ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 339 ลืมเลือน (5)
บทที่ 339 ลืมเลือน (5)
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
ประกายกระบี่สามสายสาดสว่างขึ้นอย่างฉับพลัน ก่อนจะค่อยๆ ดับลง
เงาร่างของเด็กหลายคนพากันแตกกระจายออกเป็นหลายส่วน แล้วกระจัดกระจายกลายเป็นฝุ่นสีขาวอย่างไร้สุ้มเสียง
แสงสีแดงที่สาดขึ้นอย่างกะทันหันส่องสว่างความมืดมิดบางส่วน
แม้ว่าจะเป็นแค่แสงสีแดงซึ่งเหมือนรอยสักบนร่างกับประกายกระบี่ที่ผู้มาใช้ แต่ว่าก็แยงตาเป็นพิเศษท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มืดสนิทเหมือนหมึกแบบนี้
เฟ่ยไป๋หลิงสะดุ้งโหยง หัวใจเต้นกระหน่ำ ไม่อาจสงบใจได้ในเวลาสั้นๆ
นางกวาดตามองไปทั่ว พอเห็นเงาร่างของเด็กๆ ที่เมื่อครู่ยังอยู่ด้านข้าง หายวับไปทีละคน จึงค่อยระบายลมหายใจอย่างแรง
ซู้ด…
นางสูดหายใจเฮือกใหญ่ แล้วก้มหน้าที่อาบเหงื่อลง
เกือบไปแล้ว…เกือบถูกเงาเด็กเหล่านั้นจับได้จริงๆ แล้ว โชคดีที่เงาคนซึ่งปรากฏตัวอย่างอธิบายไม่ได้นี้ทำลายกำแพงบุกเข้ามา
“ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิต” เฟ่ยไป๋หลิงเงยหน้าขึ้น แล้วพยายามลุกขึ้นยืน แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ขาของนางยังอ่อนระทวย ได้แต่นั่งแหมะอยู่กับพื้น
“เจ้าเป็นคนของคฤหาสน์แห่งนี้หรือ” ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ กลิ่นอายแปลกประหลาดหลายสายกระจายอยู่ในอากาศ
ไม่ใช่ปราณหยิน ไม่ใช่กลิ่นอายผี และไม่ใช่ปราณมาร หากเป็นกลิ่นอายผิดปกติที่เขาสัมผัสไม่ได้
“ข้า…” เฟ่ยไป๋หลิงอ่อนแรงไปทั่วร่าง แต่รู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่จะเป็นผู้ช่วยเหลือสุดท้าย นางจึงเล่าทุกสิ่งที่ตนเองรู้ให้ลู่เซิ่งฟังอย่างรวดเร็ว
“หมายความว่าตระกูลเฟ่ยเกิดความผิดปกติหลายอย่างมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วหรือ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วถาม
“ใช่…ข้า…ข้ามีสหายคนหนึ่งอยู่ด้านใน ท่านช่วย…” เฟ่ยไป๋หลิงนึกถึงผู้ตรวจการณ์ซือหม่าซิ่วที่ยังอยู่ด้านใน
“เจ้ากำลังพูดอะไร” ลู่เซิ่งตัดบทนางอย่างไม่นำพา ตอนนี้เขาสนใจตระกูลแฟ่ยมาก หากไม่ทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่มีความคิดจะจากไป
ในเขตธรรมดาๆ แห่งนี้กลับปรากฏความยุ่งยากแบบนี้ขึ้น มิหนำซ้ำยังเป็นความยุ่งยากที่เขาไม่เคยประสบมาก่อนอีก นี่ทำให้เขาสนใจเป็นอย่างยิ่ง
“อยากออกไปเจ้าก็ออกไปเอง ข้าอยากจะเดินเล่นต่อ” ลู่เซิ่งที่ถือกระบี่กวาดตามองซ้ายขวา “พวกเงาดำเมื่อครู่เล่า”
เขาเมินเฟ่ยไป๋หลิงแล้วเดินไปยังตำแหน่งที่เด็กๆ เหล่านั้นยืนอยู่เมื่อก่อนหน้านี้ ก่อนจะสัมผัสอย่างละเอียด
‘เดินเล่นต่อหรือ’ เฟ่ยไป๋หลิงแน่นหน้าอกจนเกือบหายใจไม่ออก คฤหาสน์ตระกูลเฟ่ยในตอนนี้เกิดเรื่องแปลกประหลาดและอันตราย แต่ยังมีคนอยากจะไปหาที่ตายด้านในอีก
“ข้าขอเตือนท่านว่าอย่าอยู่ที่นี่นานจะดีกว่า ข้าคือคุณหนูสามของคฤหาสน์ตระกูลเฟ่ย ถ้าไม่ใช่เพราะจนปัญญาจึงต้องทนอยู่ต่อไปจริงๆ ข้า…”
“ชู่ว์…”
อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาจรดริมฝีปากและทำท่าบอกให้เงียบ
เฟ่ยไป๋หลิงงุนงง กวาดตาแลซ้ายแลขวา กลับไม่พบปัญหาใดๆ
“ท่าน…”
ตูม!
พริบตานั้น แสงสีแดงสาดวาบขึ้น แล้วแยกออกเป็นลำแสงสีแดงสิบกว่าสายด้านหน้านาง จากนั้นก็พุ่งไปยังมุมแต่ละมุมในสวนดอกไม้
ส่วนลู่เซิงที่อยู่ตรงหน้าก้าวออกไปก้าวหนึ่ง สองมือจับกระบี่พร้อมกับฟันเฉียงๆ มาใส่ศีรษะนางดุจสายฟ้าแลบ
ฉัวะ!
กรี๊ด!
เฟ่ยไป๋หลิงอดกรีดร้องขึ้นและหลับตาลงไม่ได้ แต่ครู่ต่อมาเมื่อนางสัมผัสความเจ็บปวดใดๆ ไม่ได้ จึงลืมตาดู
ไม่ทราบว่ามีแขนซีดขาวสองคู่วางอยู่ข้างคอนางตั้งแต่เมื่อไหร่
แขนคล้ายจะต้องการโอบกอดนาง แต่ตอนนี้กลับทำไม่ได้แล้ว เนื่องด้วยบนข้อมือปรากฏรอยเลือดสีแดงที่ยิ่งมายิ่งแจ่มชัด
กระบี่ของลู่เซิ่งตั้งขวางอยู่ทางขวาของคอนาง ตัดแขนซีดขาวในแนวตั้ง บนคมกระบี่มีรอยเลือดสีแดงอ่อนติดอยู่กลุ่มหนึ่ง
เฟ่ยไป่หลิงหอบหายใจอย่างหนักหน่วง ทั่วร่างเปียกชื้นเพราะโชกเหงื่อ นางนั่งแข็งทื่ออยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับเขยื้อน
จนกระทั่งลู่เซิ่งค่อยๆ ชักกระบี่ออกไปจากด้านข้างศีรษะของนาง
ซ่า…
แขนที่อยู่สองด้านของคอนางพลันสลายกลายเป็นฝุ่นสีขาวจำนวนมาก ก่อนจะโปรยปรายใส่ร่างนาง
แฮ่กๆๆ!
เฟ่ยไป๋หลิงหายใจกระหืดกระหอบ ก้มตัวเอาแขนทั้งสองข้างยันร่างตนเองอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกหมดเรี่ยวแรง แม้แต่การหายใจก็ยังติดขัด
‘ของสิ่งนี้…ก่อนหน้านี้ไม่เคยเจอมาก่อนนี่นา สายพันธุ์นี้…’ ลู่เซิ่งนั่งลงเขี่ยฝุ่นขาวบนพื้นไปมา
‘ที่แท้ฝุ่นขาวพวกนี้มีที่มาแบบนี้นี่เอง’ เขาแสดงสีหน้ากระจ่างแจ้ง
ตุบ
อยู่ๆ ไกลออกไปก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้าใกล้ดังมา
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองไปยังเงาคนผมยาวที่ยืนแอบอยู่ตรงบริเวณอันมืดครึ้มบนระเบียง อีกฝ่ายคล้ายกำลังจ้องมองตนผ่านความมืด
“แน่จริงก็มาสังหารข้าซะ เด็กน้อย” ลู่เซิ่งยกมือขึ้นวาดบนลำคอตัวเองเบาๆ พลางยิ้มอย่างน่ากลัว
เงาคนผมยาวในระเบียงอันมืดมิดค่อยๆ สลายหายไป
ลู่เซิ่งถือกระบี่ลุกขึ้นยืน ก่อนจะมองไปที่เฟ่ยไป๋หลิง
“เจ้าจะไปกับข้า หรือว่าจะไปเอง”
“ข้า…ไปด้วย!” เฟ่ยไป๋หลิงค่อยทราบว่าเมื่อครู่เขาเป็นคนช่วยนาง
ลู่เซิ่งคร้านจะสนใจ พอสัมผัสพลังอาวรณ์หลายสายที่ไหลเข้ามาในร่างเมื่อครู่ เขาก็รู้ทันทีว่าตนเองมาถูกที่แล้ว
แม้สถานที่นี้จะเหม็นไปบ้าง แต่ก็เป็นขุมทรัพย์สำหรับเขา
แขนสองข้างนั้นโผล่มาด้านหลังเฟ่ยไป๋หลิงอย่างกะทันหัน มีแขนแค่สองข้างเท่านั้น นอกนั้นก็ไม่มีอะไรอีก ดังนั้นเขาฟันกระบี่เพียวครั้งเดียวก็ตัดแขนสองข้างนั้นได้ง่ายๆ แล้ว
นึกไม่ถึงว่าจะได้พลังอาวรณ์มาสิบกว่าหน่วยอย่างน่าอัศจรรย์
เดิมทีคิดจะมาตรวจสอบและจัดการกลิ่นเหม็นเท่านั้น แต่พอเกี่ยวข้องกับพลังอาวรณ์ ลู่เซิ่งก็ฮึกเหิมทันที สถานที่แห่งนี้เหมือนจะไม่เคยถูกนครเขตค้นพบมาก่อน สามารถมอบพลังอาวรณ์ให้เขาได้พอดี
ครืน
สายฟ้าแลบขึ้น สวนดอกไม้ถูกส่องเป็นสีขาวโพลน
ลู่เซิ่งพาเฟ่ยไป๋หลิงเดินเข้าไปในระเบียง รอบข้างล้วนเป็นความมืด มีแต่ข้างๆ ที่มีห้องนอนเดี่ยว ทว่าในห้องนอนถูกไอหมอกมืดครึ้มปกคลุมเอาไว้
ตุบๆๆ
เสียงฝีเท้าของทั้งสองคน สะท้อนบนระเบียงอย่างชัดเจน
“หลังเกิดเรื่องเจ้าอยู่ในคฤหาสน์มานานเท่าไหร่” ลู่เซิ่งเดินไปพลาง สอบถามไปพลาง
“ประมาณสิบกว่าวัน…” เฟ่ยไป่หลิงทบทวน แม้แต่นางก็ยังตกใจอยู่บ้าง
“สิบกว่าวันหรือ แล้วเจ้ากินอะไรดื่มอะไร” ลู่เซิ่งมองนางอย่างประหลาดใจ
“อะไรนะ เมื่อครู่ท่านพูดว่าอะไร” เฟ่ยไป๋หลิงมองลู่เซิ่งอย่างงุนงง
“ข้าถามว่าหลายวันมานี้เจ้ากินอะไรดื่มอะไร” ลู่เซิ่งทวนอีกรอบ
“ข้าซ่อนอยู่ในห้องนอนไม่กล้าก้าวออกไปไหนสักก้าว จริงๆ นะ ไม่กล้าออกไปไหนสักก้าวเลย” เฟ่ยไป๋หลิงตอบไม่ตรงคำถาม “จริงสิเมื่อครู่ท่านถามว่าอะไรนะ ข้าไม่ได้ยิน”
ลู่เซิ่งหยุดฝีเท้าในทันที ท่ามกลางความมืดสายตาของเขาจับจ้องใบหน้าของเฟ่ยไป๋หลิงตรงๆ เมื่อครู่ถามคำถามติดกันสองครั้ง เสียงของเขาดังมาก แต่อีกฝ่ายยังคงทำท่าไม่ได้ยิน
“ไม่มีอะไร” เขากล่าวอย่างราบเรียบ “ลองเล่าดูว่าตระกูลเฟ่ยเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ตั้งแต่ตอนไหน”
“ตั้งแต่ตอนไหนหรือ…” เฟ่ยไป๋หลิงใคร่ครวญ ใช่แล้ว บรรยากาศของตระกูลเฟ่ยเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหน พวกคนในตระกูลต่างร้อนอกร้อนใจ ตรวจสอบการเข้าออกอย่างละเอียด ทั้งยังชำระล้างอาวุธอุปกรณ์ที่ใช้ไม่ได้เป็นประจำ
ทั้งสองมุ่งหน้าต่อไป
ทันใดนั้นเฟ่ยไป๋หลิงก็เหลือบหางตาเห็นว่าหน้าต่างตรงห้องด้านข้างมีคนอยู่
หน้าต่างห้องเปิดออก ใบหน้าของคุณลุงวัยกลางคนที่กำลังยิ้มคนหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด ซีดขาวไปบ้าง แต่ยังนับว่าสะอาดสะอ้าน
“ลุงเจ้า?! ท่าน…เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่?!” เฟ่ยไป๋หลิงตัวสั่น
“ไป๋หลิง…เจ้าพาสหายมาบ้านหรือ” ใบหน้านั้นส่งเสียงช้าๆ
“ลุงเจ้า…” เฟ่ยไป๋หลิงถอยหลังก้าวหนึ่ง การได้พบลุงเจ้าในสถานการณ์แบบนี้ไม่ปกติ มาตอนไหนไม่มา ดันมาปรากฏตัวในเวลานี้
“ไป๋หลิง…อยากพาสหายมานั่งในบ้านของลุงไหม…”
ฉัวะ!
แสงสีแดงแยงตาสาดขึ้นในความมืด แสงสีแดงพุ่งผ่านตัวของบุรุษวัยกลางคน จากนั้นก็แยกหน้าต่างจากหนึ่งเป็นสองไปพร้อมกับผนัง
ตูม!
ก้อนหินกองใหญ่ถล่มลง จากนั้นก็มีร่างของลุงเจาผู้นั้น
กรี๊ด!
ตอนที่เฟ่ยไป๋หลิงมองเห็นความจริง นางก็อุดปากเอาไว้พร้อมกับถอยหลังหลายก้าวด้วยสีหน้าซีดขาว
“ที่นี่มีลูกเล่นเยอะทีเดียว” ลู่เซิ่งเดินเข้ามาใกล้ ก้มมองดูลุงเจ้าที่เหลือร่างแค่ครึ่งเดียวนอนแผ่บนพื้น
ร่างท่อนบนของลุงเจ้าผู้นี้ ถูกคนใช้เส้นด้ายสีดำเย็บติดกับผนังหน้าต่าง แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผนัง อีกทั้งปากยังอ้าพะงาบๆ และส่งเสียงดังแกร่กๆ เบาๆ เป็นระยะ
“ศพถูกดัดแปลงเป็นตุ๊กตา” เขาจดจำที่มาของสิ่งนี้ได้
ศพ…
เฟ่ยไป๋หลิงจิตใจดิ่งวูบในตอนที่ได้ยินคำนี้ พอมองดูลุงเจ้าอีกที ร่างครึ่งท่อนนั้นก็สลายกลายเป็นผงสีขาวไปแล้ว
‘สถานที่นี้…’ ลู่เซิ่งชักกระบี่กลับ ดูเหมือนเขาจะใช้แค่ปราณจริงแท้ฟันกระบี่ ทว่าความจริงเขาใช้แก่นมารไปด้วย
พริบตาที่ไฟหยินจากมุกอาวรณ์แปดเศียรบนคมกระบี่ฟันอีกฝ่าย ก็แผ่กระจายออกไป แล้วเก็บเกี่ยวพลังอาวรณ์สายหนึ่งมาอย่างรวดเร็ว
ไฟหยินไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรของเขาในปัจจุบัน มีอานุภาพสูงสุดในระดับราชามารอย่างแท้จริง ต่อให้ไม่ได้ใช้ร่วมกับวิชาลับ แค่อานุภาพของไฟหยินเพียงอย่างเดียวก็อยู่ในระดับราชามารทั่วไปแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่ความประหลาดลี้ลับไร้สาระนี้จะต้านทานได้
“ไปเถอะ พวกเราไปสถานที่หลักของที่นี่กัน” เขาไม่เหลือบแลผงสีขาวบนพื้น หากเพิ่มความเร็วเดินไปยังสุดปลายระเบียง
กลิ่นของสารกายอันแปลกประหลาดในอากาศเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
แม้ลู่เซิ่งจะไม่เจอเบาะแสใดๆ แต่ถ้าเดินตามแกนหลักของสารกายไปเรื่อยๆ ต้องไม่หลงแน่
เขาถือกระบี่พาเฟ่ยไป๋หลิงไปถึงด้านหน้าห้องหนังสือห้องหนึ่ง
“นี่เป็นห้องหนังสือของบิดาข้า” เฟ่ยไป๋หลิงกวาดตามองรอบๆ อย่างลุกลี้ลุกลน ด้วยกลัวว่าจะเกิดอันตรายอย่างกะทันหัน
“มีกุญแจไหม” ลู่เซิ่งถาม
“…ไม่…” เฟ่ยไป๋หลิงส่ายหน้า
ขณะที่ทั้งสองคุยกันอยู่ ประตูห้องหนังสือก็เปิดออกจากด้านในอย่างฉับพลัน
เฟ่ยเซินเต๋อบิดาของเฟ่ยไป๋หลิงยืนยิ้มอยู่ที่ประตูท่ามกลางความมืด
“ไป๋หลิง เหตุใดเจ้าจึงมีเวลามา”
“ท่านพ่อ!” เฟ่ยไป๋หลิงสับสนเล็กน้อย จากนั้นก็ยินดี กำลังจะพุ่งเข้าไปหาพร้อมกับน้ำตาที่คลอเบ้า
ควับ!
กลับนึกไม่ถึงว่ามือใหญ่ข้างหนึ่งจะยื่นออกมาจากด้านข้างอย่างฉับพลัน แล้วบีบศีรษะของเฟ่ยเซินเต๋ออย่างแผ่วเบา
กร่อบๆ…
เสียงเหมือนขยำกระดาษดังขึ้น ร่างของเฟ่ยเซินเต๋อบิดเบี้ยว
เฟ่ยไป๋หลิงเพิ่งเห็นชัดว่าบิดาที่ว่าเป็นภาพวาดทั้งตัวที่วาดได้สมจริงมากภาพหนึ่ง
‘เฟ่ยเซินเต๋อ’ ถูกขยำเป็นก้อนจากนั้นก็โดนเผา ลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้างไม่เหลือบแลมนุษย์กระดาษที่ส่งเสียงโหยหวนบนพื้น หากสาวเท้าเดินเข้าห้อง แล้วกวาดตามองสี่ทิศ
ไม่นานเขาก็เจอสมุดเล่มเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ เหมือนจะเป็นสมุดบันทึก
เขาเปิดเบาๆ มันบันทึกข้อมูลของจริงเอาไว้ไม่น้อย
‘…ล้มเหลวแล้ว…นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายจะยังล้มเหลว เกิดปัญหาตรงไหนกันแน่’ สมุดบันทึกถูกฉีกไปหลายหน้า แต่มีข้อความเล็กๆ ที่เขียนอยู่บนหน้าล่าสุดเป็นตัวหวัดๆ เห็นได้ชัดว่าเขียนอย่างเร่งรีบ
ลู่เซิ่งโยนสมุดไปให้เฟ่ยไป๋หลิงที่อยู่ด้านหลัง ก่อนเริ่มเดินไปรอบๆ
ตำรามากมายที่อยู่บนชั้นหนังสือจับฝุ่นขาวหนาเตอะ เขาดึงเล่มหนึ่งออกมา หน้าปกเขียนว่า ‘สามสิบหกอุบัติเหตุทางทะเล’
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว แล้วดึงอีกเล่มออกมา
‘ลมมรสุมและกระแสน้ำกลางมหาสมุทร’
เปลี่ยนไปอีกหลายเล่ม ล้วนเป็นตำราที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือในมหาสมุทรทั้งหมด
……………………………………….