ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 327 เปิดเผยความลับ (1)
บทที่ 327 เปิดเผยความลับ (1)
ท้องฟ้าสีเหลืองมัวซัวซึ่งมีสายฟ้าสีเหลืองหลายสายสาดวาบอยู่ตลอดเวลา แต่เงียบงันไร้เสียง ทั้งหนักอึ้งและกดดัน
ลู่เซิ่งถือดาบเดินบนลานกว้างที่ทรุดโทรมผุพังไปด้านหน้าทีละก้าวๆ
ลานกว้างเป็นทรงกลมและมีรูปสลักสีขาวอยู่ตรงกลาง รูปสลักคือหญิงชราที่แขนด้วนไปสองข้าง หนีบไม้เท้าเอาไว้ใต้รักแร้ ศีรษะเชิดขึ้น สวมผ้าคลุมทำจากหนังที่เต็มไปด้วยรอยยับ
สิ่งอื่นๆ บนลานกว้างล้วนเป็นสีเทา มีแต่ไพลินขนาดเท่าเล็บก้อนหนึ่งที่ฝังอยู่ตรงหน้าอกรูปสลักที่กำลังส่องแสงสีฟ้า
ตลอดทางที่เดินมาถึงที่นี่หลังทำลายกำแพง ลู่เซิ่งไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ จุดพิเศษเพียงหนึ่งเดียวที่เห็นก็คือรูปแกะสลักรูปนี้
ฟิ้ว…
สายลมเย็นยะเยือกกว่าเดิม พัดกระพือบนลานกว้างที่ว่างเปล่าเป็นระยะ ทั้งยังพัดเสื้อผ้าของเขาให้ปลิวไปด้านหลัง เกล็ดน้ำแข็งสีขาวอ่อนปรากฏอย่างเลือนรางในบางจุดของพื้น
ลู่เซิ่งสัมผัสอะไรไม่ได้เลย เขากวาดตา แลซ้ายแลขวา รอบๆ เป็นอาคารร้างที่ไร้ขอบเขต บางจุดเป็นซากกำแพงถล่ม มองไปทางไหนก็มีแต่สีเทา
มีแต่รูปแกะสลักเท่านั้นที่ส่องแสงสีฟ้าเล็กน้อย
‘ที่นี่…ดูเหมือนจะเป็นโลกด้านนอกจริงๆ หรือ’ เขามาโลกด้านนอกเป็นครั้งแรก ต้าซ่งติดต่อกับระดับชั้นนี้ไม่ได้ มีแค่สำนักไตรอริยะ ที่มีทักษะความสามารถด้านนี้ แต่ขุมกำลังอื่นๆ ไม่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้
โลกด้านนอก โลกส่วนนอก โลกเขตนอก โลกนอกนภา มีคำเรียกต่างๆ มากมาย แต่ทุกคำเรียกล้วนระบุถึงสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือพื้นที่ภายนอกที่อยู่ห่างจากโลกเดิม
ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าวัดตราทมิฬอะไรนี่เป็นโลกแบบไหน แต่ดูจากลักษณะของสิ่งก่อสร้างรอบๆ และสภาพแวดล้อมแล้ว พอจะเดาออกว่าที่นี่ตั้งอยู่บนสภาพแวดล้อมอันตรายในรูปแบบซากปรักหักพังและความรกร้าง
เขาเดินไปหาไพลินบนรูปแกะสลัก จากนั้นก็ยื่นมือออกไปลูบ
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นไพลินยิงแสงสีฟ้าแยงตาและสว่างไสวออกมา พื้นเกิดการสั่นสะเทือน
ควันดำเข้มข้นนับไม่ถ้วนลอยออกมาจากในจมูกและปากของรูปแกะสลัก ควันสีดำจำนวนมากตกลงบนพื้นแล้วจับตัวกันเป็นสัตว์ประหลาดสีดำสนิทที่มีหัวเป็นหมาป่ามีร่างเป็นมนุษย์หลายตัว
โฮก!
สัตว์ประหลาดที่เตี้ยที่สุดสูงสามหมี่ ที่สูงที่สุดสูงถึงสี่หมี่กว่าๆ ยามพวกมันยืนอยู่ในลานกว้างเหมือนกับภูเขาลูกย่อมๆ หลายลูก
ทั่วทั้งตัวของพวกมันเต็มไปด้วยขนเส้นยาวสีดำ ถือดาบยาวและโล่สีดำ ตรงกลางโล่มีอักขระที่ซับซ้อนบิดเบี้ยวสีฟ้าติดอยู่
“เอ้าจี่หลี่ลา!” มนุษย์หัวหมาป่าตนหนึ่งตะโกนแล้วพุ่งเข้าไปฟันดาบใส่ลู่เซิ่งอย่างฉับพลัน
ฟ้าว!
มันไม่เร็วมากนัก แต่เสียงแหวกลมที่เกิดจากพละกำลังกลับรุนแรงยิ่ง แสดงให้เห็นชัดว่ามีน้ำหนักมหาศาล ดาบฟันฟืนยักษ์ขนาดสามหมี่กว่าๆ ถึงขั้นสามารถผ่าลู่เซิ่งออกเป็นสองส่วนได้
“พละกำลังไม่เลว แต่ช้าเกินไป” ลู่เซิ่งเอียงตัวแทงฝ่ามือไปด้านหน้าเบาๆ
เสียงสวบดังขึ้นเมื่อฝ่ามือของเขาแทงเข้าไปในหว่างคิ้วของมนุษย์หัวหมาป่าอย่างแม่นยำ
เปรี้ยง มนุษย์หัวหมาป่าระเบิดอย่างฉับพลัน ก่อนจะกลายเป็นควันดำสลายไป
มนุษย์หัวหมาป่าที่เหลือพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่นานก็ถูกลู่เซิ่งแทงศีรษะอย่างง่ายดายเพียงยกฝ่ามือ ก่อนจะตายแล้วสลายไป
‘พละกำลังระดับพันธนาการ ความเร็วระดับคนธรรมดา คุณสมบัติร่างกายแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปนิดหน่อย’ ลู่เซิ่งประเมินมนุษย์หัวหมาป่าชนิดนี้คร่าวๆ
หลังจากฆ่ามนุษย์หัวหมาป่าเสร็จ เขาก็มองไปยังไพลินอีกครั้ง ขอบไพลินมีรอยแตกร้าวเพิ่มมา แต่ยังคงเปล่งแสงสีฟ้า ทว่าแสงริบหรี่ลงกว่าตอนแรกมาก
ลู่เซิ่งสัมผัสสิ่งนี้อย่างละเอียด และรู้สึกได้ถึงพลังงานที่แตกต่างจากปราณมาร ปราณภายใน และปราณจริงแท้ แต่ว่าพลังงานชนิดนี้เข้ากับเขาไม่ได้ มันเป็นปฏิปักษ์กับปราณจริงแท้ในระดับสูงสุด
เขาชักมือกลับมาจากอัญมณี ตัดใจไม่ควักมันออกมา เพราะสังหรณ์ว่าถ้าหากควักเอามันออกมาอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบยุ่งยากเช่นการระเบิด
‘สถานที่แห่งนี้…น่าสนใจหน่อยๆ’ ลู่เซิ่งสนใจในพลังงานชนิดนี้อยู่บ้าง น่าเสียดายที่มีเวลาจำกัด ไม่อย่างนั้นเขาคิดจะศึกษาที่นี่ให้ละเอียดเสียหน่อย
กร๊อบ
อยู่ๆ บนขอบลานกว้างไกลออกไปก็มีเสียงกิ่งไม้หักดังมา
ลู่เซิ่งหันไปมอง เงาคนร่างผอมแห้งถลันเข้ามาด้านหลังสิ่งก่อสร้างหลังหนึ่งตรงชายขอบ
อาคารสิ่งก่อสร้างรอบๆ ลานกว้างเชื่อมต่อกันเป็นกลุ่มๆ หลังคาสีขาวอมเทาเต็มไปด้วยรูโหว่ขนาดต่างๆ บนชายคาบางที่ยังมีรูปปั้นทารกที่มีปีกยาวแปลกประหลาดทำท่าจะโผบิน
เงาคนนั้นพุ่งจากบนถนนเข้าไปในอาคารหลังหนึ่งในพริบตา
ลู่เซิ่งกระทืบเท้า พื้นสั่นไหวน้อยๆ เขาพุ่งออกไปดุจคันศร ไม่กี่กะพริบตาก็ไปถึงตำแหน่งที่คนผู้นั้นอยู่ซึ่งห่างออกไปร้อยหมี่
เปรี้ยง เขาต่อยหมัดใส่ประตูไม้ของตัวสิ่งก่อสร้างทางซ้ายมือจนแหลก ด้านในปรากฏบุรุษร่างผอมที่ถืออาวุธคมกริบอยู่
“โค!” บุรุษร่างผอมตะโกนขึ้น พร้อมพุ่งเข้าหาลู่เซิ่ง ในอาคารยังมีอีกสองคน คนหนึ่งถือดาบฟันฟืน อีกคนถือง่ามเหล็ก โจมตีใส่ลู่เซิ่งพร้อมกัน
‘กลิ่นอายนี้…’ ชั่วประกายแสงไฟวาบ ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเป็นปฏิปักษ์ซึ่งเข้ากันกับตนไม่ได้บนร่างของคนทั้งสาม
‘คนจากโลกด้านนอกหรือ’ ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งได้ยินผู้อาวุโสบอกว่าอาจจะได้เจอคนจากโลกด้านนอกในเขตลับ
คนจากโลกด้านจำนวนมากไม่ได้มีท่าทีเป็นมิตรต่อพวกเขา ส่วนใหญ่แล้วยึดถือพวกเขาเป็นภูตผีมารร้ายจากต่างโลก
กระนั้นก็ถือว่าสมเหตุสมผล ตามคำพูดของผู้อาวุโส ต่อให้เป็นสำนักอย่างเป็นทางการอย่างสำนักพันอาทิตย์ ส่วนใหญ่จะส่งคนมายังโลกภายนอกเพื่อแย่งชิงและรวบรวมทรัพยากร เวลาเจอคนของโลกด้านนอก ถ้าไม่ฆ่าทิ้งก็จะศึกษาทดลอง ไม่เคยมองพวกเขาเป็นคน
ตอนที่กำลังสงสัย ลู่เซิ่งก็สัมผัสได้อย่างปราดเปรียวว่าบนอาวุธสามชิ้นที่โจมตีใส่เขามีลวดลายที่ประกอบขึ้นจากแสงสีขาวจางๆ ไหลเวียนอยู่อย่างเลือนราง
เปรี้ยง!
เกิดเสียงทึบหนักดังติดต่อกันสามครั้ง ลู่เซิ่งฟันดาบออกไปดุจสายฟ้าฟาดด้วยมือหนึ่ง จนทั้งสามกระเด็นออกไปชนกับกำแพงแล้วค่อยๆ ไถลตัวลงล่าง
เทียบกับพละกำลังของทั้งสามคนแล้ว ร่างกายของสามคนนี้เปราะบางถึงขีดสุด ลู่เซิ่งตั้งใจจะเข้าไปตรวจสอบดูอาการบาดเจ็บบนร่างพวกเขาและถือโอกาสสอบสวน กลับนึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะกระอักเลือด สายตาแตกซ่าน ท่าทางจะไม่ไหวเสียแล้ว
‘พละกำลังลักลั่นแฮะ พละกำลังเมื่อครู่ใกล้เคียงกับระดับสำนึกปลอดโปร่งของคนธรรมดา แต่ความแข็งแกร่งของกายเนื้อยังสู้ผู้ใหญ่ที่เป็นคนธรรมดาไม่ได้ ไม่ต่างกับเด็กที่อ่อนแอเลย…โลกด้านนอกนี้ลักลั่นจริงๆ’
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปตรวจสอบศพและได้ข้อสรุป
‘ช่างเถอะ ทำภารกิจให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน โลกด้านนอก วันหน้าถ้ามีเวลาค่อยมา’ เขาตรวจสอบศพ เจอก้อนหินสีขาวน้ำนมสองสามก้อน จากนั้นก็หมุนตัวถอยออกจากอาคาร
‘ตามบันทึกบนกระดาษ ตำแหน่งของระฆังนรกอยู่ด้านหน้าทางขวา’
เขาหยิบกระดาษออกดู แยกแยะทิศทางสักพัก จากนั้นก็มุ่งหน้าต่อไป
บนกระดาษมีเนื้อหาส่วนหนึ่งเพิ่มมาจากตอนแรก
‘การจะตีระฆังนรกต้องใช้ค้อนวิญญาณมรณะ หากจะตีสามครั้งต้องใช้ค้อนวิญญาณมรณะสามอัน ลักษณะภายนอกอันเป็นสภาพทั่วไปของค้อนวิญญาณมรณะคืออัญมณีสีฟ้า’
‘อัญมณีสีฟ้าหรือ’ ลู่เซิ่งนึกถึงรูปแกะสลักบนลานกว้างก่อนหน้านี้ทันที เขาวกกลับไปควักอัญมณีออกมาจากหน้าอกของรูปแกะสลัก
ครั้งนี้ไม่มีลางสังหรณ์ว่ามันจะระเบิดเหมือนก่อนหน้า แสงสีขาวบนกระดาษสะกดการระเบิดของอัญมณีเอาไว้
เขาเก็บอัญมณีแล้วมุ่งหน้าตัดทะลุลานกว้างไปตามทิศทางที่ระบุอยู่บนกระดาษ
ไม่นานเขาก็เห็นรูปแกะสลักบุรุษสวมหมวกตรงมุมโค้งของถนนเส้นหนึ่ง บนหน้าผากของมันมีอัญมณีสีฟ้าซึ่งกำลังส่องแสงสีฟ้าติดอยู่
ลู่เซิ่งกำลังจะเข้าไปควักมันออกมา
“โปรดรอก่อน” อยู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังเขา
ลู่เซิ่งหันไปเห็นบุรุษที่สวมผ้าคลุมสีขาวคนหนึ่งเดินมาหาเขา นอกจากสองตาที่ไม่ได้ปิดไว้ บุรุษผู้นี้ปิดแม้แต่รูจมูกไว้อย่างแน่นหนา
“ท่านคือใคร” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ข้าคือผู้ตรวจสอบ รับผิดชอบตรวจสอบและวัดผลสถานการณ์ในการทดสอบครั้งนี้ ขณะเดียวกันก็เป็นผู้รักษาความปลอดภัยไม่ให้พวกเจ้าเจออันตรายด้วย” บุรุษที่สวมชุดขาวและปิดบังใบหน้ากล่าวอย่างราบเรียบ
“เช่นนั้นขอถามผู้ตรวจสอบว่าท่านพบปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ ถึงได้เรียกข้าอย่างกะทันหัน” ลู่เซิ่งถามอย่างไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“ข้าขอแนะนำเจ้าเป็นการส่วนตัวว่าอย่าเลือกอัญมณีเม็ดนี้ ข้ารู้จักเส้นทางอีกเส้น แม้จะยากไปบ้าง แต่อาจจะมีประโยชน์มากกว่าสำหรับเจ้า” ผู้ตรวจสอบกล่าวอย่างสงบ
“ขอบคุณที่แนะนำ แต่ส่วนตัวแล้วข้าชอบคว้าผลประโยชน์ตรงหน้ามาไว้ในมือก่อนมากกว่า” ลู่เซิ่งตอบอย่างเฉื่อยชา
“หากเลือกอัญมณีชิ้นนี้ แม้ตอนแรกจะดูเหมือนสบายๆ แต่ภายหลังเจ้าจะคิดว่าลำบาก แต่สำนึกเสียใจในตอนนั้นก็ไม่ทันแล้ว เจ้าต้องพิจารณาให้ดี” ผู้ตรวจสอบพูดเสียงเบา
ลู่เซิ่งยิ้ม “ข้าพิจารณาดีแล้ว ตำแหน่งของอัญมณีเม็ดนี้ไม่เลวทีเดียว หนำซ้ำยังไม่มีพลังงานประหลาดที่ยุ่งยากมีปัญหาด้วย”
ผู้ตรวจสอบนิ่วหน้า
อัญมณีเม็ดนี้เป็นสิ่งที่เตรียมไว้ให้ซ่งตู ที่วางไว้ที่นี่ก็เพื่อให้ซ่งตูใช้เป็นเครื่องมือผ่านด่าน ของประหลาดต่างๆ ที่อยู่ด้านบนอัญมณีถูกขจัดออกไปแต่แรกแล้ว
เพียงแต่ผู้ตรวจสอบนึกไม่ถึงว่าซ่งตูที่รู้จักทางยังมาไม่ถึง ลู่เซิ่งผู้นี้ก็มาถึงก่อนแล้ว แถมยังมาก่อนนานมาก เขาจึงได้แต่เผยตัวออกมาเพื่อห้ามปรามด้วยความจนปัญญา
ตระกูลซ่งจ่ายค่าตอบแทนให้ไม่น้อยในการทดสอบครั้งนี้ เขาย่อมไม่อาจทำเป็นไม่สนใจ
“นี่เตรียมไว้ให้ใครสักคนในการทดสอบกระมัง” ลู่เซิ่งเดาอย่างฉับพลัน
ผู้ตรวจสอบสะดุ้ง
“ที่นี่คือโลกด้านนอก เจ้าคิดมากไปแล้ว” เขาเอ่ยอย่างราบเรียบ
“อย่างนั้นหรือ เนื่องจากเป็นโลกด้านนอก ดังนั้นพวกท่านถึงวางกลอุบายได้สบายๆ เลยล่ะสิท่า” ลู่เซิ่งยิ้ม
“เจ้า…” ผู้ตรวจสอบไม่รู้ควรพูดอะไร
ทันใดนั้นมีเสียงดังมาจากด้านหลัง พระจีวรสีดำที่พนมมือและสองตามีเลือดไหลหลายกลุ่มปรากฏขึ้นด้านหลังลู่เซิ่ง
พระรูปที่นำหน้ากางแขนออก แล้วพุ่งตัวกระโดดไปถึงด้านหน้าลู่เซิ่งอย่างฉับพลัน ก่อนจะฟาดขาใส่ก้านคอของเขา
ลู่เซิ่งยื่นมือไปคว้าไว้ กลับเกิดเสียงดังซ่า ขาของพระพลันระเบิดออก กลายเป็นของเหลวสีดำนับไม่ถ้วนทะลุฝ่ามือของเขา จากนั้นก็รวมตัวกันกลายเป็นขาอีกครั้ง ก่อนจะฟาดใส่ก้านคอของลู่เซิ่งอย่างจัง
ตูม!
ลู่เซิ่งยื่นมือไปกดขาของพระไว้ ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ
ผู้ตรวจสอบเห็นดังนั้น ดวงตาเย็นชาฉายแววยิ้มเยาะ
“การโจมตีนี้เป็นทักษะเฉพาะของวัดตราทมิฬ ป้องกันไม่ได้ พวกมันสามารถเปลี่ยนร่างกายทุกส่วนให้กลายเป็นของเหลวสีดำได้ตามใจ ผู้ทดสอบทั่วไปอย่างมากสุดต้านการโจมตีของพระจีวรดำได้แค่สามรูป แต่ตรงนี้มียี่สิบกว่ารูป ข้าแนะนำให้เจ้า…”
เปรี้ยง!
ในพริบตานั้นเอง ลู่เซิ่งยื่นมือหนึ่งออกไปราวสายฟ้าฟาด ก่อนจะบีบศีรษะของพระจีวรดำตรงหน้าจนระเบิด
พระจีวรดำกลุ่มหนึ่งกระโจนเข้าไประดมหมัดเท้าใส่เขาอย่างดุร้าย พระจีวรดำจำนวนไม่น้อยเริ่มหมุนเวียนค่ายกล ล้อมรอบลู่เซิ่งพลางเคลื่อนย้ายตำแหน่งด้วยความเร็วสูง
เกิดเสียงดังซ่าๆ หลายครั้ง พระจีวรดำสิบกว่ารูประเบิดกลายเป็นน้ำสีดำ จากนั้นก็รวมตัวกันด้านหลังลู่เซิ่งก่อนจะพุ่งเข้าใส่ พร้อมทั้งประกบสองมือเป็นดาบฟันใส่ด้านหลังของเขา
พระจีวรดำที่เหลือโถมตัวเข้าไปกอดรัดลู่เซิ่งเอาไว้จนกลายเป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง
ในตอนนี้เอง ผู้ตรวจสอบบุ้ยใบ้ไปทางอัญมณี ทันใดนั้นซ่งตูก็พุ่งออกมาจากมุมหนึ่ง แล้วควักเอาไพลินบนหน้าผากรูปแกะสลักไปอย่างรวดเร็ว เขาพยักหน้าให้ผู้ตรวจสอบ ก่อนวิ่งออกไปทันที ไม่ทันไรก็หายไปในตรอกที่เชื่อมต่อกัน
……………………………………….