญา
หลังจากพวกเขาได้ยินก็พากันหัวเราะ
“ลีลาอยู่นั่นสรุปคือเจ้าไม่ได้พาลุงหมิงไป สุดท้ายเลยโดนอัดเสียเอง ครั้งนี้สมควรได้รับบทเรียนจริงๆ” หลินฮุ่ยขยี้ผมของน้องชายอย่างหมดคำพูด
“ข้าแค่ประมาทไปหน่อยเท่านั้นเอง!” หลินฉวีสีหน้าแดงก่ำ รู้สึกเสียหน้า
ในตอนนี้เองมีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังมาจากด้านนอกเรือน ข้ารับใช้หลายคนถลันเข้ามา ต่างเหงื่อแตกเต็มศีรษะและหน้าซีด
“นายผู้เฒ่า คุณชาย แย่แล้วขอรับ! คนจากพรรคอาทิตย์วสันต์…มัน…บุกเข้ามาแล้ว!”
“มือดีของพวกเราห้าคนขวางไม่อยู่ พอเจอหน้าก็…!” อีกคนตื่นตระหนก เลือดอาบเต็มตัว
“หือ?” หลินฉีย่างุนงง “ลุงหมิงเล่า”
“ลุงหมิงเองก็…” ข้ารับใช้ทำท่าหวาดกลัว ส่ายหน้าไปมาขณะหมอบคลานบนพื้น
หลินฉีย่านิ่วหน้าเล็กน้อย มองไปยังบุตรคนรองของตนเอง
“มาพอดีเลย บังเอิญที่ข้ากำลังพักผ่อน อยากยืดเส้นยืดสายอยู่พอดี” บุรุษอาภรณ์ขาวจัวเทียนอี้กลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางตบกระบี่ยาวข้างเอวเบาๆ
“อยางนั้นขอรบกวนสหายจัวแล้ว” หลินฮุ่ยพูดยิ้มๆ
“ไม่ต้องเกรงใจๆ เรื่องแค่นี้เอง ไม่ควรค่าให้พูดถึงหรอก” บุรุษอาภรณ์ขาวหมุนตัวเดินไปยังประตูใหญ่ที่ข้ารับใช้วิ่งมา
“นิทราฝันสามครั้งหลังม่าน หัวเราะเก้าครั้งตื่นขึ้นเป็นมายา ฮ่าๆ กระบี่ดุจฝันของข้า…”
ตูม!
กำแพงด้านข้างระเบิดอย่างรุนแรง กรวดหินดินทรายกองใหญ่ทับใส่ร่างจัวเทียนอี้
โดยเฉพาะกลางกำแพงยังมีหินหนักมากกว่าร้อยชั่งก้อนหนึ่ง ซึ่งกระแทกใส่ส่วนเอวของจัวเทียนอี้เหมือนกระสุนปืนใหญ่ ขณะก้อนหินตกใส่พื้นหนายังได้ยินเสียงกระดูกหักเบาๆ
จัวเทียนอี้ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็ถูกหินก้อนใหญ่กระแทกใส่ศีรษะตอนกำลังเผลอจนสลบไสลไป ร่างถูกฝังอยู่บนพื้น
“…”
“…”
“…”
พวกหลินฮุ่ยไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าอย่างไรดี ตามเหตุผลยอดฝีมือระดับจัวเทียนอี้ไม่น่าจะถูกก้อนหินแค่นี้กระแทกใส่จนสลบไป แต่ว่าเรื่องจริงคือเขาถูกกระแทกสิ้นสติไปแล้วจริงๆ ตอนนี้ถูกฝังอยู่บนพื้นไม่ทราบเป็นหรือตาย
กรวดหินสีขาวมากมายกองอยู่บนพื้น เวลานี้กลางช่องว่างบนกำแพงมีคนหนุ่มอาภรณ์เขียวคนหนึ่งถือดาบเดินเข้ามา
“เมื่อครู่ข้าได้ยินคนท่องกลอน” บุรุษหนุ่มสีหน้าเยือกเย็น ดูไม่ต่างจากคนหนุ่มทั่วไป ทว่ามีแต่สองตาที่ไอสังหารหนักอึ้งและล้ำลึกสุดเปรียบปาน คล้ายมองทุกสิ่งเหมือนกันไปหมด ยังมีความรู้สึกดุร้ายที่แหลมคมจนถูกเจาะทะลวง
“ที่นี่คือตระกูลหลินหรือ” บุรุษหนุ่มกวาดตามองรอบๆ ไม่นานก็หยุดสายตาบนร่างหลินฮุ่ย
“มันนี่แหละ!” เวลานี้ข้ารับใช้หนึ่งในสองคนที่กลับมาเมื่อก่อนหน้า ตกใจกรีดร้อง ก้าวถอยหลังติดต่อกันจนก้นจ้ำเบ้า พลางชี้ลู่เซิ่งด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ด้านนอกกำแพงพังยังมีข้ารับใช้ไม่น้อยถืออาวุธมองดูคนผู้นั้นอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้
หลินฮุ่ยเลียริมฝีปาก นึกไม่ถึงว่าสหายจัวจะเจอเรื่องเหนือความคาดหมายเช่นนี้ อีกเดี๋ยวต้องเยาะเย้ยกันสักหน่อย
“พวกสวะ! ไสหัวไป!” เขาถีบข้ารับใช้ที่ขวางทางออก แล้วพลิกมือชักดาบใหญ่บนหลังออกมา พลางก้าวเท้ายาวๆ เดินไปหาบุรุษหนุ่ม
หลังจากเข้าใกล้ เขาก็เกร็งกล้ามเนื้อทั่วร่าง โคจรวิชาจริงแท้ หลังมือค่อยๆ กลายเป็นสีดำอมม่วง
“ประกายทมิฬเงาจันทร์ ไร้คู่เคียง!”
ฉัวะ!
เขาฟันดาบออกไป จากนั้นก็ราวกับมีจันทร์เพ็ญที่สว่างไสวเบ่งบานอยู่ด้านหน้าบุรุษหนุ่ม ประกายดาบฟันใส่ศีรษะของอีกฝ่าย
ต่อให้มีกำแพงกั้นอยู่ อานุภาพของดาบนี้ก็สามารถผ่าทุกสิ่งให้กลายเป็นสองท่อนได้อย่างง่ายดายเพียงยกมือ หลินฮุ่ยเคยทดสอบมาแล้วหลายครั้ง นับว่าเป็นหนึ่งในท่าเริ่มต้นที่เขาใช้บ่อยที่สุด
ภายนอกดูเหมือนประกายดาบที่คล้ายจันทร์เพ็ญอันตรายที่สุด แต่อันตรายที่แท้จริงคือเงามืดที่เหมือนด้ายเล็กๆ ด้านล่างประกายดาบ นั่นจึงเป็นท่าสังหารที่แท้จริง
อีกทั้งยังมีจุดที่สำคัญยิ่งกว่าคือไม่ว่าอีกฝ่ายจะป้องกันแสงจันทร์ก่อน หรือปัดป้องเงาดำก่อน จะต้องรับการโจมตีถึงชีวิตทั้งสองด้านพร้อมกัน
ต่อให้จะช้าเล็กน้อยก็ไม่ได้ ต้องรับพร้อมกัน ไม่อย่างนั้นหากรับการโจมตีด้านไหนช้าไป การโจมตีที่เร็วกว่าจะเปลี่ยนเส้นทางในพริบตาเดียว แล้วรวมพลังทั้งหมดไว้อีกด้านหนึ่งเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สภาวะการโจมตี
นี่เป็นอันตรายของท่านี้ ภายนอกดูเปิดเผยตรงไปตรงมา ความจริงกลับเป็นกระบวนท่าสังหารที่ซ่อนไว้ติดต่อกัน ทำให้คนป้องกันไม่ได้
หลินฉีย่ากับหลินฉวีสองพ่อลูกที่อยู่ด้านข้างเห็นภาพนี้ก็คลายใจลง พวกเขาเคยเห็นอานุภาพของดาบนี้มาก่อน มันเคยผ่าม้ากับสารถีสวมเกราะอ่อนที่ซ่อนอยู่ด้านหลังม้าออกเป็นสองส่วน ถ้าหากว่าหลบได้ก็รอด แต่ถ้าหลบไม่ได้…
“กระบวนท่าไร้ชื่อ”
อยู่ๆ เสียงที่ทุ้มต่ำเยือกเย็นก็ดังมาจากในประกายดาบ
จากนั้นทุกคนก็เห็นขาข้างหนึ่งพุ่งออกมาจากประกายดาบอย่างรวดเร็ว แล้วถีบใส่ทรวงอกของหลินฮุ่ยอย่างรุนแรง
ตูม!
ทรวงอกเขาส่งเสียงหักดังกร๊อบๆ อกยุบตัว ร่างกายงองุ้ม ก่อนจะกระเด็นออกไป ดาบหลุดจากมือ ปากกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
ทุกอย่างเหมือนกับภาพช้า หลินฮุ่ยไม่กล้าเชื่อว่าตนเองจะแพ้
แพ้ในสถานที่บ้านนอกแบบนี้?!
ความคิดของเขาหยุดชะงักบนใบหน้าอันเฉื่อยชาของบุรุษผู้นั้น
เขาหลบประกายดาบของตนได้อย่างไร
เขาไม่รู้ เขาแค่เห็นขาข้างหนึ่ง ขาข้างนั้นเร็วมากๆ ถีบออกมาจากในช่องว่างของประกายดาบที่เขาไม่เคยพบมาก่อน จากนั้นตนเองก็แพ้ พละกำลังที่น่ากลัวและยากจะจินตนาการ…เหมือนกับขี่เมฆดั้นหมอกกระแทกใส่ทรวงอกของตัวเอง
เปรี้ยง! ตูม!
หลินฮุ่ยกระเด็นออกไปเหมือนกระสุนปืนใหญ่ พุ่งเข้าไปในโถงหลักของตระกูลหลินที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็มีเสียงสิ่งของเครื่องเรือนถูกชนแหลกดังมาจากด้านในอย่างรวดเร็ว
หลินฉีย่าสองพ่อลูกอ้าปากค้าง เสียงที่กำลังตะโกนให้กำลังใจติดอยู่ในลำคอ พูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองดูบุรุษที่เดินเข้ามาอย่างตะลึงงัน
“ข้าคือลู่เซิ่ง ใครคือคุณชายสามตระกูลหลิน” ลู่เซิ่งสะบัดดาบบนมือ
“เจ้า…เจ้า…!” หลินฉวีเสียงสั่นพูดตะกุกตะกัก เขาสีหน้าขาวซีด สองขาสั่นพั่บๆ ใกล้จะล้มลงกับพื้นอยู่รอมร่อ ถ้าไม่ใช่บิดาหลินฉีย่าประคองไว้ เขาคงจะล้มลงไปปัสสาวะอุจจาระราดจริงๆ
“คุณชาย…คุณชายลู่…ท่านรู้หรือไม่ว่าสองคนที่ท่านทำร้ายไปเป็นใคร? มีสถานะอะไร?” สุดท้ายหลินฉีย่าก็เป็นคนที่ผ่านคลื่นลมมามากมาย ตอนนี้ฝืนสะกดอารมณ์ไว้ ไม่มองข้ารับใช้และคนคุ้มกันที่แอบหนีไป แต่ว่าเพ่งสมาธิทั้งหมดไว้บนตัวลู่เซิ่ง
“ข้าไม่สนหรอกว่าพวกมันเป็นใคร เด็กตระกูลอู๋อยู่ไหน ส่งคนออกมา พวกเจ้าตัดมือตัวเองคนละข้าง เรื่องนี้เป็นอันจบ” ลู่เซิ่งกล่าวพลางขมวดคิ้วน้อยๆ
“ท่าน…!” หลินฉีย่าพลันลืมตาโต นึกไม่ถึงว่าศิษย์ใหม่แห่งพรรคอาทิตย์วสันต์ที่เพิ่งเข้าสำนักจะปากกล้าขนาดนี้
“คุณชายลู่ บุตรข้าเป็นศิษย์ภายในของสำนักเงาจันทร์ ท่านก็เป็นศิษย์ภายในพรรคอาทิตย์วสันต์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าคุณชายจัวเป็นหลานคนเดียวของผู้อาวุโสสี่แห่งสำนักเงาจันทร์…”
“มาเงาจงเงาจันทร์อะไรอีก ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดอะไร รีบส่งคนมาและตัดมือเสีย อย่าให้ข้าลงมือเอง ไม่อย่างนั้นคงเผลอฆ่าอีกหลายคน อย่าโทษที่ข้าไม่เตือนเล่า” ลู่เซิ่งเหลืออดบ้างแล้ว
หลินฉีย่าตัวสั่น คับข้องใจจนแทบจะกระอักเลือด สำนักเงาจันทร์เป็นสำนักมรรคายุทธ์ที่มีชื่อเสียงเทียบเท่าพรรคอาทิตย์วสันต์ในบริเวณนี้ แต่คนตรงหน้าถึงกับ…
“ฮ่าๆๆ! ฝีปากกล้านัก! เจ้าหนุ่ม ต่อให้หลี่ฉงหยางอยู่ตรงหน้าก็ไม่กล้าพูดแบบนี้”
อยู่ๆ กลางอากาศก็มีเสียงชราดังขึ้นมา
……………………………………….