ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 338 ลืมเลือน (4)
บทที่ 338 ลืมเลือน (4)
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วมุ่น ข้ามระยะห่างไปโผล่ตรงตำแหน่งที่เด็กคนนั้นยืนอยู่ในก้าวเดียว ก่อนจะก้มมองพื้น
‘ไม่มีรอยเท้าจริงๆ ด้วย…สัมผัสของเราตรวจจับไม่ได้ว่ามีกลิ่นอายเข้าใกล้…’ เขาสัมผัสความผิดปกติได้บางส่วนแล้ว
‘สถานที่นี้…’ ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก จากนั้นสะกิดเท้าขวา ร่างลอยขึ้นไปในอากาศอย่างแผ่วพลิ้ว
สิ่งก่อสร้างที่อยู่รอบๆ เปลี่ยนเป็นเล็กลงด้วยความเร็วสูง เขาพุ่งขึ้นท้องฟ้ามามากกว่าร้อยหมี่ในพริบตา แล้วก้มหน้าลงมองทั่วทั้งคฤหาสน์ตระกูลเฟ่ย
“เอ๋?” หลังจากมองดู ลู่เซิ่งพลันแปลกใจมากกว่าเดิม
เขาเพิ่งกระโดดขึ้นมาแค่นิดเดียว แต่ว่าคฤหาสน์ตระกูลเฟ่ยด้านล่างกลับถูกหมอกสีเทาหนาหนาแน่นปกคลุมเอาไว้ ทำให้เขาไม่เห็นสิ่งใด
ลู่เซิ่งปล่อยให้แรงโน้มถ่วงพาเขาร่วงตกลงไป เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านข้างหู หลังจากตกลงมาด้วยความเร็วสูง เขาก็ค่อยๆ เห็นโครงสร้างสิ่งก่อสร้างอันเล็กจ้อยส่วนหนึ่งของตระกูลเฟ่ยแล้ว ทว่ายังคงมองเห็นไม่ชัดอยู่ดี
จนกระทั่งตกมาถึงความสูงระดับเจ็ดแปดหมี่ ภาพของตระกูลเฟ่ยที่อยู่รอบๆ ก็ชัดเจนขึ้นโดยสมบูรณ์ แต่สิ่งที่เห็นได้บนความสูงเจ็ดแปดหมี่มีแต่อาณาเขตบริเวณรอบๆ ที่ไม่ใหญ่มากเท่านั้น
ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงที่เดิมอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็มองชิงช้าด้านหลังอีกครั้ง ด้านหลังชิงช้ามีทางออกสวนดอกไม้ ไม่ทราบว่าเชื่อมไปยังสถานที่ใด
เขาชะงักเล็กน้อย แล้วมุ่งหน้าไปยังทางออกนั้น
…
ซือหม่าซิ่วประคองเฟ่ยไป๋หลิงที่ร่างอ่อนระทวยกลับมาถึงในห้องนอนที่ตนใช้ซ่อนตัวก่อนหน้านี้
เฟ่ยไป๋หลิงหายใจหอบหนักหน่วง เพิ่งจะเข้ามาก็งุนงงทันที
ตรงมุมห้องมีคนคนหนึ่งยืนหันหลังให้พวกนาง เหมือนกับกำลังกินอะไรอยู่เงียบๆ ส่งเสียงเคี้ยวเบาๆ เป็นระยะ
“เขา…เขาเป็นใคร” นางตัวสั่น มองคนผู้นั้นพร้อมถามเสียงกระซิบ
คนผู้นั้นเหมือนรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง ไหล่ที่ยกอยู่หยุดค้าง
“ชู่!” ซือหม่าซิ่วรีบปิดดวงตาของนาง “อย่ามองเขา ขอแค่อย่ามองเขา เขาจะไม่สนใจพวกเรา!” เขากดเสียงจนแผ่วต่ำ ในเสียงแฝงความหวาดกลัว
เฟ่ยไป๋หลิงหัวใจเต้นกระหน่ำ รีบปิดดวงตาลง ไม่กล้ามองดูต่ออีก
“ไม่ต้องกลัว…ข้าพอจะรู้กฎแล้ว ขอแค่ไม่มองเขา เขาก็จะไม่สนใจพวกเรา เจ้าคิดเสียว่าเขาไม่มีตัวตน” ซือหม่าซิ่วพูดจบก็ไอสองสามครั้ง รีบใช้แขนเสื้อปิดปากไว้ ตอนที่เลื่อนแขนเสื้อออก ด้านบนก็เปื้อนเลือดสดๆ ส่วนหนึ่ง
เฟ่ยไป๋หลิงพยายามไม่มองคนผู้นั้น ก่อนจะเดินตามซือหมาซิ่วเข้าไปตรงตำแหน่งของเตียงด้านใน
ห้องนี้มีขนาดใหญ่มาก ใช้ม่านกันลมแบ่งตรงกลางเป็นสองส่วน ด้านหนึ่งตั้งเตียงและตู้เสื้อผ้า อีกด้านตั้งโต๊ะหนังสือและโต๊ะประทินโฉม
คนประหลาดผู้นั้นยืนหันหลังให้พวกเขาอยู่ตรงมุมกำแพงข้างโต๊ะประทินโฉม
ทั้งสองเดินไปด้านหลังม่านกันลม ครั้นรู้สึกว่ามีของบังสายตาไว้ จึงค่อยโล่งอกเล็กน้อย
“เหตุใดพวกเราถึงไม่เปลี่ยนห้อง ไฉนจึงต้องมาที่นี่” เฟยไป๋หลิงอดถามเบาๆ ไม่ได้ “นอกจากนี้ ผู้ตรวจการณ์ซือหม่าตอนที่ท่านเข้ามาเห็นน้องสาวของข้าหรือไม่ บิดามารดาของข้าเล่า” นางมีคำถามมากมายในใจที่อยากได้คำตอบ ตอนนี้อุตส่าห์เจอคนปกติ ความสงสัยในใจทะลักออกมาเหมือนกับน้ำตก
ซือหม่าซิ่วยิ้มหนักใจพลางโบกมือ
“พอข้าได้หนังสือเลือดของเจ้าก็มาทันที…”
“หนังสือเลือดหรือ หนังสือเลือดอะไร” มิคาดเพิ่งเกริ่นนำ เฟ่ยไป๋หลิงก็ตัดบทเขาและจ้องมองเขาอย่างฉงนสงสัย
“ข้าเขียนหนังสือเลือดตอนไหน” ลูกตานางกลอกกลิ้งไปทั่วตอนพูด ม่านตารวมศูนย์ทุกตำแหน่ง กลับไม่ได้รวมอยู่บนร่างซือหม่าซิ่วที่อยู่ด้านหน้า
มิหนำซ้ำลูกตาของนางยังไม่ได้หมุนพร้อมกัน หากเป็นข้างหนึ่งอยู่ซ้าย ข้างหนึ่งไปขวา ข้างหนึ่งเหลือบขึ้นบน ข้างหนึ่งเหลือบลงล่าง ทั้งยังมีความเร็วที่สูงมาก เหมือนกับกระสับกระส่ายกระวนกระวาย
การเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะทำได้
“ตาของเจ้า…” ซือหม่าซิ่วจิตใจเย็นเยียบ ร่างถอยหลังเล็กน้อย
“ตาอะไร” เฟ่ยไป๋หลิงเหมือนไม่รู้สึกตัว “ใต้เท้าผู้ตรวจการณ์ข้าไม่เคยเขียนหนังสือเลือดอะไรเลยนะ”
“อย่าง…อย่างนั้นหรือ” ซือหม่าซิ่วกะพริบตา พอด้านหน้าพร่ามัว เฟ่ยไป๋หลิงที่อยู่ตรงหน้าก็อ่อนแองดงามเหมือนเดิม คล้ายกับเมื่อครู่เขาเพียงแค่ตาฝาดไปเอง
“ไม่…ไม่มีอะไร…” ซือหม่าซิ่วสูดหายใจเฮือกหนึ่ง
“หลังจากข้าเข้ามา ก็ตามหาเจ้าไปทั่ว แต่ไม่นานก็พบว่าสถานที่นี้ใหญ่เกินไป มีทางโค้งมากมายจนเกือบหลง จากนั้นก็เจอคนผู้นั้นโดยบังเอิญ” เขาชี้ไปยังมุมกำแพง “หลังจากเจอสถานที่ซ่อนตัวที่ปลอดภัยแล้ว ก็เจอเรื่องเหนือความคาดหมายส่วนหนึ่งโดยบังเอิญ และได้แผนที่เข้า จึงใช้แผนที่มาถึงที่นี่”
“อย่างนั้นหรือ” เฟ่ยไป๋หลิงยังคงมองเขาอย่างคาดหวัง “ท่านเจอน้องสาวของข้าแล้วหรือ บิดามารดาของข้าเล่า”
“น่าเสียดาย ไม่ได้เจอ”
“อย่างนั้นหรือ อย่างนั้นหรือ ท่านก็ไม่เจอเหมือนกัน…” เฟ่ยไป๋หลิงก้มหน้าพึมพำ “เช่นนั้นพวกเขาไปที่ไหนเล่า”
ซือหม่าซิ่วถอนใจ รู้สึกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บและเหน็ดเหนื่อยเกินไปจริงๆ ถึงกับเกิดความรู้สึกหลอนเช่นกัน
“จริงสิ หลายวันนี้เจ้ากินอาหารอย่างไร ในคฤหาสน์แห่งนี้หาคนธรรมดาไม่ได้เลยกระมัง”
“กินหรือ ของกินหรือ” เฟ่ยไป๋หลิงพลันสับสน จากนั้นก็ก้มหน้าลง “ใช่แล้ว…ข้ากินอะไร กินอะไร”
ซือหม่าซิ่วนิ่วหน้า รู้ว่าสตรีตรงหน้าเป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะเกิดโรคทางประสาทที่แปลกประหลาดบางอย่างเพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่น่าหวาดกลัวแบบนี้มานาน
“ช่างเถอะ อย่าเพิ่งไปพูดถึงเลย พวกเราหาวิธีออกไปจากที่นี่ก่อน คฤหาสน์แห่งนี้ประหลาดยิ่ง เมื่อวานข้าเข้ามา ระหว่างนั้นอยากจะออกไปสองครั้ง กลับไม่เจอประตูทางออก”
เฟ่ยไป๋หลิงม่านตาหดตัว จากนั้นก็กลับเป็นปกติทันที “ข้ารู้ว่าตรงไหนที่ใช้ออกไปได้” นางเงยหน้า “นอกจากประตูหลักแล้ว ยังมีคฤหาสน์อีกสองแห่งที่ออกไปได้อีก”
“พาข้าไป พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ทันที!” ซือหม่าซิ่วกระตือรือร้นขึ้นมา
“ตก…ตกลง…” เฟ่ยไป๋หลิงพยักหน้า นางเงยหน้าขึ้นพลางนวดเบ้าตาที่อิดโรย อยู่ๆ หางตาก็เหมือนเหลือบเห็นสิ่งผิดปกติ
นางหันไปดู
กรี๊ด!
นางกรีดร้องขึ้นทันที
บนม่านกันลมทางฝั่งขวาของนาง มีใบหน้าคนนูนขึ้นบนม่านกันลมที่ทำจากผ้า
เป็นคนที่อยู่ตรงมุมกำแพง! เขากำลังจ้องมองคนทั้งสองโดยมีม่านกันลมคั่นอยู่ ทั้งยังกดใบหน้าบนม่านกันลม คล้ายต้องการดันสิ่งกีดขวางเพียงหนึ่งเดียวนี้ให้ทะลุ
“ไป!” ซือหม่าซิ่วตัดสินใจทันที เขาฉุดลากเฟ่ยไป๋หลิงออกวิ่ง ทั้งสองอ้อมม่านกันลมแล้วพุ่งออกประตู
ครืนๆ…
เพิ่งจะออกจากห้องไปถึงระเบียง ทั้งสองก็ค้นพบอย่างงุนงงว่า เมฆดำผืนใหญ่ปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ เมฆดำบดบังแสงไว้ ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มอย่างรวดเร็ว ความมืดมิดโรยตัวมาทีละนิดๆ จากระเบียงด้านหลังพวกเขา
ระเบียงที่เดิมสว่างไสวมืดลงทีละช่วงๆ และเข้าใกล้มาอย่างรวดเร็วราวกับถูกย้อมด้วยหมึกดำ
“ไป!” พอซือหม่าซิ่วเห็นปรากฏการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับกฎธรรมชาตินี้ ก็รีบแบกเฟ่ยไป๋หลิงขึ้นหลัง ออกวิ่งทันที
ครืน!
สายฟ้าแลบขึ้น ในความมืดมิดบนระเบียง เด็กผู้หญิงสวมกระโปรงขาวคนหนึ่งซึ่งปล่อยผมสยายจ้องมองทั้งสองหนีไป
นางเดินไปด้านหน้าทีละก้าวๆ ทุกสิ่งที่เดินผ่านล้วนถูกย้อมเป็นสีดำขลับ
เมฆดำบนท้องฟ้าปกคลุมแสงสว่างด้านหน้านางทั้งหมดไปพร้อมกับฝีเท้าของนาง
ครืน
สายฟ้าอีกสายแลบขึ้น
ซือหม่าซิ่วแบกเฟ่ยไป๋หลิงขึ้นหลัง ทั้งสองวิ่งตะบึง เลือดหยดลงไปด้านล่างอย่างต่อเนื่องเพราะแผลที่ข้างเอวของซือหม่าซิ่วเปิดออกอีกแล้ว
“ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ!? ท่านกำลังเลือดไหล!?” เฟ่ยไป๋หลิงอดร้องอย่างตกใจไม่ได้
“ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร พวกเราต้องออกจากที่นี่ทันที” ซือหม่าซิ่วอดกลั้นความเจ็บปวดโดยไม่แสดงสีหน้า นอกจากจะหน้าซีดขาวไปบ้าง ที่เหลือล้วนไม่ต่างจากคนธรรมดาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ
“ปลอดภัยแล้ว ด้านหลังพวกเราไม่มีอะไรไล่ตามมาแล้ว” เฟ่ยไป๋หลิงหันไปมอง ด้านหลังว่างเปล่า
ไม่ทราบว่าพวกเขาวิ่งมาถึงประตูของโถงจัดเลี้ยงตั้งแต่เมื่อไหร่ ประตูใหญ่ของโถงอ้าออกครึ่งหนึ่ง ลมเย็นจากด้านในพัดพรูออกมา เสียดแทงกระดูกอยู่บ้าง
“อย่างนั้นหรือ” ซือหมาซิ่วโล่งอก จากนั้นก็วางเฟยไป๋ซิ่วลง
“ที่นี่…เป็นที่ที่พวกท่านพ่อใช้จัดงานประชุม…” เฟ่ยไป๋หลิงมองดูเครื่องเรือนพังๆ ด้านในโถงใหญ่อย่างสับสนหลังจากยืนมั่นแล้ว
แค่มองผ่านประตูที่อ้าอยู่ นางก็เห็นจอกสุราที่กระจายเกลื่อนบนพื้น โต๊ะเตี้ยที่พลิกคว่ำ พรมที่ขึ้นรา และผนังที่สกปรก
“หาทางออกก่อนเถอะ!” ซือหม่าซิ่วเร่ง
“ที่นี่…เหมือนมีเส้นทางลับ…” เฟ่ยไป๋หลิงกล่าวอย่างลังเลก่อนจะเข้าไปในโถงใหญ่
โถงใหญ่เต็มไปด้วยหยากใย่ ฝุ่น ถ้วยแก้วที่แตกร้าว และคราบสีดำที่ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดกระจายอยู่เต็มผนัง
“ตรงนี้!” ไม่นานนักเฟยไป๋หลิงก็เจอทางเข้าออก มันอยู่ข้างปล่องควัน พอเปิดอิฐก้อนหนึ่งบนผนัง ก็จะมีทางลับที่ใช้ออกไปสายหนึ่ง
เพียงแต่มันอยู่ห่างจากพื้นสองหมี่กว่าๆ นางต้องใช้ม้านั่งรองไว้จึงค่อยเปิดช่องได้
“ข้าเข้าไปก่อน” ซือหม่าซิ่วมองด้านในทางลับ มืดมิดมองไม่เห็นสิ่งใด
“ได้!” เฟ่ยไป๋หลิงพยักหน้า แล้วถอยหลีกทางให้
ซือหม่าซิ่วกวาดตามองโถงใหญ่ หลังจากยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไร ค่อยกระโดดมุดเข้าไปในทางลับอย่างสบายๆ
เขาคลานเข้าไปด้านในได้ระยะหนึ่ง พอพบว่าด้านในไม่มีฝุ่นและไม่มีอันตราย ก็กลับออกมาถึงทางเข้าอย่างรวดเร็ว
“มา ข้าจะดึงให้!” เขามุดหัวออกมา
“ตกลง”
เฟ่ยไป๋หลิงขึ้นม้านั่งแล้วยื่นมือออกไป
พรึ่บ…
อยู่ๆ แสงในโถงใหญ่ก็มืดลงอย่างรวดเร็ว แค่หนึ่งอึดใจ โถงใหญ่ก็ถูกเมฆดำบังแสงสว่างโดยสิ้นเชิง ก่อนจะตกสู่ความมืดมิด
โครม
โอ๊ย
เฟ่ยไป่หลิงตกใจ จึงเซตกลงไปบนพื้น
“ไม่เป็นไรกระมัง” ซือหม่าซิ่วรีบล้วงชุดไฟออกมาจากบนตัว แต่ทำอย่างไรก็จุดไม่ติด
“ไม่เป็นไร ข้าลุกขึ้นมาแล้ว ยื่นมือไปแล้ว” ในความมืดมีเสียงของเฟ่ยไป๋หลิงดังมา
“ดีมาก เร็ว ข้าจะดึงตัวเจ้า!” เขารีบยื่นมือออกไป ไม่ทันไรก็จับมือเล็กๆ ที่เย็นเฉียบข้างหนึ่งได้ จากนั้นก็ออกแรงดึงคนเข้ามา
…
“เจ็บจัง…” เฟ่ยไป๋หลิงนวดสะโพก หยัดตัวขึ้นนั่ง
“ไม่เป็นไรกระมัง ด้านหน้าทางลับเส้นนี้ถูกอุดไว้ เมื่อครู่ข้ามองไม่เห็น พวกเราต้องรีบออกจากที่นี่ หาทางออกอื่น” เสียงของซือหม่าซิ่วดังมาจากด้านหน้านาง
“ตกลง” เฟ่ยไป๋หลิงลุกขึ้น พอเห็นเงาคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า ก็รีบพยักหน้า “ข้ารู้ว่ายังมีอีกที่หนึ่งที่ใช้ออกไปได้”
“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นพวกเรารีบไปเถอะ” เงาคนดึงนางพร้อมกับเร่งฝีเท้าเดินออกโถงใหญ่ แล้ววิ่งกลับทางเดิมไปตามระเบียงอย่างเร่งรีบ
“เอ๋? พวกเราเหมือนไปผิดทาง” เฟ่ยไป๋หลิงประหลาดใจ
“ไม่ ไม่ผิดหรอก” เงาคนตอบ
“นี่เป็นทางกลับไป ทางกลับไป!” เฟ่ยไป๋หลิงรู้สึกผิดปกติแล้ว
“ก็ทางกลับไปอย่างไรเล่า” เงาคนนั้นไม่หันหน้ากลับมา แรงที่ใช้จับมือนางเพิ่มมากขึ้นและรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งสองวิ่งผ่านห้องแล้วห้องเล่า พุ่งออกจากระเบียง แล้วตัดทะลุสวนดอกไม้เล็กๆ
“ที่นี่คือ…ไม่! ข้าไม่อยากกลับไป!” ในที่สุดเฟยไป๋หลิงก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ นางเริ่มดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่มือถูกจับไว้แน่น ไม่ว่าทำอย่างไรก็สลัดไม่หลุด
คิกๆๆ…
ท่ามกลางความมืดมิด เห็นเงาร่างเตี้ยเล็กหลายร่างที่กระจัดกระจายอยู่ในสวนดอกไม้ ส่งเสียงหัวเราะของเด็กๆ ได้อย่างเลือนราง เงาร่างเหล่านี้ต่างก็หันหน้ามาทางนาง เหมือนกำลังมองนางอยู่
“ไม่…ไม่นะ…!” เฟ่ยไป๋หลิงน้ำตาทะลัก นางถูกฉุดวิ่งไปยังห้องนอนที่ตนเองอยู่ คนที่ฉุดลากนางไม่พูดอะไรสักคำ เอาแต่วิ่งไปด้านหน้าท่าเดียว
ทั้งสองเริ่มวิ่งเลียบกำแพงของสวนดอกไม้ เด็กที่อยู่ตรงหน้าเริ่มเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“คิกๆๆ…”
“เด็กผู้หญิง”
“เด็กผู้หญิง”
“เด็กผู้หญิง”
“เด็กผู้หญิง”
พวกเด็กๆ เริ่มเร่งฝีเท้าเข้ามาใกล้ เฟ่ยไป๋หลิงตัวสั่นเทา แผ่นหลังเย็นยะเยือก ได้แต่ถูกลากอย่างมึนชาขณะมองดูเงาสีดำเหล่านั้นค่อยๆ เข้ามาใกล้
ในความมืด นางหนาวเหน็บไปทั่วร่าง ถึงขั้นแม้แต่การหายใจก็ใกล้หยุดชะงัก ได้แต่มองดูเงาของเด็กๆ ที่ยิ่งมายิ่งเข้าใกล้อย่างเฉยชา
เด็กคนที่อยู่ด้านหน้าสุดยื่นมือเข้ามาหานาง
พรึ่บ
อยู่ๆ คนที่ฉุดลากนางอยู่ด้านหน้าก็หายไป เฟ่ยไป๋หลิงทรุดนั่งลงกับพื้นตามแรงเฉื่อย และตกลงไปกลางวงล้อมของเหล่าเด็กๆ พอดี
“คิกๆๆ…”
แต่ละคนเดินเข้ามาหานางจากทั่วทุกมุมอย่างช้าๆ พวกเขาทั้งหมดค่อยๆ เอื้อมมือออกไปหานาง
“เด็กผู้หญิง”
“เด็กผู้หญิง”
“เด็กผู้หญิง”
“เด็กผู้หญิง”
“เด็กผู้…”
ตูม!
อยู่ๆ ก็เกิดเสียงดังสนั่นจากกำแพงด้านข้าง กรวดหินนับไม่ถ้วนปลิวออกมาเหมือนกระสุนปืนใหญ่ แล้วกระแทกเข้ากับประตูห้องด้านหลังอย่างรุนแรง
“ข้าถึงได้เกลียดเขาวงกตนัก” เงาร่างกำยำสายหนึ่งถือกระบี่ที่มีควันขาวลอยกรุ่นเดินเข้ามาจากช่องกำแพง
เงาคนเปลือยอก กล้ามเนื้อเกี่ยวกระหวัดกันเหมือนกับรากไม้พันปีที่บิดเบี้ยว ทั้งยังสะท้อนประกายเหมือนเหล็กกล้า
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือบนร่างของคนผู้นี้มีลวดลายลักษณะตาข่ายสีแดงเลือดจำนวนมาก ลวดลายเหล่านี้ส่องแสงที่ชัดเจนและสยดสยองในความมืดมิด ราวกับมีแมลงสีเลือดหลายตัวกำลังไต่อยู่
……………………………………….