ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 34 ไม่เหมือน (2)
“ค่าตอบแทนกลับไม่ต้อง เงินข้าไม่ขาดอยู่แล้ว เพียงแต่ของสิ่งนั้นที่คุณชายต้องการ หว่านเอ๋อร์ก็ไม่มีในมือเช่นกัน วิชาวรยุทธ์ชนิดนั้นสำหรับหว่านเอ๋อร์ไม่มีประโยชน์เท่าวิชาหล่อเลี้ยงชีวิต สำหรับพวกเราแล้ว การยืดอายุขัยคุ้มค่ากว่าการฝึกสิ่งที่มีพลังทำลายอ่อนแอจนน่าสงสารเหล่านั้นมาก
ทว่า… หว่านเอ๋อร์กลับคิดถึงวิธีการดีๆ ได้วิธีหนึ่ง”
“วิธีการอันใด”
“ถ้าคุณชายคิดเรียนจริงๆ เบื้องล่างตระกูลขุนนางของพวกเราก็มีพรรคสำนักใหญ่ที่คนธรรมดาส่วนหนึ่งรวมกลุ่มกันสร้างขึ้นมาช่วยเหลือกัน ด้านในมีวิชาฝึกจิตกำลังภายในประเภทนี้ คุณชายสามารถเลือกเข้าร่วมตามใจชอบ หว่านเอ๋อร์แนะนำท่านได้ เป็นอย่างไร” ตวนมู่หว่านกล่าวเสียงอ่อนโยน
“นี่กลับไม่จำเป็น ถ้าหากแม่นางหว่านเอ๋อร์มอบข้อมูลข่าวสารของพรรคสำนักใกล้ๆ เพียงเล็กน้อยให้แก่ข้าได้ก็พอ” ลู่เซิ่งไม่เกรงใจ แม้ไม่ทราบว่าไฉนตวนมู่หว่านให้ความสำคัญกับตัวเองขนาดนี้ แต่หนึ่งเรื่องราวไม่ใช้สองคน เรื่องวิชาฝึกกำลังภายในเขาติดค้างน้ำใจนาง ในเมื่อติดค้างไม่น้อยแล้ว เช่นนั้นก็รบกวนอีกฝ่ายขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
“นี่อีกเดี๋ยวหว่านเอ๋อร์ให้คนส่งมาให้ท่าน” ตวนมู่หว่านเอ่ยด้วยรอยยิ้ม นางยื่นมือแผ่วเบา ดวงตาพร่ามัวอยู่บ้าง คิดจะล้วงเข้าไปในอาภรณ์ของลู่เซิ่ง
“แม่นางหว่านเอ๋อร์โปรดเคารพตัวเองด้วย!” ลู่เซิ่งจิตใจบังเกิดโทสะ โดยที่อธิบายสาเหตุไม่ได้ เขาไม่คิดสร้างความสัมพันธ์กับสตรีที่ความเป็นมาไม่ชัดเจนแบบนี้ หนำซ้ำยังเป็นในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายยึดถือตัวเองเป็นสิ่งตอบแทนด้วย เกิดว่าวันหนึ่งสตรีนางนี้อยู่ๆ เป็นบ้าขึ้นมา ไม่คิดเล่นกับเขาแล้ว อย่างนั้นเขาไม่แน่ว่าจะน่าอนาถแล้ว
“เรียกข้าว่าหว่านเอ่อร์ก็พอแล้ว…” ตวนมู่หว่านตางามดุจไหม สองแก้มแดงดั่งลูกท้อ อุณหภูมิบนร่างร้อนราวเปลวเพลิง เห็นได้ว่าเกิดความหวั่นไหวจริงๆ
นางยื่นมือไปลูบคลำท้องน้อยของลู่เซิ่ง
“แม่นางหว่านเอ๋อร์” ลู่เซิ่งจับมือนางไว้ด้วยมือหนึ่ง “ถ้าหากท่านยึดถือข้าน้อยเป็นสิ่งตอบแทนอันใด นั่นไม่ใช่แค่ท่านข่มเหงคน ยังไม่เคารพต่อร่างกายตัวเองอีกด้วย”
“ไม่เคารพตัวเองอย่างนั้นหรือ” ตวนมู่หว่านงุนงง นางหลุบศีรษะลง เงียบเสียง
สักพักหนึ่ง…
นางพลันถอนใจยาวคำหนึ่ง
“ถูกต้อง… ก่อนหน้านี้หว่านเอ๋อร์ไม่ใช่เป็นคนแบบนี้…” นางประเดี๋ยวเดียวคล้ายเปลี่ยนเป็นหมดความสนใจเขาแล้ว
ลู่เซิ่งถอยหลังไปสองก้าว ไม่ได้พูดอะไร เพียงจ้องมองนาง
“ใกล้ๆ นี้มีพรรคที่ใหญ่ที่สุดเรียกพรรควาฬแดง ด้านในพรรคยังมีวิชาที่น่าสนใจอยู่บ้าง คุณชายถ้าสนใจไปดูก็ได้ แต่ว่าพรรคนี้เล็กเกินไป ภายหลังหว่านเอ่อร์มีโอกาสจะย้ายที่ให้คุณชาย ไปจงหยวน พรรคที่นั่นแข็งแกร่งกว่าพรรควาฬแดงมาก”
“ขอบคุณแม่นางหว่านเอ๋อร์แล้ว ข้าน้อยจะไปสืบดูก่อน ส่วนต่อจากนี้ ต่อจากนี้ค่อยว่ากล่าวกันเถอะ” ลู่เซิ่งลอบจดจำ ประสานมือเอ่ย
“ยังเรียกข้าแม่นางอีก จิตใจข้า ร่างกายข้าท่านไม่ใช่ล่วงรู้ความรู้สึก สัมผัสแล้วหรอกหรือ” ตวนมู่หว่านมองเขาอย่างน้อยใจ
ลู่เซิ่งสับสน กำลังคิดเอ่ยวาจา พลันเห็นนอกหน้าต่างโถงรับแขกที่ไม่ได้ปิด เสี่ยวเฉี่ยวกำลังมองดูด้านในนี้อยู่ไกล ลืมตากลมโต อ้าปากตาค้าง
ส่วนอิริยาบถยามนี้ของเขากับตวนมู่หว่าน เป็นสตรีนางนี้ยื่นมือมาตรงท้องน้อยของเขา ถูกเขาใช้มือจับไว้ สองคนแนบชิด อยู่ใกล้กัน คลุมเครือยิ่งนัก
“เอาล่ะ ข้าไม่หยอกล้อท่านแล้ว ข้ายังมีธุระ ไปก่อนก้าวหนึ่ง” ตวนมู่หว่านถอยหลังแผ่วเบาไปสองสามก้าว หุบรอยยิ้ม
“คุณชาย… กล่าวตามสัตย์ ท่านรู้สึกว่าหว่านเอ๋รอ์ใช่เป็นสตรีเลวทรามไร้ศักดิ์ศรีมากหรือไม่” นางมองลู่เซิ่งด้วยความคาดหวัง เป็นความคาดหวังที่อธิบายไม่ได้ คล้ายกำลังกำลังรอให้เขาพูดคำตอบที่แตกต่าง
ลู่เซิ่งลำบากใจแล้ว
นางช่วยเขาถึงสองครั้ง ยังบอกข้อมูลที่มีประโยชน์ขนาดนี้แก่เขาโดยให้เปล่า ต้องการให้เขาพูดว่านางไม่มีศักดิ์ศรี เป็นสตรีเลวทรามต่อหน้าอีกฝ่าย วาจาแบบนี้เขาพูดไม่ออก
เขาที่แล้วมาเป็นคนกินอ่อนไม่กินแข็ง ผู้ใดดีกับเขา เขาก็ดีกับผู้นั้น ตอนนี้ครั้งนี้กลับทำให้เขาลำบากใจแล้ว
ลู่เซิ่งเรียบเรียงคำพูด พิจารณาตวนมู่หว่านตรงหน้าอย่างละเอียด
ตวนมู่หว่านในตอนนี้ แม้จะสวมเสื้อผ้ายั่วยวน แต่ถึงกับมีความอ่อนโยนและความใสซื่อ เหมือนกับดรุณีน้อยข้างบ้านที่นิสัยดีกำลังถามเขาอย่างอายๆ ว่า ตนเองมีตรงไหนไม่ดีหรือ
“แม่นางหว่านเอ๋อร์ยังดีอยู่กระมัง ทุกคนต่างมีวิธีเข้าสังคมของตัวเอง แม่นางเพียงเปิดเผยไปเล็กน้อยก็เท่านั้น” ลู่เซิ่งกล่าววาจานี้เป็นวาจาตามสัตย์จริง ถึงอย่างไรโลกในชาติก่อนก็ยังเปิดเผยกว่าตวนมู่หว่านมากนัก แค่เปลือยร่างให้คนนับไม่ถ้วนดูในอินเทอร์เน็ตล้วนมากมี เพราะฉะนั้นสำหรับเขาแล้ว ตวนมู่หว่านแค่กระทำแปลกแยกไปเล็กน้อยเท่านั้น
ตอนที่ตวนมู่หว่านกำลังถาม ได้แต่มองลู่เซิ่งอย่างจริงจัง
นางค้นพบอย่างประหลาดใจว่า ลู่เซิ่งกล่าวคำพูดนี้จากใจจริง เป็นความคิดแท้จริงของเขา ไม่ใช่ปลอบใจนาง เขาคิดเช่นนี้ในใจจริงๆ ท่าทางมีเหตุผลเต็มเปี่ยมนั้น ท่าทีที่ไม่นำพาต่อคำถามนี้ แตกต่างกับคนจำนวนมากที่ก่อนหน้านี้นางเคยถามคำถามนี้โดยสิ้นเชิง
“ท่าน…”
ดวงตาตวนมู่หว่านปรากฏความซับซ้อน ในใจมีบางอย่างที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรู
“ถึงข้าไม่ทราบว่าคุณชายต้องการวิชาฝึกจิตกำลังภายในจำนวนมากเพียงนั้นไปทำอะไร แต่ว่าที่ข้ามีสองเล่ม ล้วนเอาให้ท่านทั้งหมดเถอะ” นางก้มหน้าลง เห็นใบหน้าไม่ชัด หยิบหนังสือเล่มเล็กสองเล่มจากบนร่างมาวางไว้บนโต๊ะ
“หว่านเอ๋อร์มีธุระไปก่อนแล้ว” เสียงเพิ่งขาดลง นางก็ผลุนผลันออกจากห้องไปแล้ว
ลู่เซิ่งเพิ่งได้สติ รีบติดตามออกไป เห็นในลานว่างเปล่า เวลาแค่กะพริบตาเช่นนี้ ตวนมู่หว่านถึงกับหายไปแล้ว
เขางุนงง ยืนอยู่ในลานไม่ได้สติชั่วขณะหนึ่ง
ผ่านไปสักพัก เขากลับไปถึงโถงรับแขก หยิบหนังสือเล่มเล็กสองเล่มบนโต๊ะขึ้นมา บนหนังสือทั้งสองเล่มเขียนไว้ว่า: โน้มนำหยินหยาง เคล็ดสนหนึ่งสำนึก
เป็นคัมภีร์ลับสองเล่มนั้นที่เขาไม่ได้เลือกตอนซื้อวิชากำลังภายในจากมือของตวนมู่หว่าน ดูเหมือนในมือตวนมู่หว่านจะมีแค่วิชากำลังภายในสามเล่มนี้ ตอนนั้นนำออกมา มีความคิดหยอกล้อเขาที่บอกไม่ถูก หรือว่ามีความคิดซับซ้อนอย่างอื่น
…
นอกเมืองเก้าประสาน
ตวนมู่หว่านร่างพลิ้วทะยาน ทิ้งตัวลงริมทะเลสาบอาทิตย์นิ่ง นิ่งและแผ่วเบา
ทะเลสาบอาทิตย์นิ่ง น้ำนิ่งดุจกระจกที่ฝังหิมะสีขาวไว้บนขอบ
รอบๆ ทะเลสาบเป็นป่าไม้สีขาวผืนใหญ่ เพราะกิ่งใบล้วนถูกคลุมด้วยหิมะ เหมือนเงินคลุมขาวห่อ ดูคล้ายรูปสลักน้ำแข็ง
“วนมู่หว่านองค์หญิงสารทกระจ่างผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง มีใบหน้าถึงสามพันหน้า ถึงกับแปลงร่างเป็นดรุณีน้อยเช่นนี้ วันนี้มาตามนัดข้า คุ้มค่าแล้วจริงๆ” เสียงบุรุษทุ้มต่ำเจ้าเล่ห์เสียงหนึ่งสะท้อนมาจากรอบๆ
ตวนมู่หว่านกระชับผ้าโปร่งสีดำบนตัวแน่น ใบหน้างามเย็นชา “จางซินหยวน เดินทางหมื่นลี้มาทางเหนือ เพื่อดูเรื่องตลกของข้าหรือ ต้องการให้ข้าช่วยท่านควักลูกตาออกมาไหม ดูว่าท่านยังจะหัวเราะออกหรือไม่”
“เหอะๆ องค์หญิงโปรดระงับโทสะ ตระกูลเจินกำลังต่อสู้กับจวนม้วนมนุษย์ องค์หญิงสารทกระจ่างรู้จักกับเยี่ยหลิงม่อ ข้าน้อยมาเพราะคิดขอให้องค์หญิงช่วยแนะนำ” เสียงนั้นกล่าวสืบต่อ ทั้งซ้ายและขวา ไม่เห็นเงาคนอันใด ไม่สามารถแยกแยะตำแหน่งของเขาได้
“แนะนำหรือ เตรียมค่าตอบแทนดีแล้วหรือยัง” ตวนมู่หว่านสีหน้าพลันเปลี่ยนไป กลายเป็นใบหน้าที่อ่อนโยนงดงามทันใด
“ได้ยินกฎขององค์หญิงมานาน ผลประโยชน์ย่อมเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว” เสียงนั้นเอ่ยต่อ
ตวนมู่หว่านหัวเราะคำหนึ่ง ลูกต้ากลอกกลิ้ง “ไม่ลองพิจารณาอยู่เป็นเพื่อนข้าสักคืน ไม่แน่ถ้าทำให้ข้าพอใจ จะไม่เก็บค่าใช้จ่ายของท่าน”
“ยังคงแล้วไปเถอะ นามยิ่งใหญ่ขององค์หญิงสารทกระจ่างข้าน้อยได้ยินมานานแล้ว ข้าผู้เฒ่ายังคิดอยู่ต่ออีกหลายปี” เสียงนั้นหัวเราะแห้งสองคำ “ถ้าหากองค์หญิงมอบตำแหน่งของของวิเศษชิ้นนั้นให้ข้าได้ สุดท้ายผู้ใดได้ไป ข้าน้อยยังเพิ่มค่าตอบแทนได้อีกเท่าหนึ่ง!”
“ภัยพิบัติมังกรสีชาดนั่นยังอยู่ในมือของนักพรตวิกลจริต ผู้ใดก็เอามาไม่ได้ หลายวันก่อนหน้าจวนม้วนมนุษย์กับตระกูลเจินทำศึกใหญ่กันรอบหนึ่ง ระหว่างทางกระตุ้นการเซ่นสรวงภัยพิบัติมังกรสีชาด ก่อเกิดการระเบิด สามฝ่ายไม่ว่าฝั่งไหนต่างเสียหายสาหัส ถ้าพวกท่านคิดสอดมือ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดและเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว
“เพราะมีคนตายมากเกินไป ภัยพิบัติมังกรสีชาดจะทำการเซ่นสรวงสำเร็จแล้ว…” ตวนมู่หว่านกล่าวอย่างรวดเร็ว
“อย่างนั้นหรือ…” เสียงนั้นเงียบลงไป “ขอบคุณองค์หญิงที่ชี้แนะ ค่าตอบแทนจะมอบให้ผู้คุ้มกันตระกูลท่านโดยตรง ข้าน้อยขอลา” เสียงออกห่างไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็หายไปจากทะเลสาบอาทิตย์นิ่งโดยสิ้นเชิง
รอยยิ้มบนใบหน้าตวนมู่หว่านจางลงช้าๆ สองตามองทะเลสาบที่นิ่งดุจกระจกเขม็ง ไม่ทราบกำลังคิดอะไร
…
เรื่องที่เกิดในเมืองเก้าประสานกระตุ้นลู่เซิ่งอย่างล้ำลึก
หลังตวนมู่หว่านจากไป เขาก็กินอาหารกลางวัน แล้วกลับห้องเริ่มฝึกฝนวิชากำลังภายใน ยังสั่งห้องครัวให้ต้มยาบำรุงที่ทำมาจากไขมันสัตว์จำนวนมาก ส่งมาถึงในห้องเขา เตรียมใช้กินตลอดเวลา
ผ่านการปรับปรุงในช่วงเวลานี้ เขาคิดฝึกฝนวิชาปราณหล่อเลี้ยงชีวิตอีกสองวิชาที่เขาเพิ่งได้มา
จากวิชากระเรียนหยก ลู่เซิ่งมองออกว่า วิชาปราณหล่อเลี้ยงชีวิตสามารถนำมาใช้ยกระดับวิชาอื่นๆ ได้ ทดแทนการสิ้นเปลืองพลังกาย ปราณ และจิต สิ่งนี้เหมือนกับแบตเตอร์รี่สำรอง ปกติสะสมกักเก็บไว้ ถึงเวลาจำเป็นต้องใช้ ค่อยมีประโยชน์ใช้สอยอย่างใหญ่หลวง
ลู่เซิ่งปิดประตูห้องแน่น นั่งขัดสมาธิบนเตียง
เขาเปิดคัมภีร์เคล็ดสนหนึ่งสำนึกอย่างแผ่วเบา ตัวหนังสือหลายแถวด้านในล้วนใช้มือเขียน ดูเหมือนจะเป็นลายมือสตรีเขียน
‘ให้คนเลียนแบบต้นสน ลมพัดไม่ล้ม หนาวเหน็บไม่ตาย สภาพอันตรายดำรงชีพไม่วางวาย’ หน้าแรกของคัมภีร์มีแค่ตัวหนังสือแถวหนึ่ง
ลู่เซิ่งพลิกหน้าต่อไป หน้าที่สองเป็นรูปสนใหญ่ที่เหมือนวิชากระเรียนหยกในตอนนั้น
ต้นสนแก่สีดำต้นหนึ่งหยั่งรากพาดกิ่งบนหน้าผา งอกงามขวางออกมาในแนวนอน กิ่งใบหนาแน่นเขียวขจี มีพลังชีวิตโชติช่วงคึกคักสุดขีด
สิ่งที่วิชาหล่อเลี้ยงชีวิตวิชานี้เน้นคือคำว่าสงบ รักษาปราณ รักษาจิต ร่างกายโคจรพลังชีวิตตามสัญชาตญาณที่เป็นธรรมชาติที่สุด ให้กำเนิดปราณภายในหล่อเลี้ยงชีวิตที่บริสุทธ์ที่สุดหลายสาย
ลู่เซิ่งเป็นเพราะมีรากฐานวิชากระเรียนหยก เริ่มเรียนวิชาหล่อเลี้ยงชีวิตประเภทนี้ได้รวดเร็วยิ่ง ไม่ทันไรก็คุ้นเคยแล้ว เริ่มนั่งสมาธิ การนั่งสมาธินี้มิใช่เพียงนั่งนิ่งๆ ยังจำเป็นต้องใช้การหายใจและอิริยาบถพิเศษโน้มนำอย่างฉับพลันในเวลาที่กำหนด
หลังจากฝึกฝนสักระยะตามวิชา ลู่เซิ่งลุกขึ้นกินยาบำรุงก้อนหนึ่ง กำลังจะกลับไปฝึกฝนต่อ ครั้งนี้เขาคิดฝึกฝนวิชาทมิฬพิฆาต ใช้ดีปบลูยกระดับวิชาทมิฬพิฆาตสู่ระดับสูงสุด
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“คุณชาย พวกเหยียนไคเต้าจ่างมาแล้ว” เสียงเขินอายของเสี่ยวเฉี่ยวดังมาจากนอกประตู
ลู่เซิ่งลืมตาขึ้นบนเตียง ลงมาอย่างรวดเร็ว สวมใส่เสื้อคลุมตัวนอกและสวมรองเท้า
“อีกเดี๋ยวข้าไป”
เขาออกจากประตูห้อง อย่างรวดเร็วก็เดินเข้าโถงรับแขก เห็นเหยียนไค ต้วนหรงหรง และยังมีจวนเฟิงยืนอยู่
“คุณชายเซิ่ง สบายดี ดูเหมือนท่านมีสีหน้าไม่เลวนี่” เหยียนไคประสานมือกล่าว น้ำเสียงผ่อนคลาย
“ทั้งสามท่านเชิญนั่ง” ลู่เซิ่งยิ้มๆ
รอจนหญิงรับใช้รินน้ำชาให้แล้วพากันล่าถอยออกไป ปิดประตูหน้าต่างดีแล้ว
เขาค่อยกล่าวต่อ “เต้าจ่าง เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ลู่เซิ่งถามหนึ่งประโยค
เหยียนไคก็ไม่ปิดบัง กล่าวคำพูดที่ตวนมู่หว่านเล่าก่อนหน้านี้ออกมา รอจนเขาพูดจบ ก็เป็นครึ่งชั่วยามให้หลังแล้ว
สิ่งที่เขาพูดในครั้งนี้ ยังละเอียดกว่าตวนมู่หว่าน บางทีอาจเพราะนึกถึงว่าทำให้ม้าสองสามตัวของลู่เซิ่งเสียหายจึงรู้สึกผิด เหยียนไคตอบคำถามส่วนหนึ่งของลู่เซิ่งอย่างจริงจัง
………………………………………….