ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 32 ระเบิด (2)
ลู่เซิ่งถอนหายใจในใจ ผู้ที่เขายังนับว่ามีความคิดที่จะปกป้องในบ้านหลังนี้คือบิดา ลู่เฉวียนอัน มารดารอง และเสี่ยวเฉี่ยว
คนที่เหลือล้วนไม่มีความผูกพันอันใด ลู่ชิงชิงจบสิ้นแล้ว ไม่เห็นพวกเขามีความเจ็บปวดมากเท่าใด ถึงขั้นที่ลู่อิงอิงในฐานะน้องสาวยังพูดวาจาแบบนี้ออกมาอีก เห็นถึงความความคับแคบของจิตใจ
ถึงแม้เขากับลู่ชิงชิงไม่มีความผูกพันอันใด แต่คิดถึงสถานการณ์ของมารดารอง บวกกับคำพูดที่เหยียนไคกล่าวก่อนหน้านี้
ทำให้ความคาดหวังในตอนแรกหล่นลงถึงก้นเหว ลู่เซิ่งรู้สึกผิดหวังมาก
ท้อถอยอยู่สักพัก เขาค่อยฟื้นฟูสติอารมณ์กลับคืนมา
เขาแม้เป็นคนธรรมดา แต่ก็มีเครื่องมือปรับเปลี่ยนอยู่ ต่อให้ไม่อาจฝึกฝนวิชาของคนกำจัดวิญญาณ แต่ไม่แน่ว่าจะย่ำแย่กว่าพวกเขา
เขาไม่เชื่อว่าอาศัยพลังของตัวเองจะรับมือภูตผีปีศาจอย่างผีล่อลวงไม่ได้
“เรื่องชิงชิงละวางไว้ก่อน ภายหลังพวกเรายังมีโอกาส หาหมอมารักษาได้
แต่อีกเรื่องหนึ่งกลับช้าไม่ได้แล้ว
“ข้าได้ทราบจากเหยียนไคเต้าจ่างว่า ในเมืองเก้าประสานยังมีภูตผีไม่น้อยหลบซ่อนอยู่ จำเป็นต้องป้องกันให้ดี” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม
“ยังมีอีกไม่น้อยหรือ” ลู่เฉวียนอันงงงัน คนที่เหลือก็ตกใจหน้าถอดสีเช่นกัน
ภูตผีที่เหมือนก่อนหน้า ไม่มีวิธีที่อาศัยคนมากมารับมือ ภูตผีเช่นนี้ถึงกับยังมีไม่น้อย!
“นี่มันอันตรายไปแล้ว!”
มารดาห้าพลันลุกขึ้นมากรีดร้อง
“หุบปาก!”
ลู่เฉวียนอันตบมือใส่ที่เท้าแขนเก้าอี้อย่างหนักหน่วง
มารดาห้าตกใจตัวสั่น นั่งลงไปใหม่
ลู่เซิ่งกวาดมองคนในบ้านทั้งหมด ต่างเหมือนมะเขือน้ำค้างแข็งเกาะ ไร้ความคึกคัก ในดวงตาล้วนเป็นความหวาดกลัวและรับมือไม่ถูก
“ดังนั้นคำแนะนำของข้าคือ ฉวยโอกาสตอนที่ยังปลอดภัย พวกเราตระกูลลลู่ย้ายออกจากเมืองเก้าประสานทันที”
ลู่เฉวียนอันส่ายหน้า
“ไม่ทันการณ์แล้ว เบื้องบนมีคำสั่งเด็ดขาด สี่ตระกูลใหญ่ผู้ใดก็ห้ามออกจากเมืองเก้าประสาน ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่รู้ว่าคำสั่งนี้เป็นเรื่องอะไร ตอนนี้นึกถึง…”
ลู่เซิ่งจิตใจเย็นเยียบ
นี่เป็นคนจากราชสำนักเบื้องบนจงใจสอดประสานมาหรือ หรือว่าเป็นแค่ความบังเอิญ
“ถ้าแอบไปทีละน้อยเล่า” มารดาสี่กล่าวเสียงเบา “ไม่ใช่มีพี่ใหญ่อยู่หรือ…”
“ไม่ไหว” ลู่เฉวียนอันส่ายหน้า “ตอนข้าไปที่ประตูเมืองก่อนหน้านี้ พี่ใหญ่ไม่เจอข้า เพียงส่งคำพูดออกมา ตอนนี้แม้แต่ข้าหลวงก็ไม่อนุญาตให้ออกเมืองแล้ว”
ทันใดนั้นทุกคนเงียบกริบ ต่างก็มองไปยังลู่เซิ่ง
ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งเป็นคนเปลี่ยนแปลงกระแสน้ำ จัดการเรื่องเสียงร้องไห้ของผีสาวในคฤหาสน์
“ตอนนี้…” ลู่เซิ่งก้มหน้า กล่าวเสียงขรึม “ได้แต่อยู่ในคฤหาสน์แล้ว พยายามซื้อข้าว ธัญพืชและเนื้อมาตุนเอาไว้ เก็บไว้ทำอาหารได้ในระยะยาว
พวกเราต้องเตรียมถูกกักตัวอีกนาน”
“กล่าวถูกต้อง” ลู่เฉวียนอันยามนี้ค่อยๆ ฟื้นฟูสติกลับมา พยักหน้าเล็กน้อย
ในตอนนี้เอง พื้นดินพลันสั่นสะเทือน
ทางตะวันตกของเมืองแว่วเสียงระเบิดกึกก้องดังมา
ลู่เซิ่งสะดุ้ง กระโดดขึ้นมา พุ่งออกจากโถงใหญ่ มองไปยังฟากฟ้าด้านตะวันตก
ที่นั่นมีแสงเพลิงสีแดงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เห็นได้ว่าเป็นของบางอย่างระเบิด ก่อเกิดให้ไฟไหม้
แสงเพลิงสีแดงส่องสว่างบนฟากฟ้าครึ่งหนึ่งของเมืองเก้าประสาน
ไกลออกไปมีเสียงร้องไห้ เสียงตะโกน แทรกเสียงร้องขอให้ช่วยดับไฟ
“ข้าไปดูก่อน!”
ลู่เซิ่งไม่เห็นสถานการณ์ที่เป็นจริงจากในลาน จึงบอกกับบิดาลู่เฉวียนอันอย่างรวดเร็ว เร่งความเร็วโถมไปยังประตูใหญ่ของคฤหาสน์
เพิ่งมาถึงประตู ก็ให้คนรับใช้ไปจูงม้าออกมาให้
ลู่เซิ่งเห็นบนพื้นถนนหน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์ลู่ มีคนไม่น้อยพกดาบ ถือกระบี่รีบเร่งไปยังทิศทางของเพลิงไหม้
คนเหล่านี้ต่างมีท่าเท้าที่ปราดเปรียว เหมือนกับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ สายตาที่มองไปยังเพลิงไหม้ ล้วนมิใช่ความประหลาดใจหรือหวาดกลัวในจินตนาการของลู่เซิ่ง หากเป็นความละโมบและปรารถนา
แค่ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่หน้าประตูสิบกว่าลมหายใจ ผู้ฝึกยุทธ์ที่ผ่านประตูคฤหาสน์ลู่ ก็เห็นมีสามกลุ่มแล้ว
พวกเขาบ้างขี่ม้าควบตะบึง บ้างกระโจนวิ่ง ด้านในมีทั้งบุรุษและสตรี มีทั้งชราและเยาว์วัย
แต่ว่าส่วนใหญ่ล้วนไม่ใช่คนในท้องที่ในเมืองเก้าประสาน
เครื่องแต่งกายบนตัวพวกเขาเทียบกับคนท้องที่แล้วประณีตละเอียดอ่อนมากกว่า ส่วนใหญ่ใส่ของตกแต่งประเภทเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อย มองดูก็แยกแยะออกว่าเป็นคนจงหยวน
รอจนคนรับใช้ที่ตกใจเช่นกันพยายามจูงม้ามาให้
เป็นม้าแกร่งตัวหนึ่งที่กำลังดิ้นรนเพราะความตกใจ ลู่เซิ่งตบคอของมันเพื่อให้สงบ กำลังจะพลิกตัวขึ้นไป ก็เห็นในกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ที่ผ่านบนถนนถึงกับมีใบหน้าคนคุ้นเคยสองคน
ตวนมู่หว่านกับผู้คุ้มกันชายที่อยู่ข้างกายนาง เป็นเงาที่อยู่ไม่ห่างนางมาโดยตลอด หนึ่งคนหนึ่งม้ากำลังควบไปยังทิศของเพลิงที่กำลังโหม
ตวนผู้หว่านใส่อาภรณ์โปร่งสีดำ สวมหมวกสานด้วยไม้ไผ่ ยังคงเห็นร่างอรชรของนางได้เล็กน้อยผ่านผ้าโปร่งนั้น
ตอนนางผ่านคฤหาสน์ลู่ ก็มองเห็นลู่เซิ่งเช่นกัน พลันร้องเอ๊ะขึ้นมา
“ท่านยังไม่ตายหรือ”
นางพลันกล่าวประโยคเช่นนี้ออกมา ม้าค่อยๆ ลดความเร็วลง มองลู่เซิ่งเหมือนกับเห็นตัวประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
“คุณหนูตวนมู่วาจานี้หมายความว่าอย่างไร”
ลู่เซิ่งตาคิ้วเคร่งขรึม ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร
“น่าสนใจ” ตวนมู่หว่านหัวเราะ “ดูเหมือนพวกเรามีวาสนาต่อกันจริงๆ ภายหลังข้าจะมาหาท่านอีก”
ลู่เซิ่งยังคิดจะถามอีก กลับเห็นตวนมู่หว่านเร่งม้าพาผู้คุ้มกันชายคนนั้น เร่งความเร็วมุ่งไปยังทิศทางของเพลิงไหม้
ก่อนจากไป บุรุษผู้นั้นก็มองลู่เซิ่งอย่างประหลาดใจแวบหนึ่งเช่นกัน
สายตานั้นเหมือนกับว่า…
เหมือนกับว่าเห็นคนที่เดิมทีสมควรตายคนหนึ่ง แต่กลับยังมีชีวิตอยู่
ลู่เซิ่งขึ้นม้า คิดจะติดตามไป
แต่ทันใดนั้นพลันมีเสียงหนึ่งมาเรียกเขาไว้ เป็นเหยียนไคเอง
“คุณชายเซิ่ง ยังคงอย่าได้ไปร่วมความคึกครื้นดีกว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน”
เหยียนไคกับต้วนหรงหรง ยังมีจวนเฟิงร่วมทาง ต่างก็คิดจะรุดไปทางทิศที่มีไฟไหม้
ยามนี้เห็นลู่เซิ่งคิดจะตามไปด้วย เหยียนไคไม่อาจไม่ส่งเสียงเตือนไปหนึ่งประโยค
“เต้าจ่างวาจานี้มีความหมายใด”
ลู่เซิ่งเอ่ยถามกลับเสียงขรึม
“ไฟไหม้นี้ เป็นหัวหน้าผีล่อลวงกระทำขึ้น มิหนำซ้ำยังตั้งใจกระทำ ความแค้นด้านนั้นพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า คนทั่วไปขอแค่เข้าใกล้จะเสียสติ มีอันตรายถึงชีวิต!” เหยียนไคกล่าวอย่างจริงจัง “ต่อให้คุณชายเซิ่งวรยุทธ์เหนือคน ก็ไม่มีผลลัพธ์ที่สอง”
“แต่ก่อนหน้านี้ข้าเห็นคนไม่น้อยไป…” ลู่เซิ่งสงสัย
“คนเหล่านั้นรนหาที่ตายเอง ผู้ใดก็ช่วยไม่ได้ นอกจากนี้คล้ายมีคนตั้งใจเรียกพวกเขาไปด้วย” เหยียนไคกล่าวราบเรียบ
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ
ได้แต่มองดูเรื่องใหญ่เกิดขึ้นใกล้บ้านตัวเอง ตัวเองกลับไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้จิตใจของเขาย่ำแย่ยิ่ง
นึกถึงว่าเหยียนไคเตือนเขาด้วยเจตนาดี เขาก็ประสานมือคำนับอีกฝ่าย
“ขอบคุณเต้าจ่างที่กล่าวเตือน”
เหยียนไคพยักหน้าให้เขา เตรียมที่จะพาต้วนหรงหรงและจวนเฟิงไปยังทิศทางที่ไฟไหม้
ลู่เซิ่งเห็นดังนั้นก็พลันเข้าใจทันทีว่า ต้วนหรงหรงกับจวนเฟิงอาจมีคุณสมบัติพิเศษ ไม่ใช่คนธรรมดา
หรือว่าพวกเขาเดิมทีมีเป้าหมายอื่นอยู่แล้ว จึงเดินทางมายังเมืองเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ทะเลน้ำแข็งแดนเหนืออย่างเมืองเก้าประสาน
พอคิดถึงตรงนี้ เขาพลิกตัวลงจากหลังม้า พูดกับเหยียนไค
“เต้าจ่าง แม่นางจวนเฟิง มิสู้ให้ข้าน้อยจัดม้าให้ จะไปได้เร็วกว่า!”
เหยียนไคงงงัน ตอบสนองฉับพลัน นี่เป็นลู่เซิ่งกำลังแสดงน้ำใจแก่เขา
เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นที่นี่ การประหยัดพลังสำคัญยิ่งกว่า
เขาจึงรีบพยักหน้าตกลง
“เช่นนั้นก็ขอรบกวนแล้ว!”
ลู่เซิ่งจะให้คนไปจูงม้ามา แต่ได้สติอย่างรวดเร็ว
“ไม่ ไม่ต้องไปจูงมาแล้ว คอกม้าอยู่ด้านข้าง ส่งคนมา! พาพวกเต้าจ่างไปเลือกม้าที่คอก ม้าตัวไหนก็ได้!”
ลู่เซิ่งกล่าวเสียงดัง
“คุณชายเซิ่งมีน้ำใจ!”
เหยียนไคประสานมือ ติดตามผู้คุ้มกัน เร่งไปยังคอกม้า
ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่ประตูคฤหาสน์ลู่คนเดียว ด้านข้างมีผู้คุ้มกันที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวหลายคน
เขามองไปที่ทิศทางไฟไหม้แต่ไกล เงียบเสียงไปชั่วขณะหนึ่ง
เพลิงไหม้ที่ลุกโหม ไม่ทราบดำเนินอยู่นานเท่าไหร่ พลันค่อยๆ สลัวดับลง
ลู่เซิ่งก็ยืนอยู่ที่ประตูคฤหาสน์นานเช่นกัน
เปรี้ยง!
สายฟ้าสีน้ำเงินสายหนึ่งวาดผ่านท้องฟ้า
ท้องฟ้า เมฆดำกระจายแน่น แยกแยะไม่ออกว่าเป็นควันหนาที่เพิ่งลอยขึ้นไปหรือว่าเป็นเมฆดำ
ไม่ทันไร ฝนก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง
ลู่เฉวียนอันเดินออกมา ยืนอยู่ข้างกายลู่เซิ่ง มีข้ารับใช้กางร่มกันฝนให้ทั้งสองคนโดยเฉพาะ
หยดน้ำฝนกระทบพื้นดังซ่าๆ กระเด็นขึ้นมาเป็นหมอกน้ำขาวขมุกขมัวชั้นหนึ่ง
สีท้องฟ้าเริ่มสลัว ฟ้าสางแล้ว เวลาหนึ่งคืนผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเช่นนี้
ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่ประตูใหญ่ ใจคล้ายมีความคิดใด
เขาสังหรณ์ใจว่า การระเบิดและเพลิงที่ไหม้โหมเมื่อคืนวาน มีเรื่องสำคัญยิ่งอันใดบังเกิดแล้ว
เกิดขึ้นที่ประตูบ้านของเขา
น่าเสียดายเขาพลังต่ำต้อย แม้แต่เข้าใกล้ยังไม่กล้า
เขามองออกว่าเหยียนไคไม่ได้หลอกเขา เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคนธรรมดาไม่อาจเข้าใกล้ได้จริงๆ
‘ตอนนี้ไฟสมควรดับแล้ว เราได้ข้อมูลมาว่า เป็นดอกไม้ไฟที่กองรวมอยู่ไม่น้อยในร้านขายดอกไม้ไฟทางตะวันตกของเมือง ระเบิดขึ้น ไฟจึงลุกลาม มีคนตายไปไม่น้อย…’
ลู่เฉวียนอันถอนหายใจกล่าว
“ร้านดอกไม้ไฟ…” ลู่เซิ่งทวนรอบหนึ่ง มองไปยังเมืองด้านทิศตะวันตก
ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ขอบฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินมีสีขาวแทรกแซม
ลู่เซิ่งกระชับดาบที่หว่างเอว เดินไปยังทิศทางไฟไหม้
“ท่านพ่อข้าจะไปดูทางด้านนั้น”
“ระวังตัวด้วย” ลู่เฉวียนอันไม่ทราบว่าไฟไหม้มีเลศนัย เพียงคิดว่าช่วงนี้เมืองเก้าประสานวุ่นวาย รีบกล่าวกำชับ
“ทราบแล้ว!”
ลู่เซิ่งออกจากคฤหาสน์ มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกของเมือง
แรกเริ่มยังมองไม่เห็นอะไร แต่พอยิ่งเข้าใกล้จุดที่ไฟไหม้
บ้านเรือนถนนส่วนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏสีดำเทา มีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยกอดของอย่างห่อผ้าสัมภาระบนถนนใหญ่ ไร้บ้านให้กลับ
เสียงร้องไห้ เสียงคนตะโกน เสียงอึกทึกครึกโครม วุ่นวายไปทั่ว
ลู่เซิ่งเดินไปอีกระยะหนึ่ง
คนเริ่มยิ่งมายิ่งน้อย บ้านเรือนสองข้างทางกลายเป็นตอตะโกโดยสมบูรณ์ บ้านบางหลังถูกเผาถล่มลงมา บนหลังคามีรูขนาดใหญ่มากจำนวนมาก
บนพื้นก็เห็นร่างที่ถูกเผาเป็นตอตะโกส่วนหนึ่งตลอดเวลา คนตายเช่นนี้มีอยู่ทุกที่
ยิ่งเข้าใกล้ ลู่เซิ่งยิ่งตื่นตะลึง
ซากศพเหล่านี้มีจำนวนมากเกินไปแล้ว ไม่ทราบว่าเมื่อคืนมีคนเท่าไหร่ตายในการระเบิดและเพลิงไหม้รอบนี้
ไม่ทันไร ลู่เซิ่งก็เห็นสถานที่อันเป็นใจกลางของเพลิงผลาญและระเบิด
ไม่ใช่ร้านดอกไม้ไฟอันใด หากเป็นจวนอีกแห่งหนึ่งของข้าหลวงซ่งตวนฉื่อ จวนไข่มุก
จวนไข่มุกถล่มจนไม่เหลือสภาพ รอบบริเวณมีซากปรักหักพัง กองใหญ่กองเล็กโผล่ออกมาเรื่อยๆ เหมือนกับเนินหลุมฝังศพที่ใหญ่เล็กไม่เท่ากันหลายเนิน
ลู่เซิ่งยังเห็นว่าไม่ใช่แค่เขาที่มา มีคนในยุทธภพไม่น้อยที่พกอาวุธเช่นดาบกระบี่ เดินอยู่รอบๆ คล้ายกำลังค้นหาอะไร
คนในยุทธภพเหล่านี้ต่างก็รักษาระยะห่างจากกันและกัน ในแววตามีความระแวดระวัง บนร่างจะมากจะน้อยล้วนมีสภาวะส่วนหนึ่ง เห็นได้ว่าต่างไม่ใช่คนฝึกยุทธ์ในเมืองเก้าประสานเหล่านั้น
เขายังเห็นว่าคนในยุทธภพเหล่านี้พลิกหาของสักอย่างจากในเศษซาก แล้วเก็บเข้าไปในอกเสื้อตลอดเวลา
………………………………………….