ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 323 สงสัย (1)
บทที่ 323 สงสัย (1)
ยามบ่ายมาถึงอย่างรวดเร็ว
ศิษย์อายุน้อยสวมอาภรณ์สีเหลืองบ๊วยคนหนึ่งมาเคาะประตูห้องของคนทั้งสาม ทั้งยังเคาะประตูห้องของคนอื่นๆ ไปด้วย
ในตอนที่เก็บข้าวของ ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่ารอบๆ ห้องที่พักอยู่ มีผู้ได้รับการแนะนำจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
เขาเก็บกวาดสิ่งของสักพักหนึ่ง แล้วออกมาจากห้อง
“ผ่อนคลายไว้ ถือเป็นการทดสอบธรรมดาก็พอ” อวิ๋นซิ่วเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่ตัวเองกลับกำหมัดแน่น
หวังอวิ่นหลงยิ้มอย่างเฉื่อยชา เขาเปลี่ยนไปสวมชุดเข้ารูปสีฟ้าซึ่งเผยให้เห็นเส้นสายกล้ามเนื้อที่กำยำล่ำสัน
ทั้งสามคนติดตามคนอีกสิบกว่าคนออกจากห้อง จากนั้นก็มาถึงบนลานด้านหลัง หรือก็คือที่ว่างกลางหอคอยบริเวณนั้น
“กลุ่มถัดไป” โต๊ะหลายตัววางรวมกันบนที่ว่าง ศิษย์อาภรณ์สีเหลืองที่มีสีหน้าหงุดหงิดหลายคน นั่งเคาะที่พักแขนอย่างไม่รู้ตัวอยู่หลังโต๊ะ
จะโทษที่พวกเขาหงุดหงิดก็ไม่ได้ ผู้ได้รับการแนะนำที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นตัวเลือกที่ได้รับการคัดเลือกแยกเดี่ยวมาจากอำเภอล้าหลังที่ไม่มีผลงานมาหลายปีแล้ว
อำเภอที่มีศักยภาพดีหน่อยล้วนถูกเรียกไปทำการทดสอบอีกแห่ง ส่วนด้านนี้ถ้าไม่ใช่คนที่ไม่ได้รับการคัดเลือกซึ่งล้มเหลวมาแล้วหลายครั้ง ก็เป็นผู้ได้รับการแนะนำธรรมดาที่ศักยภาพต่ำต้อยจนน่ากลัว
ศิษย์หลายคนที่ถูกเลือกมาเป็นเจ้าหน้าที่ทดสอบ ล้วนมีสีหน้าหงุดหงิด แต่ก็ไม่อาจไม่ปลุกปลอบจิตใจทำการทดสอบต่อไป
พวกลู่เซิ่งกับคนอื่นๆ รวมเป็นทั้งหมดสิบแปดคนยืนอยู่บนที่ว่าง พวกเขาทุกคนถูกขอให้เปลี่ยนไปใส่เครื่องแบบสีเทาของสำนักที่จัดเตรียมไว้ก่อนแล้วในชั้นที่หนึ่งของหอคอยสูงที่อยู่ด้านข้าง สิ่งของทั้งหมดบนตัวถูกปลดออกโดยมีเจ้าหน้าที่ดูแลรับผิดชอบชั่วคราว
ลู่เซิ่งอยู่ในตำแหน่งอันดับเก้า ด้านหน้าเป็นผู้ได้รับการแนะนำจากที่อื่น หวังอวิ่นหลงอยู่ด้านหน้าเขา
“ไม่ต้องเครียด แสดงผลงานให้ดี พวกเจ้าต้องทำได้แน่” อวิ๋นซิ่วเฟยกล่าวให้กำลังใจอยู่ด้านหลัง
“หึ” บุรุษหนุ่มที่อ้วนเล็กน้อยซึ่งอยู่ใกล้ๆ อดส่งเสียงหัวเราะไม่ได้ “พวกท่านอย่าได้คุยโวแล้ว ท่านคืออวิ๋นซิ่วเฟยกระมัง เห็นท่านมาตั้งหลายครั้งแล้ว ถ้ามีความสามารถจริงๆ คงถูกแยกไปอยู่ในกลุ่มมีศักยภาพตั้งแต่แรก ไหนเลยมาอยู่กับพวกเรา”
“นั่นไม่เหมือนกัน ครั้งนี้พวกเราต้องทำสำเร็จแน่ ข้าเชื่อมั่นในตัวพวกเขา” อวิ๋นซิ่วเฟยกล่าวอย่างจริงจัง
“ครั้งก่อนท่านก็พูดแบบนี้” คนร่างอ้วนส่ายหน้าพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่จะว่าไปท่านกลับใจสู้ไม่ย่อท้อเหมือนเจ้าหัวเห็ดจากกลุ่มสามคนนั้น เจ้าผู้นั้นมาทุกปี ทุกครั้งล้วนถูกคัดทิ้งในรอบแรก ทว่ายังยืนหยัดไม่ยอมลดละ”
“เจ้าหัวเห็ดหรือ ท่านหมายถึงจ้าวเฉิงนั่นใช่หรือไม่” อวิ๋นซิ่วเฟยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะนึกถึงคนที่อีกฝ่ายพูดถึงได้อย่างรวดเร็ว
“ถูกต้องแล้ว” คนร่างอ้วนพยักหน้า “ตระกูลสายรองของเขาถูกกำจัดทิ้งไปแล้ว เหลือแค่เขากับพี่สาวที่พึ่งพิงกันดุจชีวิต ถ้าไม่ใช่พี่สาวเขาใจสู้ เลื่อนสู่ตำแหน่งศิษย์จริงแท้ของสำนักได้ในเวลารวดเดียว ตอนนี้เขาไหนเลยยังมีคุณสมบัติมารับการทดสอบเข้าสำนักปีแล้วปีเล่า คงถูกคนถอนสิทธิ์สายรองไปนานแล้ว”
“ข้าเคยยินมาว่าพี่สาวเขาคือจ้าวถิงกระมัง กระบี่วิญญาณโผทะยานใช่หรือไม่” อวิ๋นซิ่วเฟยย้อนถาม
“เป็นนางเอง เป็นศิษย์พี่ที่มุมานะมากคนหนึ่ง คงทำเพื่อน้องชายและเพื่อแก้แค้นกระมัง นางกลายเป็นศิษย์ภายในอย่างยากลำบาก ทั้งยังมุมานะจนกลายเป็นศิษย์จริงแท้ เกือบเอาชีวิตไม่รอดตั้งหลายครั้ง มีคนจำนวนมากนับถือนาง แม้พลังจะอยู่ในระดับต่ำสุดท่ามกลางศิษย์จริงแท้ แต่สามารถกลายเป็นศิษย์จริงแท้ได้ด้วยคุณสมบัติแบบนั้นก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว” คนร่างอ้วนพึมพำ
ลู่เซิ่งกับหวังอวิ๋นหลงที่อยู่ใกล้ๆ ล้วนได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสอง
หวังอวิ่นหลงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนกับไม่สนใจ ลู่เซิ่งกลับนึกเอะใจ จ้าวเฉิงผู้นี้ ดูจากชาติกำเนิดแล้ว เหตุใดยิ่งฟังยิ่งเหมือนชาติกำเนิดของตัวเอกในนิยายบนโลกใบเก่านัก
เพียงแต่ว่าจ้าวเฉิงผู้นี้เหมือนไม่มีความพิเศษใด ตัวเอกทั่วไปเปลือกนอกเป็นสวะ แต่ความจริงมีศักยภาพล้ำเลิศ ทว่าจ้าวเฉิงคนนี้คงจะไม่มีโชคแบบนั้นแล้ว
“คนต่อไป เฉิงหลิง” ไม่นานในกลุ่มคนก็เหลือคนแค่สี่ห้าคน
เด็กสาวผมสั้นใบหน้าซึมกะทือ ใส่ต่างหูไข่มุกสีขาวหยกไว้ที่หูข้างหนึ่ง ถือกระบี่เดินไปยังที่ว่าง
แม้เด็กสาวผู้นี้จะไว้ผมสั้น แต่เค้าหน้างดงาม ผมหน้าม้าปิดลงเฉียงๆ จนเกือบบังตาซ้าย ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตกว่าคนทั่วไป ทั้งแวววาวทั้งฉายความจริงจังและทรหด
พอเด็กสาวคนนี้เดินไปยังตัวลาน เงาร่างที่แช่มช้อยและบอบบางก็ดึงดูดสายตาของบุรุษเพศที่อยู่รอบๆ ทันที
“เฉิงหลิง นางนี่เอง เข้าร่วมการทดสอบมาสี่ปีแล้ว มุ่งมั่นจริงๆ” คนร่างอ้วนด้านหลังอวิ๋นซิ่วเฟยพูดพลางส่ายหน้า
“นางเป็นอย่างไร” อวิ๋นซิ่วเฟยเป็น ‘ผู้ช่ำชอง’ ที่เข้าร่วมมาแล้วหลายครั้งเช่นกัน แม้ก่อนหน้านี้จะเคยเห็นเด็กสาวผู้นี้มาก่อน แต่ก็ไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุเท่าไหร่
“ทุกๆ ครั้งนางล้วนขาดไปเล็กน้อย แตกต่างกับพวกเรา เพียงขาดไปเล็กน้อยจริงๆ ตอนแรกทุกคนนึกว่าหลังจากกลับไป นางจะชดเชยข้อบกพร่องเล็กๆ นี้ได้อย่างรวดเร็ว แต่นึกไม่ถึงผ่านไปสี่ปีแล้ว นางยังคงขาดไปเล็กน้อยเหมือนเดิม” คนร่างอ้วนกล่าวอย่างหมดคำพูด
“ตระกูลนางทำมาหากินอะไร” หวังอวิ่นหลงกลับถามอย่างเหนือความคาดหมาย
“บิดานางเป็นประมุขพรรคสายรอง ตระกูลมีเงินและอำนาจ ยังมีพี่ชายแท้ๆ คนหนึ่ง แต่กลายเป็นคนพิการเพราะอุบัติเหตุ ตอนนี้ผู้รับสืบทอดความหวังเพียงหนึ่งเดียวของทั้งตระกูลก็คือนาง ดังนั้นนางจึงกดดันมาก” คนร่างอ้วนเหมือนรู้ทุกเรื่อง
“บิดานางให้กำเนิดบุตรอีกไม่ได้แล้วหรือ” อวิ๋นซิวเฟยกล่าวอย่างหมดคำพูด
“ถ้าทำได้ก็ดีสิ” คนร่างอ้วนเบะปาก
ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่าสายตาที่หวังอวิ่นหลงใช้มองเฉิงหลิงแปลกพิกลเล็กน้อย ไม่ใช่สายตาที่มองเด็กสาวหน้าตาดี และ ไม่ให้ความรู้สึกอย่างความสงสารหรือเสียดาย หากเป็นอีกแบบ เป็นสายตาที่ผสมปนเปด้วยความเรียบเฉย ศึกษา และพิจารณา
สายตาแบบนี้ปรากฏแวบเดียวก็หายไป ถ้าไม่ใช่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาสัมผัสได้อย่างว่องไวถึงขีดสุด คงจะไม่พบแล้ว
เฉิงหลิงทดสอบพละกำลังเป็นอย่างแรก
นางถือกระบี่ด้วยสองมือแล้วออกแรงฟันใส่ก้อนหินที่ปกคลุมด้วยวุ้นอำพันสีเหลืองอ่อน
เปรี้ยง
ผิววุ้นค่อยๆ ปรากฏร่องรอยเล็กๆ มันคงอยู่สองสามอึดใจก่อนจะกลับเป็นอย่างเดิม
“สามอึดใจ” ผู้บันทึกกล่าวตัวเลขอย่างขอไปที
จากนั้นก็เป็นความเร็ว
ต้องแบกรับน้ำหนักสามร้อยชั่งไว้ จากนั้นก็ใช้ความเร็วสูงสุดข้ามระยะห่างระหว่างสองหอคอย โดยเวลาห้ามเกินสิบอึดใจ
เฉิงหลิงสวมชุดแบกน้ำหนักที่ทำขึ้นพิเศษ นางกัดฟันพลางยืดเหยียดเท้าทั้งสองข้าง แล้วก้มตัวลงทำท่าเตรียมจะพุ่งตะบึงทุกเวลาที่เส้นเริ่มต้น
“เตรียมตัว วิ่ง!” ศิษย์พี่ผู้ทำการทดสอบที่ยืนอยู่ข้างนางตะโกนเสียงดัง
เฉิงหลิงออกตัววิ่ง แต่ความเร็วของนางทำให้คนไม่กล้าชมเชย เนื่องจากไม่ต่างจากคนธรรมดามากนัก ถ้าเป็นในสายตาคนทั่วไปคงนับว่าเร็ว แต่สำหรับผู้ได้รับการแนะนำแล้วยังขาดไปบางส่วน
หลังทดสอบความเร็วไม่ผ่าน เฉิงหลิงก็หน้าซีดเล็กน้อย สุดท้ายเป็นการทดสอบคุณสมบัติ คุณสมบัติที่นางทดสอบได้ไม่นับว่าดีมาก เพิ่มคะแนนได้ไม่เยอะ ไม่พอจะชดเชยคะแนนที่เสียไปในด้านความเร็ว
ดังนั้นผลลัพธ์สุดท้ายยังคงไม่ผ่าน
หลังการทดสอบจบลง นางก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ สองตาไร้ประกาย ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ไม่นานก็ถึงรอบหวังอวิ่นหลง เขาเดินเข้าไป จากนั้นก็กระซิบอะไรบางอย่างตอนเดินผ่านข้างกายเฉิงหลิง เฉินหลิงพลันร่างสะท้านและเงยหน้ามองเขาอย่างตกตะลึง
หลังจากหวังอวิ่นหลงพูดจบ ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เข้าไปเริ่มการทดสอบ
อันดับแรกเป็นพละกำลัง เขามาถึงด้านหน้าหินวุ้นอำพันก้อนนั้น แล้วรับกระบี่ที่แข็งแรงทนทานมาเล่มหนึ่ง
ศิษย์พี่ผู้ทำการทดสอบเดินมาถึงข้างตัวเขา “เริ่มได้แล้ว”
หวังอวิ่นหลงยิ้มบาง ชักกระบี่ออกมามองคมกระบี่ ก่อนจะฟันไปด้านหน้าอย่างสบายๆ
ฉัวะ
คมกระบี่พลันวาดประกายสีขาว
บนหินอำพันมีรอยกระบี่ชัดเจนปรากฏขึ้นในพริบตา ลึกถึงหนึ่งนิ้ว
ศิษย์พี่ผู้ทำการทดสอบงุนงง พิจารณาดูหินแล้วมองดูหวังอวิ่นหลงอีกรอบ
“ไม่เลวๆ พละกำลังระดับหนึ่ง!” สีหน้าเขาอ่อนโยนขึ้นมาก ระดับหนึ่งคือผลการทดสอบที่ดีที่สุดที่เป็นรองเพียงสามขั้นระดับหยก นอกจากอัจฉริยะทั้งหลายแล้ว ระดับหนึ่งเป็นระดับผลงานที่ดีที่สุดของผู้ได้รับการแนะนำ
หวังอวิ่นหลงคำนับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินไปด้านหน้าลานทดสอบความเร็ว รับเสื้อแบกน้ำหนักมาสวมใส่อย่างตั้งใจ จากนั้นก็เตรียมตัวตามท่ามาตรฐาน
ผลงานพละกำลังระดับหนึ่งของเขาดึงดูดความสนใจของคนไม่น้อย การทดสอบความเร็วในครั้งนี้จึงมีสายตาของคนอื่นๆ เพ่งมองมา
“ข้าบอกแล้วว่าเขาทำได้” อวิ๋นซิ่วเฟยกล่าวอย่างภาคภูมิใจเหมือนว่าตัวเองผ่านการทดสอบอย่างไรอย่างนั้น
“ดูความเร็วก่อนค่อยว่ากัน” คนร่างอ้วนส่ายหน้า “น่าเสียดายที่ไม่ถึงระดับหยก ไม่อย่างนั้นคงได้รับการอนุมัติเข้าร่วมสำนักโดยไม่สนใจผลงานอื่นๆ ไปแล้ว”
ลู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไร แต่กวาดตามองเฉิงหลิง เด็กสาวคนนี้ตาค้างขณะจับจ้องหวังอวิ่นหลง คล้ายกับเกิดความคาดหวังรอคอย
“วิ่ง!”
เมื่อเสียงคำสั่งดังขึ้น เงาร่างของหวังอวิ่นหลงที่สวมชุดแบกน้ำหนักก็เหมือนม้าหลุดจากบังเหียน พุ่งไปหาหอคอยอีกแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ความเร็วของเขาแทบจะอยู่นอกเหนือความคาดหมายของผู้ทดสอบ แค่ห้าอึดใจก็ไปถึงใต้หอคอยอีกแห่งหนึ่งแล้ว หนำซ้ำยังมีท่าทีสบายๆ เหมือนเคลื่อนคมเหลือที่ว่าง
“ระดับหนึ่ง!” ผู้ทดสอบตะโกนเสียงดัง “ความเร็วระดับหนึ่ง!” เขาตื่นเต้นเช่นกัน ทดสอบสวะมาตั้งนาน ในที่สุดก็ได้เจออัจฉริยะที่น่าคาดหวังแล้ว
นี่เหมือนกับเห็นโฉมสะคราญงามเจ็ดแปดส่วนคนหนึ่งโผล่มาท่ามกลางสตรีอัปลักษณ์กลุ่มหนึ่งอย่างกะทันหัน ความรู้สึกนั้นช่างน่าตกตะลึงพรึงเพริดจริงๆ
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือการทดสอบคุณสมบัติอันเป็นหัวข้อที่สามได้เพียงระดับสอง ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นระดับหนึ่งทั้งหมดก็เทียบเท่ากับระดับหยกขั้นต่ำสุดแล้ว ระดับหยกเป็นอัจฉริยะที่สามารถเข้าเป็นศิษย์ภายในได้โดยตรง
หลังจากหวังอวิ่นหลงลงมา ตอนที่เดินผ่านเฉิงหลิงก็กระซิบอะไรบางอย่าง เฉิงหลิงอึ้งงันจากนั้นก็พยักหน้าทันที
ต่อจากนั้นก็ถึงรอบลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งมองหวังอวิ่นหลงแวบหนึ่งตอนเดินเข้าไป เขารู้สึกว่าคนผู้นี้มีความผิดปกติบางอย่าง ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ถูก ทว่าเขาไม่รู้จักใบหน้านั้น กลิ่นอายที่พิเศษนั้นก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเช่นกัน
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าหินสีอำพันคร้านจะคิดมากความ เป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือการสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคน แสดงคุณสมบัติสะท้านโลกของตัวเองออกมาเพื่อให้ได้รับความสำคัญจากคนที่มีตำแหน่งสูงกว่านี้ รวมถึงข้อมูลทรัพยากรที่มากพอ จะได้เดินบนเส้นทางปราณจริงแท้ไปถึงจุดสูงสุดเร็วๆ
“เริ่มการทดสอบพละกำลัง” ผู้ทดสอบกล่าวเสียงดัง
ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วรับกระบี่ยาวมา
พลังที่เขาแสดงออกมาก่อนหน้านี้คือระดับพันธนาการ นี่เป็นขีดจำกัดที่คุณสมบัติแสดงออกมาได้แล้ว หากสูงกว่านี้จะผิดปกติ ถ้าเป็นความเร็วก็ใช้แค่ระดับพันธนาการก็แล้วกัน ประมาณเอกะลักษณ์ก็เหลือแหล่แล้ว
“เป็นอะไร ติดขัดตรงไหนหรือ” ผู้ทดสอบที่อยู่ด้านข้างเห็นเขาไม่เคลื่อนไหวก็ถามอย่างสงสัย
……………………………………….