ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 341 วิชากับทาสรับใช้ (1)
บทที่ 341 วิชากับทาสรับใช้ (1)
พวกคนที่ถือมีดสั้นค่อยๆ กดดันเข้ามาใกล้ ระยะห่างหดเล็กลงเรื่อยๆ ลู่เซิ่งรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่ามีรอยฝ่ามือที่คล้ายเมื่อก่อนหน้านี้ปรากฏบนร่าง ผิวค่อยๆ โปร่งแสงขึ้น
‘นี่คงเป็นเพราะติดเชื้อล่ะมั้ง’ เขาไม่เข้าใจเล็กน้อย โลกแห่งความเจ็บปวดคือสถานที่ใดกันแน่ จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ แต่ก็ยืนยันได้เรื่องหนึ่ง
นั่นก็คือที่แห่งนั้นเป็นโลกที่อันตรายถึงขีดสุด
“อ๊าก!” ทันใดนั้น ซือหม่าซิ่วก็พุ่งเข้าใส่เขา
ลู่เซิ่งยกขาขึ้นถีบอีกฝ่ายล้มลงกับพื้น จากนั้นก็ดีดนิ้ว ปราณจริงแท้สองสายเจาะทะลุเยื่อดำของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ ทำให้ข้อต่อที่เข่าและสองมือแหลกละเอียด
ซือหม่าซิ่วดิ้นพล่านอยู่บนพื้น ทว่าทำอย่างไรก็ลุกไม่ขึ้น ปราณจริงแท้ของลู่เซิ่งมัดข้อต่อไว้อย่างหนาแน่น ป้องกันไม่ให้เลือดเนื้อคืนสภาพอีก
ลู่เซิ่งใช้วิธีเดียวกันนี้กับคนที่เหลือ แต่ก็สังเกตเห็นว่าปราณจริงแท้ของตนกำลังหายไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เลือดเนื้อของพวกเขากำลังงอกอีกครั้ง
‘ทำลายประตูนี้ทิ้งก่อนค่อยว่ากัน’ ลู่เซิ่งสงบจิตใจ ก่อนจะเดินเอื่อยๆ เข้าหาคันฉ่องที่ปล่อยหมอกสีเทาออกมาบานนั้น
ตึง
อยู่ๆ ปลายจมูกของเขาก็ชนเข้ากับม่านกั้นล่องหน
ม่านกั้นถูกจมูกของลู่เซิ่งชนจนบุ๋มเป็นหลุมเล็กๆ แต่กลับขัดขวางเส้นทางของเขาไว้ได้
‘นี่คืออะไร…’ ลู่เซิ่งยกนิ้วขึ้น ระหว่างนิ้วปรากฏเยื่อดำปราณจริงแท้ของเขาในปัจจุบัน เยื่อดำจับตัวเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นหนามแหลมด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะแทงไปด้านหน้า
ปุบ
ฉากกั้นล่องหนถูกเจาะทะลุ มันค่อยๆ ฉีกออกแล้วสลายไป พลังอาวรณ์หลายสายไหลเข้ามาในตัวเขา
‘ครั้งนี้น่าจะเรียบร้อยแล้วมั้ง’ ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ แล้วเดินไปด้านหน้าต่อ จนกระทั่งถึงด้านหน้าคันฉ่อง เขาก็ยื่นมือเข้าหาคันฉ่อง
ตูม!
ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากในคันฉ่อง ก่อนจะจับข้อมือของลู่เซิ่งไว้อย่างแรง
นั่นเป็นแขนสีดำอมเทาที่เน่าเปื่อย นิ้วทั้งห้าแหลมคม มีขนสีขาวงอกอยู่กลางฝ่ามือไม่น้อย คำว่า ชั่วร้าย ที่เขียนแบบซับซ้อนติดอยู่บนหลังมือ
พร้อมกับที่มือคว้าจับลู่เซิ่งไว้ พละกำลังอันมหาศาลก็ทะลักเข้ามา หมายจะลากเขาเข้าไปในคันฉ่อง
“โง่เง่า!” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม ถึงกับมีคนโง่ถึงขั้นเปรียบพละกำลังกับเขาในตอนนี้เชียวหรือนี่
หมับ
เขาพลิกมือจับแขนข้างนั้นไว้ แล้วกระชากออกมาด้านนอก
ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้แค่พละกำลังในระดับพันธนาการอย่างเดียว แต่ใช้พละกำลังจากวิถีแปดมารสูงสุดอย่างแท้จริง
แคว่ก เหมือนกับถอนหญ้าออกมาเส้นหนึ่ง แขนข้างนั้นถูกดึงขาด หมอกเทาในคันฉ่องพลิกม้วนอย่างรุนแรง ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านในรำไร
ลู่เซิ่งฟันกระบี่ใส่คันฉ่อง
เปรี้ยง!
คันฉ่องแหลกสลาย พายุสายหนึ่งพัดออกมา พลังอาวรณ์ที่เข้มข้นและมีขนาดมหึมาทะลักเข้ามาในร่างเขา เขาไม่ทันคำนวณอย่างละเอียด แต่รู้สึกได้ว่าอย่างน้อยก็เป็นพลังอาวรณ์มากกว่าสองร้อยหน่วย!
พายุขยายออกไปรอบๆ ข้ามผ่านกำแพง ข้ามผ่านทุกสิ่งที่กีดขวาง แล้วพัดไปทั่วที่อยู่ของตระกูลเฟ่ย
หมอกด้านบนตระกูลเฟ่ยค่อยๆ สลายไป ท้องฟ้าอึมครึมเมื่อก่อนหน้าค่อยๆ สว่างไสวขึ้น
ห้องสั่นสะเทือนอยู่ชั่วขณะ ไอหมอกสลายหายไปอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นคันฉ่องแก้วที่แตกเป็นหลายชิ้นบนพื้น
ฝุ่นผงสีขาวจำนวนมากถูกพัดขึ้นจากพื้น พวกมันจางลง โปร่งแสง แล้วหายไป
รออยู่สิบกว่านาที สภาพผิดปกติจึงค่อยปลาสนาการไป ลู่เซิ่งก้มลงเก็บเศษคันฉ่องขึ้นมาชิ้นหนึ่ง มันเป็นแก้วธรรมดาๆ ที่ไม่มีความผิดปกติหรือสิ่งแปลกปลอมใดๆ
คนที่อยู่ในห้องเก็บของสะสมพากันล้มลง ก่อนจะสิ้นสติไป
ลู่เซิ่งหันกลับมา สายตาอยู่บนมีดสั้นที่ค่อยๆ หายไปจากมือพวกเขา
‘ว่าแล้ว…แม้จะไม่มีคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก แต่มีดสั้นแบบนี้ก็มีอานุภาพน่าตกตะลึง ทั้งยังมีพลังทำลายล้างแข็งแกร่งสุดขีด หากลอบโจมตีทีเผลอ แม้แต่เราก็ยังได้รับบาดเจ็บ ครั้งต่อไปต้องระวังแล้ว’
เขาไม่เหลือบแลคนที่กองอยู่บนพื้น ตอนนี้ทางเข้าประตูแห่งความเจ็บปวดปิดลงแล้ว ทว่ายังต้องตรวจสอบต่อไปว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลเฟ่ยกันแน่
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องของเขาแล้ว
ลู่เซิ่งหยิบพลุส่งข่าวของสำนักพันอาทิตย์ออกมาจากอกเสื้อ จากนั้นก็ดึงสายชนวนออกเบาๆ แล้วโยนไปนอกประตู ทันใดนั้นพลุควันก็พุ่งสู่ฟากฟ้า ก่อนจะระเบิดกลายเป็นคำว่าดวงอาทิตย์สีทองอ่อนๆ ขนาดใหญ่
ยืนรออยู่ที่เดิมไม่นานนัก ลู่เซิ่งก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศมาถึงด้วยความเร็วสูง จึงผลักประตูออกไป
ตอนนี้คนสวมอาภรณ์สีม่วงคลุมหน้าสองคนทิ้งตัวลงในเรือนอย่างแผ่วเบา บนอกซ้ายมีคำว่าพันอาทิตย์ปักติดอยู่
“ศิษย์จริงแท้ลู่” คนหนึ่งในนี้ประสานมือไปทางลู่เซิ่ง “เรื่องใดควรค่าให้ท่านใช้อักขระสัญญาณเตือนฉุกเฉินกัน”
“ข้าเจอประตูแห่งความเจ็บปวดบานใหม่ที่นี่ ต้องการรายงานให้ปิดผนึกและรักษาเป็นความลับ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย
“ประตูแห่งความเจ็บปวดหรือ?!” คนทั้งสองร้องอุทานพร้อมกัน สายตาที่เผยออกมานอกผ้าคลุมหน้าเปลี่ยนแปลงไป
“ได้โปรดรอสักครู่” คนหนึ่งในนี้กล่าวอย่างนอบน้อม ขณะเดียวกันก็หยิบจานกลมอันประณีตออกมาจากในอกเสื้อ แล้วทำการหมุน
ลู่เซิ่งพยักหน้า ก่อนจะหันไปตรวจสอบอาการบาดเจ็บของคนในห้อง
เฟ่ยไป๋หลิงถึงกับไม่ตาย อาการบาดเจ็บบนร่างฟื้นฟูมาเจ็ดแปดส่วนแล้ว เมื่อครู่ตอนที่เขากระทืบใส่ไม่ได้ยั้งแรงไว้ หากเป็นคนธรรมดาคงถูกกระทืบขาดเป็นสองส่วนไปแล้ว แต่เฟ่ยไป๋หลิงกระดูกหักแค่สิบกว่าท่อน นอกนั้นก็ไม่เป็นอะไร จะต้องมีเลศนัยแน่
ลู่เซิ่งครุ่นคิดเล็กน้อย ยังคงข่มใจไม่ตรวจสอบร่างของนางต่อ สตรีนางนี้ข้องเกี่ยวกับประตูแห่งความเจ็บปวด มีผลกระทบมากเกินไป เกรงว่าจะสร้างความตื่นตัวให้แก่สำนักระดับบนโดยตรง
ที่นี่ไม่ใช่ต้าซ่ง ร่องรอยที่เขาทิ้งเอาไว้จะต้องถูกพบแน่ ถึงเวลานั้นคงได้ไม่คุ้มเสีย
ครั้งนี้เขาได้ทั้งผลประโยชน์ ได้ทั้งความดีความชอบ ได้ทั้งพลังอาวรณ์ และได้เห็นว่าโลกแห่งความเจ็บปวดในเรื่องเล่าขานเป็นอย่างไร
ทั้งสามรออยู่อีกสักพัก ไม่นานเงาคนหลายสายก็พากันทิ้งตัวลงจากท้องฟ้ามาถึงข้างบ่อน้ำในเรือน
เฉินจิ้งจือเจ้าสำนักพันอาทิตย์ก็มาถึงแล้วเช่นกัน เขาเพิ่งจัดการเรื่องสถานะของลู่เซิ่งไป กำลังพักได้ไม่นาน ก็ได้รับการรายงานเรื่องประตูแห่งความเจ็บปวด จึงมุ่งหน้ามาเองด้วยความแตกตื่นตกใจ จะต้องควบคุมสถานการณ์และค้นหาข้อมูลข่าวสารได้ก่อนที่กรมหยินหยางกับกรมสังข์เขียวจะมาถึงให้ได้
ด้านข้างเขาเป็นหน่วยเรียกใช้ฉุกเฉินของสำนักพันอาทิตย์ คนจากหน่วยอาทิตย์โลหิต
หน่วยอาทิตย์โลหิตมีคนมาทั้งหมดสามคน แต่ละคนต่างมีสีหน้าไร้อารมณ์ สวมเสื้อคลุมสีขาวขลิบแดงตรงขอบ ร่างกายแผ่ซ่านกลิ่นอายอันเหี้ยมหาญระดับปฐมปฐพีหรือระดับอสรพิษ
“เป็นที่นี่อย่างนั้นหรือเจ้าสำนักเฉิน” คนจากหน่วยอาทิตย์โลหิตคนหนึ่งถามเบาๆ
“ที่นี่แหละ ผู้พบคือลู่เซิ่งศิษย์จริงแท้อันดับสองของสายข้า เขาฝึกฝนอยู่ในเรือนใกล้ๆ นี้พอดี” เฉินจิ้งจือเห็นลู่เซิ่งที่เดินออกจากห้องแล้ว จึงพยักหน้าให้อีกฝ่ายเล็กน้อย
“พวกเราต้องตรวจสอบอย่างละเอียด สถานะของศิษย์จริงแท้ลู่แตกต่างกับคนอื่นๆ ต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง ขอให้เจ้าสำนักเฉินอย่าถือสา” คนจากหน่วยอาทิตย์โลหิตคนนั้นตอบอย่างราบเรียบ
“คงไม่มีปัญหาอะไรกระมัง” เฉินจิ้งจือขมวดคิ้ว ถ้าหากไม่เกี่ยวข้องกับประตูแห่งความเจ็บปวด เขาก็ไม่อยากจะติดต่อกับคนของหน่วยอาทิตย์โลหิตเท่าไหร่ พวกเขาล้วนเป็นประเภทฆ่าคนตาไม่กะพริบ หลายๆ คนเป็นยอดฝีมือที่ปลดประจำการจากสมรภูมิสู้รบกับทัพมาร ใจคอโหดเหี้ยม ลงมือฆ่าคนยังพอว่า คนที่หัวรุนแรงกว่าถึงขั้นฆ่าล้างโคตร กระหายการฆ่าฟันยิ่ง เขาเลยไม่ชมชอบ
“เจ้าสำนักไม่ต้องห่วง ถ้าหากตรวจสอบพบว่าเป็นประตูแห่งความเจ็บปวดจริงๆ เช่นนั้นครั้งนี้ศิษย์จริงแท้ลู่ก็ได้สร้างความดีความชอบแล้ว” คนจากหน่วยอาทิตย์โลหิตคนนั้นพยายามเค้นยิ้ม นับว่าให้การรับประกันกับเฉินจิ้งจือ
“อย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว” เฉินจิ้งจือพูดพลางโบกมือให้ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งได้ยินบทสนทนาของทางด้านนี้แล้วเช่นกัน จึงทราบสถานะของคนจากหน่วยอาทิตย์โลหิตอย่างคร่าวๆ เวลานี้เข้ามาใกล้ๆ
“คำนับผู้อาวุโสทุกท่าน” เขายิ้มทักทายทุกคนพลางทำท่าไร้การศึกษา
“ศิษย์จริงแท้ลู่เกรงใจแล้ว” คนที่เป็นหัวหน้าของหน่วยอาทิตย์โลหิตยิ้มอย่างแข็งทื่อ “ได้โปรดเล่าเรื่องที่ท่านพบประตูแห่งความเจ็บปวด ขออย่าตกหล่น”
“ไม่มีปัญหา” ลู่เซิ่งพยักหน้า เริ่มเล่าเรื่องที่ตนพบความผิดปกติของตระกูลเฟ่ยโดยไม่มีตกหล่น
เล่าอยู่เกือบสิบกว่านาที
“เป็นกลไกลืมเลือนจริงๆ ด้วย” หัวหน้าหน่วยอาทิตย์โลหิตผุดสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “มิน่าแม้แต่กรมสังข์เขียวก็ไม่เจอ ครั้งนี้พวกเราจะเก็บซากกลับไปสำนัก บางทีอาจจะผนึกร่องแยกของโลกแห่งความเจ็บปวดสักสายหนึ่งได้ก่อนเวลา ศิษย์จริงแท้ลู่สร้างคุณูปการใหญ่หลวงจริงๆ”
“ผู้อาวุโสเกรงใจแล้ว ผู้เยาว์เพียงแค่โชคดีแค่นั้น” ลู่เซิ่งกล่าวถ่อมตัว
“โชคดี ป้องกันการติดเชื้อจากความเจ็บปวดไม่ได้หรอก…” หัวหน้าหน่วยอาทิตย์โลหิตกล่าวอย่างมีนัย
ลู่เซิ่งยิ้มๆ ไม่ได้ตอบกลับ
“จริงสิลู่เซิ่ง เจ้ายังไม่ได้กลับไปเลือกวิชาจริงแท้สำหรับฝึกเสริมที่สำนักเลยกระมัง” เฉินจิ้งจือที่อยู่ด้านข้างถามอย่างกะทันหัน “อีกเดี๋ยวหลังข้าจัดการเรื่องนี้เสร็จก็จะกลับไปพอดี เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่”
“ขอบคุณเจ้าสำนักมาก ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง” ลู่เซิ่งฟังออกว่าเฉินจิ้งจือกำลังปิดบังให้ตัวเอง จึงรีบตอบกลับ
“เช่นนั้นก็ไม่รบกวนทั้งสองท่านแล้ว” หัวหน้าหน่วยอาทิตย์โลหิตพยักหน้า “ตามสบาย”
เฉินจิ้งจือพยักหน้า ก่อนจะสะบัดมือ ภาพม้วนหนึ่งพุ่งออกมาจากในแขนเสื้อ
ผืนภาพสีขาวบริสุทธิ์คลี่ออกจนกลายเป็นกระดาษทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่กว้างถึงห้าหมี่กว่าๆ ยาวถึงหกหมี่กว่าๆ ลอยอยู่กลางอากาศ
เขากระโดดขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนกระดาษอย่างแผ่วเบา
ลู่เซิ่งกระโดดขึ้นไปบนกระดาษเหมือนกัน
“ขึ้น”
เฉินจิ้งจือยกมือขึ้น ม้วนภาพพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าในทันที
ทั้งสองใช้เวลาไม่กี่อึดใจก็บินออกจากตระกูลเฟ่ย ไปอยู่เหนือท้องฟ้าของเขตจันทราสารทหลายสิบหมี่
กระแสอากาศทั้งหมดไหลผ่านม้วนภาพไปอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งสองนั่งอยู่ด้านบนแต่กลับไม่รู้สึกถึงลมเย็นๆ เลยแม้แต่น้อย
เมฆขาวด้านบนเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิ่งก่อสร้างสีเทาด้านล่างถดถอยไปด้านหลัง
เฉินจิ้งจือไม่ได้มองทิศทางที่ม้วนภาพบินไป แต่สายตากลับอยู่บนร่างลู่เซิ่ง
“ลู่เซิ่ง ไม่มีปัญหากระมัง”
ลู่เซิ่งงุนงง จากนั้นก็รู้สึกตัว เจ้าสำนักผู้นี้กำลังถามเขาอยู่ว่าได้รับบาดเจ็บ หรือไปข้องเกี่ยวกับความลับและความผิดใดๆ หรือไม่
เขาส่ายหน้า “ไม่มีปัญหาขอรับ”
“อย่างนั้นก็ดี คนของหน่วยอาทิตย์โลหิตหัวรุนแรงมาก หากเกี่ยวข้องกับโลกแห่งความเจ็บปวดหรือพิภพมาร จะไม่มีความเกรงใจใดๆ เจ้าต้องระวังไว้” เฉินจิ้งจือเตือน “หนึ่งในหัวหน้าสามคนของพวกเขาเคยทำลายขุมกำลังใหญ่สองกลุ่ม และอาวุธเทพศัสตรามารในโลกภายนอกมาแล้วเพราะความสงสัยแค่เล็กๆ แม้อาจารย์ของเจ้าจะเป็นท่านนั้น แต่ว่าสถานะของสามคนนั้นก็เป็นศัสตราเทพคลั่ง ไม่มีใครบอกได้ว่าพวกมันคิดอะไรอยู่ในใจ สาเหตุที่ในคำว่าศัสตราเทพคลั่งมีคำว่าคลั่ง เป็นเพราะพวกมันสุดโต่งไม่สนใจกฎเกณฑ์นั่นเอง”
ลู่เซิ่งพลันจิตใจหนักอึ้ง
“ข้ารู้แล้ว ไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ”
“เช่นนั้นก็ดี” เฉินจิ้งจือพยักหน้า เขาไม่ถามว่าลู่เซิ่งใช้อะไรถึงได้ต้านทานกลไกลืมเลือนกับการติดเชื้อจากความเจ็บปวดของโลกแห่งความเจ็บปวดได้ แต่ละคนมีวาสนาของใครของมัน ขอแค่ไม่ติดเชื้อจากเผ่ามารกับโลกแห่งความเจ็บปวด คนของหน่วยอาทิตย์โลหิตก็จะไม่หาเรื่อง
“สาขาย่อยเล็กเกินไปสำหรับเจ้า อีกไม่นานเจ้าอาจได้รับการเลื่อนระดับเข้าไปในสำนักระดับบนในระดับจังหวัด ทางด้านนั้นเป็นฟ้าดินกว้างใหญ่ของจริง สามารถพบเห็นลูกศิษย์และสายเลือดของผู้อาวุโส ผู้ถืออาวุธ ศัสตราเทพคลั่ง และอริยะเจ้าได้ คุณสมบัติของเจ้าโดดเด่นมากในที่แห่งนี้ แต่เมื่อไปถึงที่นั่นก็จะเป็นเพียงคนทั่วไปเท่านั้น แม้ใต้เท้าเชียนตู้จะแข็งแกร่ง แต่เจ้าก็ไม่ใช่ศิษย์ของนางอย่างแท้จริง นางเองก็ไม่เคยถ่ายทอดอะไรด้วยตัวเอง ดังนั้นต้องระมัดระวังเอาไว้” เห็นได้ชัดว่าเฉินจิ้งจือมีเบื้องหลังไม่น้อย ทราบเรื่องราวด้านนี้ดุจอยู่บนฝ่ามือ เล่าถึงความล้ำลึกในเรื่องนี้ให้ลู่เซิ่งฟังอย่างละเอียด
“ข้าทราบแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ที่ข้าพูดเรื่องเหล่านี้เป็นเพราะข้อมูลของเจ้าดึงดูดความสนใจของสำนักระดับบนแล้ว สำนักระดับบนที่เขตจันทราสารทสังกัดคือสำนักพันอาทิตย์ในจังหวัดไร้เหมันต์ ทางนั้นได้ออกคำสั่งส่งตัวเจ้าอย่างเป็นทางการแล้ว หลังเจ้าเลือกวิชาฝึกเสริมเสร็จ รอคำสั่งมาถึงก็สามารถเดินทางได้” เฉินจิ้งจืออธิบาย “แน่นอนว่าเจ้าเลือกจะอยู่ที่เดิม อยู่ที่เขตจันทราสารทก็ได้ แต่นี่ไม่ใช่การเลือกที่ดี ที่นี่เล็กเกินไป อ่อนแอเกินไป ไม่มีหอคอยวิญญาณจริงแท้ จึงจำกัดการเติบโตของเจ้ามากเกินไป”
……………………………………….