ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 334 นิทรานิรันดร์ (4)
บทที่ 334 นิทรานิรันดร์ (4)
ในต้าอิน ศาสตร์ด้านอักขระพัฒนาไปอย่างไม่เลว หลักๆ ได้รับการขยับขยายในด้านค่ายกลและกระดาษยันต์ เดิมทีศาสตร์อักขระที่มาจากอาวุธเทพศัสตรามารนี้เป็นสาขาวิชาเลียนแบบที่ขยายออกมา โดยศึกษาอักขระที่พรรณนาถึงอาวุธเทพศัสตรามารเป็นหลัก จากนั้นก็เลียนแบบเพื่อให้เกิดผลที่คล้ายคลึงกัน
แม้อานุภาพจะอ่อนแอมากเพราะเป็นการเลียนแบบ แต่ว่าศาสตร์อักขระก็มีการสร้างสรรค์อย่างแพร่หลายเป็นจำนวนมากซึ่งเปลี่ยนแปลงคุณภาพการใช้ชีวิตในสังคมระดับสูงของต้าอิน
ลู่เซิ่งรู้สึกสนใจในเรื่องนี้มาก ปกติแล้วร้านสร้างยันต์จะห้ามไม่ให้คนทั่วไปเข้าออก สินค้าด้านในเป็นสินค้าจำนวนน้อยที่ไหลเวียนระหว่างสามสำนักใหญ่กับทางการ ยิ่งอย่าว่าแต่ตำราสร้างยันต์อันเป็นเพียงแค่ส่วนพื้นฐานที่สุดของพื้นฐานที่สุดเท่านั้น
ลู่เซิ่งกลับถึงคฤหาสน์หลังจากซื้อของเสร็จ จากนั้นก็ปฏิเสธไม่พบแขก ตั้งใจฝึกฝนทุกวัน มีแต่ตอนกลางคืนที่จะออกมาเดินเล่นเพื่อดูว่ามีสิ่งใดที่คุ้มค่าพอให้ซื้อเป็นบางครั้งเท่านั้น
หลังจากเฉินจิ้งจือเลื่อนระดับเขาเป็นศิษย์จริงแท้ สวัสดิการของเขาก็ได้รับการยกระดับในทันที โดยได้เงินเดือนๆ ละห้าสิบตำลึงทองคำมารและหนึ่งร้อยตำลึงทองเหลือง นอกจากนี้ยังมีโอสถที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายสามชนิดมอบให้ตามน้ำหนักด้วย
โอสถชาดขนาดเล็กที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บ โอสถเขียวเล็กที่ใช้ให้อิ่มท้อง รวมถึงโอสถพิษเล็กที่ใช้แก้พิษ โอสถสามชนิดไม่มีชื่อ ทุกคนเรียกพวกมันว่าแดงเล็กเขียวเล็กกันตามใจ ส่วนโอสถพิษปกติแล้วจะทำได้แค่ทำให้พิษออกฤทธิ์ช้าลงเท่านั้น ดังนั้นจึงคร้านจะตั้งชื่อให้
นอกจากนี้แล้ว ยังได้รับค่ายกลหลีกลี้ทางโลกกับชุดเข้ารูปงดงามที่ใช้ขยายค่ายกลซึ่งมีแค่เฉพาะศิษย์จริงแท้ และกระบี่ที่ตกแต่งอย่างประณีตงดงาม หากเอาไว้ให้แค่ดูดีเท่านั้น
บวกกับสามารถเลือกคัมภีร์วิชาจริงแท้ระดับปฐมปฐพีในสำนักมาฝึกเสริมได้ รวมถึงวิชาหลักของสำนักพันอาทิตย์ชื่อวิชาอาทิตย์เวโรจน์
วิชาจริงแท้นี้สามารถฝึกฝนตั้งแต่ระดับเอกะลักษณ์ในระดับพันธนากรอันเป็นระดับต่ำสุดไปจนถึงขั้นสูงสุดของระดับปฐมปฐพีได้
ลู่เซิ่งค่อนข้างสนใจในวิชาจริงแท้ชุดนี้มาโดยตลอด เพียงแต่ว่าก่อนที่จะประสบความสำเร็จในการฝึกฝนวิชาพื้นฐานสำหรับประกอบพิธี เขายังไม่สามารถรับวิชาจริงแท้นี้ได้
ทว่าหลังจากเข้าสู่เขตถ่ายทอดความลับในครั้งนี้ เขากลับฝึกฝนวิชาอาทิตย์วสันต์สงบจิตใจจนสำเร็จก่อนกำหนด พลังปราณจริงแท้เลื่อนสู่ระดับทวิลักษณ์สำเร็จ และได้รับสิทธิ์ฝึกฝนวิชาหลักมา
ไม่รอเขามุ่งหน้าไปขอวิชาที่สำนัก ผู้อาวุโสจางซื่อหลงก็ส่งคัมภีร์วิชาอาทิตย์เวโรจน์มาให้เอง ทั้งยังย้ายมาอยู่อาศัยในคฤหาสน์ข้างๆ เขา กลายเป็นเพื่อนบ้านกัน ทั้งยังคอยชี้แนะระดับความก้าวหน้าในการฝึกฝนวิชาจริงแท้แก่เขาโดยเฉพาะ
ลู่เซิ่งได้ทราบอย่างรวดเร็วว่าข้อมูลของเขาถูกส่งไปยังสำนักระดับบนในเขตโดยเร่งด่วน หนำซ้ำกำลังรายงานขึ้นไปตามลำดับ ตอนนี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะไปถึงหน่วยหลักระดับนครแคว้นแล้ว
ถึงอย่างไรเมื่อเกี่ยวข้องกับใต้เท้าผู้นั้นก็มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ลู่เซิ่งถูกพวกเขาปฏิบัติอย่างกับเป็นเทพโรคระบาด
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบกว่าวัน
หลังจากลู่เซิ่งฝึกฝนวิชาอาทิตย์เวโรจน์ประจำวันเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปด้านนอก เตรียมจะไปเดินเล่นรอบๆ ช่วงนี้เขาหลงใหลค่ายกลเส้นทองอันยิ่งใหญ่ที่ติดตั้งอยู่บนพื้น ทั่วทั้งนครเขตค่ายนั้นยิ่ง
อักขระหลัก อักขระดัดแปลง รวมถึงสูตรค่ายกลที่ใช้ในค่ายกลมหึมาที่ครอบคลุมเขตทั้งเขตนี้มีทั้งหมดหลายร้อยชนิด ในนี้มีค่ายกลอย่างง่ายที่เหมาะให้ผู้เริ่มเรียนอย่างเขาสังเกตและศึกษามากมาย
สิ่งที่ลู่เซิ่งชอบมากที่สุดคือการเดินวนไปวนมาในตำแหน่งที่ค่ายกลอยู่ตอนพลบค่ำ เพื่อสำรวจการเปลี่ยนแปลงแทนที่ของค่ายกลระหว่างตอนกลางวันและกลางคืน
รถม้าสีดำไหลไปตามกระแสรถที่ขวักไขว่ ค่อยๆ เลี้ยวลดตามเส้นสายค่ายกลบนพื้นไปถึงมุมโค้งตรงกำแพงที่เปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ
ลู่เซิ่งนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ สายตาจ้องมองเส้นทองแดงที่ฝังอยู่ตามเส้นทางอย่างละเอียด เส้นทองแดงที่ดูเหมือนแค่ลวดลายประดับเหล่านั้นเป็นสัญลักษณ์ลึกลับชนิดพิเศษที่แตกต่างกันโดยสมบูรณ์
หยุด!
อยู่ๆ รถก็หยุดลง ด้านหน้ารถมีบุรุษร่างมอมแมมคนหนึ่งล้มคว่ำอยู่บนพื้น ขวางเส้นทางของรถเอาไว้
บุรุษผู้นั้นนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นคล้ายกับสลบไปแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น” ลู่เซิ่งถามพลางขมวดคิ้ว การหยุดลงอย่างกะทันหันของรถทำให้ความคิดเขาขาดตอน ความรู้สึกแบบนี้ไม่ดียิ่ง
“เรียนคุณชาย ด้านหน้ามีคนล้มอยู่บนพื้น ขวางทางไปเอาไว้” สารถีขับรถเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สำนักส่งมาให้รับผิดชอบการเดินทางของลู่เซิ่งโดยเฉพาะ ได้ยินดังนั้นก็รีบกล่าวอย่างรังเกียจ “ท่านไม่ต้องห่วง อีกเดี๋ยวก็จัดการได้แล้วขอรับ”
“อือ” ลู่เซิ่งพยักหน้า ถ้าหากเรื่องแค่นี้ต้องให้เขาออกโรงเอง อย่างนั้นต่อจากนี้คงได้หงุดหงิดไปกับเรื่องเล็กๆ ทุกเรื่อง
ลู่เซิ่งก้มหน้าตรวจสอบผังค่ายกลอย่างง่ายบนมือต่อไป เพียงแต่หลังจากสารถีลงรถไป สุ้มเสียงก็หายไปอย่างรวดเร็ว เขาค่อยเงยหน้าขึ้น ละความสนใจจากอักขระค่ายกล
“เหล่าอัน?”
นอกรถไม่มีการขานรับ
เขานิ่วหน้าเล็กน้อย ทราบเลาๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“ลงรถเถอะ” ด้านนอกมีเสียงทุ้มต่ำดังมา ฟังดูคุ้นหูอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งปิดตำรา เปิดตัวรถแล้วค่อยๆ เดินลงมา
แสงสายัณห์ย้อมบริเวณรอบๆ เป็นสีแดงฉาน บุรุษสตรีอายุน้อยที่หน้าตาแปลกหน้าหลายคนล้อมรอบรถม้าไว้ตรงมุมกำแพง
คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด ทิ้งเฒ่าอันสารถีขับรถให้ล้มคว่ำอยู่กับพื้น
“ดูเจ้าจะมีชีวิตไม่เลวทีเดียว” ในน้ำเสียงของคนผู้นั้นแฝงความประชดประชัน
ลู่เซิ่งพิจารณาใบหน้าเขา รู้สึกว่าตัวเองไม่น่าจะรู้จักอีกฝ่าย
“เจ้ารู้จักข้าหรือ”
“เจ้า!?” บุรุษผู้นั้นพลันตาแดงก่ำ “ก่อนหน้านี้เจ้าเกือบสังหารข้าไปแล้ว ตอนนี้ ตอนนี้กลับลืมไปแล้วหรือ!?”
“ฉวยโอกาสตอนไม่มีคนจับตาดูเร่งมือหน่อย พวกเรามีเวลาไม่มาก” สตรีผมยาวสายตาคมกริบคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสียงเย็นชา
“ข้ารู้แล้ว ข้าเพียงแค่…เพียงแค่รู้สึกไม่ยอมรับเท่านั้น!” บุรุษข่มความโกรธแล้วกล่าวเสียงทุ้ม “เป็นเพราะคนผู้นี้ ข้าถึงหันหลังออกจากบ้าน ทอดทิ้งบ้านที่ใช้ชีวิตอยู่หลายสิบปี…”
“พวกเรารับการค้าของเจ้าไม่ใช่มาฟังเจ้าพล่าม” สตรีเอ่ยอย่างเหลืออด
เวลานี้ในที่สุดลู่เซิ่งก็จดจำสถานะของบุรุษผู้นี้ได้แล้ว
“เจ้านี่เอง เจ้าแมลงน่าสงสารในตอนนั้นใช่หรือไม่ เป็นผู้ตรวจสอบใช่หรือไม่” เขากระจ่างแจ้ง แสดงสีหน้าประหลาดใจ “ยังไม่ตายหรือนี่”
“เจ้า!” ริ้วเลือดในดวงตาผู้ตรวจสอบยิ่งมายิ่งมาก เขาย้อนนึกถึงความหวาดกลัวตอนเข้าใกล้ความตายในเวลานั้น เพลิงโทสะในใจเขายิ่งมายิ่งลุกโชน
“ฆ่า! ฆ่ามันเสีย!” เขาพลันตะโกน
ผู้เข้มแข็งระดับฉลักษณ์คนหนึ่งลงมือด้วยตัวเอง เขาไม่เชื่อหรอกว่าลู่เซิ่งผู้นี้จะไม่ตาย!?
ผู้ตรวจสอบที่คุ้นเคยกับค่ายกลและการตรวจสอบดี รอวันนี้มานานแล้ว เขาคอยสะกดรอยและตรวจสอบรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันของลู่เซิ่งมาโดยตลอด
“รับกระบี่เจิดจรัสสิบกระบวนท่า ประกายแสงอรุณ!” สตรีชักกระบี่ยาวตรงเอวขึ้นมาอย่างแผ่วเบา แต่เหมือนกับสิ่งที่ชักออกมาไม่ใช่กระบี่หากเป็นแสง เป็นลำแสงอันสีเขียวมรกตแวววาว
ฟ้าวๆๆ!
แสงสีเขียวหลายสายพุ่งเข้าหาลู่เซิ่งจากทั่วสารทิศด้วยความเร็วที่สูงจนน่าประหลาด
ขณะเดียวกัน บุรุษอีกคนก็กระโดดขึ้นมา ง้าวยักษ์โผล่ขึ้นด้านหน้า เขากำด้ามง้าวไว้แล้วฟันลงกลางอากาศ
ควับ!
ปราณดาบอันยิ่งใหญ่พร้อมกับประกายสีขาวฟันลงใส่หลังคารถม้าอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
“ง้าวไม่ได้ใช้กันแบบนี้” ลู่เซิ่งยกฝ่ามือขวาขึ้นอย่างแผ่วเบา
ทันใดนั้นมีแสงสีม่วงกะพริบตรงกลางคิ้วเขา ห้านิ้วกำเป็นกรงเล็บ
ตูม!
ควันขาวนับไม่ถ้วนระเบิดออก
ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว!
พริบตานั้นดาบยักษ์สีดำห้าสายปรากฏขึ้นด้านข้างรถม้า จากนั้นก็ฟันลงไปยังตรงกลางในพริบตาเหมือนกับกลีบดอกไม้ที่กำลังหุบ
มือของลู่เซิ่งกลายเป็นดาบห้าเล่มในชั่วเสี้ยววินาทีพร้อมกับฟันไปรอบๆ อย่างสะเทือนเลื่อนลั่น จากนั้นก็คว้ามือใส่ง้าว
เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
ดาบห้าสายฟันใส่จุดเดียวกันบนง้าวของบุรุษ ง้าวระเบิดออกในฉับพลัน ร่างอันกำยำของเขาถูกปราณดาบที่ฟันออกมาฟันติดต่อกันขาดออกเหมือนกับตุ๊กตาซอมซ่อ
ปราณดาบหมุนเป็นเกลียวลงด้านล่างก่อนจะปะทะเข้ากับปราณกระบี่สีเขียวที่อยู่รอบๆ เนื่องจากอานุภาพถูกลดทอนลง ในที่สุดก็ถูกกระแทกสลายไปทั้งคู่
รถม้าถูกปราณกระบี่ที่ตามมาติดๆ เจาะเป็นรังผึ้ง
ทว่าลู่เซิ่งที่ตอนแรกนั่งอยู่บนรถม้ากลับหายไปแล้ว
ตูม!
สตรีกระบี่เขียวรู้สึกอย่างฉับพลันว่าทรวงอกปวดอย่างรุนแรง ร่างโดนกระแทกติดพื้นเหมือนกับถูกฝูงกระทิงชนใส่
ลู่เซิ่งโผล่ขึ้นตรงหน้านางตอนไหนก็ไม่ทราบ เขาใช้มือหนึ่งจิกผมของนางแล้วสะบัดไปด้านข้างในทันใด
หลังเสียงดังสนั่น กำแพงหินของที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้ๆ ก็ถูกชนเป็นรูใหญ่ สตรีกระบี่เขียวเงยหน้ากระอักเลือด ดวงตาฉายแววพรั่นพรึง กำลังคิดจะเอ่ยปากร้องขอชีวิต
สวบ!
แขนขาวผ่องข้างหนึ่งแทงเข้าไปในหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา
“ต่อให้เป็นเยื่อดำ ความจริงก็มีจุดอ่อนอยู่” ลู่เซิ่งชักมือออกมาแล้วสะบัดไขสมองกับเลือดบนนั้นทิ้งไป “จุดที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดเช่นกัน ผู้เข้มแข็งทุกคนที่ถูกทำลายเยื่อดำเพียงเทียบได้กับคนธรรมดาเท่านั้น…”
เขาเดินเอื่อยๆ ไปถึงด้านหน้าผู้ตรวจสอบที่กำลังขาสั่น มองอีกฝ่ายด้วยความสงบนิ่งแกมสมเพช
พรึ่บๆ
ในที่สุดศพสองศพด้านหลังก็ร่วงตกพื้น ก่อนจะลุกไหม้กลายเป็นธุลีดำสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
“ข้า…ข้า…” ผู้ตรวสอบพูดอึกอัก ใบหน้าบิดเบี้ยว น้ำตาน้ำมูกไหลออกมาโดยไม่อาจควบคุม
“เด็กน้อยน่าสงสาร…” ลู่เซิ่งยื่นมือออกไปลูบผมของเขาอย่างแผ่วเบา “คนที่ผิดไม่ใช่เจ้า แต่เป็นโลกใบนี้ต่างหาก”
กร๊อบ กระดูกคอหัก ศีรษะของผู้ตรวจสอบถูกกระชากฉีกลงมา เขาเบิกสองตาด้วยใบหน้าสับสนงุนงง ไม่มีเลือดหยด มีแต่ศพที่กลายเป็นผงสีดำอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่ชั่วครู่เดียว ศพสามศพก็เหลือแค่เศษเสื้อผ้า
ความจริงลู่เซิ่งเดาออกว่าผู้ตรวจสอบคนนี้เป็นหมากที่ขุมกำลังอื่นๆ ในเขตใช้มาหยั่งเชิงเขา
ศิษย์ที่ท่านผู้ที่อยู่ในตำนานชี้แนะ แตกต่างกับคนธรรมดาตรงไหน นี่เป็นเนื้อหาที่ทุกคนอยากจะรู้
ดังนั้นในโลกอันวุ่นวายที่ชีวิตคนไม่มีค่านี้ ผู้ตรวจสอบที่มีเจตนาแอบแฝงจึงกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้
ความจริงลู่เซิ่งดูออกแล้วว่าเดิมทีผู้ตรวจสอบคิดจะยอมอดกลั้น ไม่ต้องการแก้แค้นอีกแล้ว ทว่ากลิ่นอายบิดเบี้ยวที่แผ่กระจายบนตัวเขาอย่างเลือนรางกลับเพิ่มความโกรธและความแค้นในจิตใจของเขา
“ทั้งๆ ที่มีเยื่อดำระดับทวิลักษณ์แท้ๆ แต่กลับฆ่ามือสังหารรับจ้างระดับฉลักษณ์ได้…จุ๊ๆ…สมกับเป็นศิษย์จริงแท้คนที่สองของสำนักพันอาทิตย์ในปัจจุบัน”
หญิงสาวกระโปรงดำงามหยาดเยิ้มคนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏร่างขึ้นไม่ไกลจากรถม้าที่พังไปแล้ว
“คนของสำนักผูกวิญญาณหรือ” ลู่เซิ่งประหลาดใจเล็กน้อย เขาเพิ่งมาเขตจันทราสารทได้ไม่นาน รู้แค่ว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสามสำนักใหญ่เป็นใคร ที่เหลือไม่ค่อยรู้จักแล้ว
หญิงสาวนางนี้มีรูปโฉมเลิศล้ำ ร่างกายเย้ายวน ส่วนใดที่ควรนูนก็นูน ส่วนใดที่ควรงอนก็งอน ปักสัญลักษณ์พิเศษของสำนักผูกวิญญาณไว้ที่หน้าอกด้านซ้าย เป็นคำว่า ผูก สีขาวตัวใหญ่
“จำชื่อของข้าไว้ให้ดี ไป๋ลู่อิง” หญิงสาวมองผงจากศพบนพื้นแล้วสะกิดปลายเท้ากระโดดขึ้นเบาๆ เหลือไว้เพียงเสียงหัวเราะเหมือนกระดิ่ง “พวกเราจะเจอกันอีก”
ลู่เซิ่งสงสัยว่าหญิงสาวนางนี้มาทำอะไรกันแน่ หากบอกว่านางเป็นคนที่กระตุ้นให้ผู้ตรวจสอบโจมตีตัวเอง ก็ไม่น่าจะใช่ สามสำนักใหญ่แข่งขันและประคับประคองกันเอง แต่ไม่ถึงกับเข่นฆ่ากัน หากถูกพบจะเป็นโทษใหญ่เท่ากับการทรยศ
ลู่เซิ่งมองตามจนหญิงสาวจากไป จากนั้นก็ยืดเหยียดร่างกาย แล้วกลับไปหยิบสิ่งของบนรถม้า ยังต้องกลับไปฝึกฝนวิชาอาทิตย์เวโรจน์ต่อ
เขาไม่มีเวลามาเล่นเดาใจกับหญิงสาวผู้นี้ในสถานที่เล็กๆ เช่นนี้
……………………………………….