ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 335 ลืมเลือน (1)
บทที่ 335 ลืมเลือน (1)
เพล้ง!
ด้านในที่ทำการของเขตจันทราสารท จอกน้ำชาถูกโยนใส่โต๊ะอย่างรุนแรง
บุรุษร่างกำยำที่ใบหน้ามีรอยบากรูปไม้กางเขนคนหนึ่งจ้องมองยอดไม้ที่โยกไหวด้านนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเย็นชา
“คนของสำนักเหล่านี้คิดจะทำอะไร มาลอบสังหารสร้างความเสียหายบนถนนอย่างเปิดเผย! ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักรวบรวมยอดฝีมืออย่างวู่วามเสมอ ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาจริงๆ อย่างนั้นหรือ” เสียงของเขาทั้งอึดอัดทั้งโมโห แต่ว่าความโกรธนี้ไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง กลับเหมือนแสร้งทำมากกว่า
ในห้องรับแขกยังมีอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ เป็นชายชราไว้เคราสีขาว เขาประคองน้ำชาที่มีไอกรุ่นอยู่ในมือพลางจิบช้าๆ
“สหายหวังเหตุใดต้องโกรธ ข้าได้ส่งจดหมายไปยังสำนักพันอาทิตย์ตามความเหมาะสมแล้ว เรื่องนี้เดิมทีเป็นแค่ความเข้าใจผิด การลอบสังหารเป็นแค่อุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง ไม่มีใครหาเรื่องคนอื่นโดยไม่มีสาเหตุหรอก” เขาจิบน้ำชาอย่างสบายใจอีกครั้ง
“ไม่ใช่ว่าข้าตื่นตูม ในเขตมีประชากรพันหมื่น หากเกิดเรื่องขึ้น จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือสถานที่เกิดเหตุยังเป็นใจกลางเมือง แม้จะเป็นมุมเปลี่ยวในบริเวณใจกลางเมืองก็ตาม แต่ผลกระทบนี้ก็เลวร้ายถึงขีดสุด” บุรุษร่างกำยำกล่าวอย่างไม่พอใจ ความจริงเขาทราบเช่นกันว่าชายชรามีความสัมพันธ์สลับซับซ้อนกับสามสำนักใหญ่ แต่เขาเป็นตัวแทนของทางการและสามตระกูลใหญ่ เมื่อเรื่องเกิดในย่านใจกลางเมือง สิ่งที่เสียหายคือผลประโยชน์ของตระกูล ไม่ใช่แค่ส่งผลต่อคนทั่วไปเท่านั้น ดังนั้นท่าทีจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ชายชรายิ้มแย้ม
“ผู้แซ่จ้าวย่อมเข้าใจ ข้าจะไปอธิบายกับทางสามสำนักให้ ต่อจากนี้จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกแล้ว ท่านวางใจ”
“ในเมื่อเฒ่าจ้าวยืนยันแบบนี้ เช่นนั้นข้าจะไม่สืบสาวเรื่องนี้อีก” บุรุษร่างกำยำพยักหน้า “วกกลับมาหัวข้อเดิมกันดีกว่า”
“ใช่แล้ว…แหล่งกำเนิดของกลิ่นอายประหลาดที่โผล่มาในเมืองเมื่อไม่นานมานี้ จะต้องรีบตามหาต้นตอให้เจอโดยเร็วที่สุด” พอพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของชายชราที่ก่อนหน้านี้ยังยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนก็เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
“ข้าตรวจสอบถนนและทางระบายน้ำใต้ดินเจ็ดส่วนแต่ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร ส่วนที่เหลือล้วนจัดการค่อนข้างยาก เพราะส่วนใหญ่เป็นกิจการของขุนนางและตระกูลใหญ่” บุรุษร่างกำยำขมวดคิ้วกล่าว “เรื่องนี้ข้าไม่สามารถเรียกใช้ทัพอาทิตย์เจิดจ้าได้ ได้แต่ให้ทางอักขระมืดจับตาดู กรมสังข์เขียวเองก็ไม่ได้ให้คำตอบอย่างละเอียดกับข้าเช่นกัน”
“กรมสังข์เขียวเป็นหน่วยงานอิสระ มีแต่พวกเขาที่รู้ว่ามีข่าวอะไรหรือไม่” เฒ่าจ้าวส่ายหน้า “ทางนี้สามสำนักสบายกว่าทางการเล็กน้อย ข้าจะกลับไปเชิญพวกสหายมาปรึกษาผลลัพธ์และจะให้คำตอบกับท่านโดยเร็วที่สุด”
“ประเสริฐมาก!” บุรุษพยักหน้า
…
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือน แสงจันทร์สาดส่องร่างของเขา ทั้งยังส่องต้องแผ่นหินกับกำแพงสีดำอมเขียว ขับความเย็นยะเยือกและสงบนิ่งให้เด่นชัดกว่าเดิม
บ่อน้ำในเรือนมีเสียงระลอกคลื่นเบาๆ ดังมาตลอดเวลา
ทันใดนั้นเสียงกระซิบแผ่วเบาก็ดังผ่านร่างลู่เซิ่งไป เขานั่งขัดสมาธิตัวตรง ไอสีขาวสองสายลอยออกจากรูจมูกอย่างช้าๆ ไอสีขาวเหมือนกับเชือก พวกมันลอยไปด้านหลังเขาอย่างพลิ้วไหวก่อนจะหายไป
ไอสีขาวเกิดขึ้นแล้วลอยไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เกิดกระบวนการเรียบง่ายเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา น่าเบื่อไร้รสชาติ แต่ลู่เซิ่งไม่รู้สึกหงุดหงิดแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยามกว่าๆ
ฟู่ว
ในที่สุด ไอสีขาวจากรูจมูกของลู่เซิ่งก็ค่อยๆ จางลงแล้วหายไป แต่ว่าแสงสีทองสายหนึ่งกลับกะพริบบนหลังเขาอย่างฉับพลัน
ลู่เซิ่งลืมตาอย่างช้าๆ จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
‘วิชาอาทิตย์เวโรจน์ไม่ธรรมดาจริงๆ เราฝึกฝนมานานในที่สุดก็เข้าสู่ระดับเบื้องต้นแล้ว’สำหรับลู่เซิ่งแล้ว วิชาจริงแท้ที่เหมือนวิชากำลังภายใน อย่างน้อยต้องเกิดความรู้สึกถึงปราณเข้าสู่ระดับเบื้องต้นก่อน จึงจะใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนยกระดับและปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว
‘ดีปบลู’ ลู่เซิ่งเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมา
เครื่องมือปรับเปลี่ยนอยู่กับลู่เซิ่งมาหลายปี ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ขึ้นอย่างไม่รู้ตัว สีของกรอบในตอนแรกหายไป กลายเป็นสีขาวอมเทากึ่งโปร่งแสงที่เป็นทางการและเรียบร้อยกว่าเดิม
ลู่เซิ่งเลื่อนสายตาลงด้านล่างไปตามกรอบ ไม่นานก็เจอวิชาอาทิตย์เวโรจน์ที่เพิ่งโผล่ขึ้นในกรอบ
[วิชาอาทิตย์เวโรจน์: เบื้องต้น (ทั้งหมดห้าระดับ) ผลพิเศษ: ปราณจริงแท้สีแดงทองเบื้องต้น จิตใจมั่นคง]
‘ปราณจริงแท้สีแดงทอง…’ ลู่เซิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากตนฝึกฝนวิชาอาทิตย์เวโรจน์นี้สำเร็จ ปราณจริงแท้ในร่างกายก็กลายเป็นสีทองจางๆ ทั้งหมด เหมือนกับมีทรายสีทองแทรกอยู่
เขายื่นมือออกไป ทรายเล็กๆ สีทองอ่อนเบาบางชั้นหนึ่งไหลออกมาอย่างช้าๆ
‘นี่คือปราณจริงแท้สีแดงทองที่เป็นพื้นฐานของวิชาอาทิตย์เวโรจน์หรือ’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่เข้าใจว่าปราณจริงแท้วิชาอาทิตย์เวโรจน์นี้เปลี่ยนแปลงเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร
‘คัมภีร์บอกไว้ว่า ผู้มีสายเลือดมีจุดลมปราณเยอะกว่าคนธรรมดาสามจุด ไม่ได้อยู่บนตัว แต่อยู่ด้านนอก จุดลมปราณที่วิชาอาทิตย์เวโรจน์ต้องใช้อยู่ห่างจากสะดือหนึ่งชุ่น[1] หลังจากสารกายที่ดูดซับหรือว่าปราณจริงแท้อื่นๆ ของร่างหลักไหลเวียนผ่านสายเลือดเฉพาะตัวในร่างแล้ว จะซึมออกมาด้านนอกร่างกายโดยมีตับเป็นศูนย์กลาง จากนั้นก็ส่งถ่ายเข้าไปในจุดลมปราณนี้ สุดท้ายก็ประสานกับบทสวด กลายเป็นปราณจริงแท้สีแดงทอง’ ลู่เซิ่งทบทวนกระบวนการฝึกฝนทั้งหมด
การฝึกฝนปราณจริงแท้มีความซับซ้อนกว่าวิชากำลังภายในและแก่นมารมาก เพราะต้องใช้สายเลือด อวัยวะ จุดลมปราณด้านนอกร่าง รวมถึงบทสวด
ทุกขั้นตอนเข้มงวดเป็นอย่างมาก ตามบันทึกบนคัมภีร์แล้ว ขอแค่พลาดไปก้าวเดียวก็จะออกห่างไปพันลี้
ลู่เซิ่งจับปราณจริงแท้สีทองอ่อนในมือ จากนั้นก็โปรยไปบนพื้น
ปราณจริงแท้อันน้อยนิดที่เขาฝึกฝนจนถึงระดับเบื้องต้นพลันกระจายอย่างแผ่วเบาไปบนพื้นเหมือนกับเม็ดทราย
ลู่เซิ่งเห็นอิฐบนพื้นที่เปื้อนปราณจริงแท้ร้อนขึ้นกลายเป็นสีแดง ทั้งยังปล่อยไอความร้อนออกมา ตะไคร่น้ำบนผิวแห้งม้วนและดำเกรียม น้ำค้างแข็งที่ปกคลุมตอนกลางคืนส่วนหนึ่งถูกระเหยหายไป
‘วิธีสังหารที่ใช้อุณหภูมิสูงๆ เป็นหลักอีกแล้วหรือ’ ลู่เซิ่งนึกเอะใจ
วิชากำลังภายในมากมายที่เขาเคยฝึกฝน รวมถึงวิถีแปดมารสูงสุดที่เขาฝึกในสำนักมารกำเนิดล้วนเกี่ยวข้องกับอุณหภูมิสูงทั้งสิ้น
นึกไม่ถึงว่าขนาดปลอมแปลงสถานะเมื่อมาถึงต้าอิน ก็ยังเป็นทิศทางฝึกฝนปราณจริงแท้ประเภทความร้อนสูงอีก
‘กลายเป็นระดับเบื้องต้นแล้ว ยกระดับไปในครั้งเดียวเลยหรือว่าจะ…’ ในที่สุดลู่เซิ่งก็พิจารณาถึงปฏิกิริยาและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเพราะความผิดปกติจากความก้าวหน้าในด้านการฝึกฝน
เขาลังเลเล็กน้อย แล้วหยิบสมุดเล่มเล็กสีเหลืองอมแดงใหม่เอี่ยมออกมาจากอกเสื้อ บนสมุดบันทึกคำสำคัญมากมายไว้อย่างละเอียด คนปกติอ่านไม่เข้าใจ
พวกนี้เป็นวิชาฝึกฝนหลักที่ลู่เซิ่งได้มาจากอาจารย์เฮยหนิง วิชาฝึกฝนหลักนี้แตกต่างกับวิชาอาทิตย์เวโรจน์ สิ่งที่ฝึกฝนเป็นจุดลมปราณอีกจุด ทั้งยังเป็นวิชาที่สามารถฝึกฝนสองวิชาพร้อมกันได้
มีคำสำคัญบางส่วนที่ลู่เซิ่งตั้งใจจดบันทึกไว้บนสมุดเล่มเล็กเพื่อไม่ให้ลืม มีแต่ตัวเขาเองที่อ่านเข้าใจ
‘วิถีฟากฟ้าวิญญาณ…ชื่อยิ่งใหญ่มาก แต่ไม่รู้ว่าประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรมเป็นอย่างไร’ ลู่เซิ่งรู้จักรูปแบบการฝึกฝนในสำนักพันอาทิตย์ คือฝึกฝนวิชาหนึ่งเป็นหลัก จากนั้นก็ฝึกฝนเพิ่มตามใจ ขอแค่มีคุณสมบัติมากพอ ท่านจะฝึกฝนเพิ่มกี่วิชาก็ได้
ก๊อกๆๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังมาจากด้านนอกประตูเรือน
“ผู้ใด” ลู่เซิ่งได้สติกลับมามองประตูเรือน ตอนนี้ยังไม่ถึงกลางดึก สำหรับนครเขตจันทราสารทแล้ว ช่วงเวลาสองสามทุ่มเป็นแค่เวลาที่ชีวิตกลางคืนเพิ่งเริ่มเท่านั้น
ต่อให้อยู่ในเรือนทางด้านนี้ ลู่เซิ่งก็ยังได้ยินเสียงร้องเพลงดื่มสุราอย่างเลือนรางที่แว่วมาจากท้องฟ้ายามราตรีด้านนอกได้
“ศิษย์น้องลู่ ข้าหยางซวี่ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจางซื่อหลงอยู่กับท่านหรือไม่” ด้านนอกมีเสียงบุรุษที่เป็นมิตรและหนักแน่นดังมา
“หยางซวี่หรือ” ลู่เซิ่งลุกขึ้น แล้วยกมือโบกไปทางประตูเรือน
แอ๊ด…
ประตูเรือนเปิดออก บุรุษหน้าเหลี่ยมที่ร่างกายสูงชะลูดสมส่วนคนหนึ่งประสานมือ จากนั้นก็เดินเข้ามา
ถ้าบนตัวบุรุษผู้นี้ไม่มีกลิ่นอายปราณจริงแท้สีแดงทองที่หนาแน่นกระจายอยู่ เกรงว่าคนอื่นๆ คงนึกว่าเขาเป็นอาจารย์สอนหนังสือทั่วไปได้ง่ายๆ
ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกหรือหน้าตา ล้วนไม่มีมาดของศิษย์จริงแท้แห่งสำนักพันอาทิตย์
แต่ลู่เซิ่งกลับรู้ว่าหยางซวี่ผู้นี้เป็นศิษย์จริงแท้คนแรกของสำนักพันอาทิตย์ในนครเขตจันทราสารท และจะเป็นเจ้าสำนักสายย่อยในอนาคตที่ได้รับการกำหนดตัวไว้แล้วด้วย
“ที่แท้เป็นศิษย์พี่หยางซวี่นี่เอง ได้ยินชื่อมานาน เสียมารยาทแล้ว” ลู่เซิ่งเข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“มิกล้า ข้าต่างหากที่ได้ยินชื่อศิษย์น้องมานาน” หยางซวี่เอ่ยเสียงฝืดเฝือ “ที่มาในครั้งนี้ก็เพื่อส่งภารกิจไล่ล่าที่สำนักระดับบนสั่งลงมาให้ศิษย์น้องโดยเฉพาะ เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นเฉินเหยียนผู้อาวุโสเฉินจัดการ แต่เผอิญข้าดื่มสุราอยู่ด้านนี้พอดี และอยากมาดื่มกับผู้อาวุโสจาง เลยถือโอกาสมาส่งภารกิจให้”
“ศิษย์พี่ตามสบายเถอะ” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มาดื่มด้วยกันสักสองสามจอกดีหรือไม่”
“เอ่อ…เรื่องดื่มสุราช่างก่อนเถอะ กล่าวตามตรง เป็นเพราะเรื่องอาจารย์ของศิษย์น้อง แค่พูดด้วยใกล้ๆ ก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว หากดื่มสุราด้วยกันอีก…” หยางซวี่โบกมือพลางยิ้มอย่างหนักใจ “เจ้ายังไม่รู้ว่าคนรุ่นก่อนที่เคยถูกบันทึกไว้ แค่พี่น้องร่วมสำนักเดียวกันที่ดื่มสุราด้วยกันและพลั้งมือฆ่ากันตายก็มีสองคนแล้ว… ”
“เอ่อ…” พอพูดถึงเรื่องนี้ ลู่เซิ่งก็รู้คร่าวๆ แล้วว่ากิตติศักดิ์ของเฮยหนิงอาจารย์จอมเอาเปรียบของตนมาจากไหน
“นี่เป็นคู่มือภารกิจ หลังอ่านเสร็จต้องเผาทิ้ง” หยางซวี่ส่งสัมภาระห่อเล็กๆ ที่แบกบนหลังให้ลู่เซิ่ง หลังจากรับไว้แล้ว เขาก็โบกมือ “เอาล่ะ จัดการเรียบร้อย ข้าขอกลับก่อน ดึกขนาดนี้แล้วศิษย์น้องยังฝึกอยู่อีก ขยันจริงๆ”
ลู่เซิ่งกล่าวถ่อมตัวหลายประโยค ทั้งสองไม่ได้มีอะไรพูดกันอยู่แล้ว จึงบอกลากันเท่านี้
หยางซวี่หมุนตัวออกจากเรือนไป ไม่นานก็ขึ้นรถม้าธรรมดาคันหนึ่งข้างถนน ในตัวรถมีเงาคนหลายสายล้อมวงหัวเราะต่อกระซิกกันเสียงดัง
“สหายหยาง เรียบร้อยหรือยัง เร็วหน่อยๆ! ขาดท่านคนเดียว เมื่อครู่คุยถึงไหนแล้วนะ” มีคนตะโกนขึ้น
ลู่เซิ่งเหลือบมองคนในรถ ล้วนเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีกลิ่นอายพิเศษบนตัวแม้แต่น้อย
หยางซวี่กลับโบกมือพร้อมกับขึ้นไปบนรถ เล่นทายนิ้วดื่มสุรากับพวกเขา ก่อนจะค่อยๆ ผละจากถนนละแวกนี้
ลู่เซิ่งปิดประตู ตอนแรกเขายังลังเลอยู่ว่าจะยกระดับอย่างรวดเร็วดีหรือไม่ แต่หลังจากเห็นหยางซวี่ ความละล้าละลังเมื่อก่อนหน้านี้ของเขาก็หายไปอย่างอธิบายไม่ได้ หยางซวี่ซึ่งเป็นศิษย์จริงแท้อันดับหนึ่งก็ทำตัวเงียบๆ ถึงขั้นนี้เช่นกัน
‘อดทนมาตั้งนาน จะมาพลาดก้าวสุดท้ายไม่ได้’
เขากลับมานั่งหลับตาขัดสมาธิที่ตำแหน่งเดิม แล้วเริ่มการฝึกฝนวิชาอาทิตย์เวโรจน์ต่อ สารกายจำนวนมากถูกเขาดูดซับอย่างต่อเนื่องโดยดึงลงมาจากเหนือศีรษะ เส้นสีทองในสารกายไหลเวียนและหมุนวนอย่างเชื่องช้า
อัจฉริยะแห่งต้าอินไม่ได้มีน้อยนิดเหมือนอย่างต้าซ่ง ขอแค่แอบๆ พัฒนาไปอย่างมั่นคง ไม่ให้น่าเหลือเชื่อเกินไป ก็สมควรไม่มีปัญหา
ความสนใจของเขารวมอยู่บนวิชาอาทิตย์เวโรจน์อย่างรวดเร็ว
‘ยกระดับถึงระดับที่หนึ่ง’ ลู่เซิ่งเริ่มจ้องมองกรอบ
ครู่ต่อมา
ซู่…
กรอบของวิชาอาทิตย์เวโรจน์ค่อยๆ จางลง ผ่านไปหลายอึดใจ กรอบกลับมาชัดอีกครั้ง ใบหน้าของลู่เซิ่งเป็นสีทองแวบหนึ่งก่อนกลับเป็นอย่างเดิม
……………………………………….
[1] ชุ่น เป็นหน่วยวัดของจีนโบราณ 1 ชุ่น = 1 นิ้ว