ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 344 วิชากับทาสรับใช้ (4)
บทที่ 344 วิชากับทาสรับใช้ (4)
“ศิษย์น้องลองดู สองคนนี้เป็นคนที่มีสายเลือดราชวงศ์ที่จับมาจากโลกภายนอก อายุไม่เกินสามสิบปี หลังจากผ่านการล้างสมองสามครั้ง ก็ได้ลบความทรงจำและสติปัญญาทั้งหมดไปแล้ว เจ้าอยากได้นิสัยและรูปแบบอย่างไร ก็สามารถใส่เข้าไปได้ตามใจ” อวิ๋นว่านเฟยแนะนำ “คุณสมบัติของพวกเขาสามารถบ่มเพาะถึงระดับพันธนาการได้ เป็นตัวเลือกประเภทผู้ช่วยในพื้นที่ปลอดภัยได้อย่างเหลือเฟือ”
นางเป็นบรรพชนสายรองของตระกูลอวิ๋น ทว่ากลับแนะนำคุณภาพของสินค้าให้ลู่เซิ่งฟังด้วยตัวเอง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นยามปกติ สินค้าที่มีระดับและราคาเช่นนี้ ต่อให้มีมาสักหนึ่งร้อย ก็ไม่ควรค่าให้นางออกโรงด้วยตัวเอง
กระนั้นตอนนี้แตกต่างออกไป ไม่ว่าศักยภาพ สถานะ หรือเบื้องหลัง ลู่เซิ่งก็ควรค่าให้นางทุ่มทุน
ลู่เซิ่งส่ายหน้า “ยังมีสินค้าใดอีกหรือไม่ ข้าไม่ต้องการสินค้าที่ถูกลบนิสัยทิ้งทั้งหมด ภายหลังจะเกิดภัยแฝงเร้นมากเกินไป ถ้าหากเกิดความสงสัยในตัวเอง สมควรมีปัญหามากกระมัง”
“ศิษย์น้องช่างเป็นคนรอบรู้จริงๆ” อวิ๋นว่านเฟยพยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของสินค้าประเภทนี้ เป็นเพราะลบความทรงจำ สติปัญญาจึงได้รับความเสียหาย บวกกับยากจะกลายเป็นรูปแบบควาทรงจำที่ไร้ช่องโหว่โดยสมบูรณ์ ดังนั้นลูกค้าจำนวนมากจึงไม่ชอบสินค้าแบบนี้ ถ้าหากไม่สนใจด้านนี้ ศิษย์พี่เพิ่งจับสินค้าที่มีนิสัยและศักยภาพดีๆ มาได้สองสามชิ้น”
นางปรบมืออีกครั้ง
บุรุษสตรีทั้งสองคนลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปในทางเชื่อม จากนั้นก็มีบุรุษร่างสูงใหญ่ที่สวมเสื้อคลุมสีดำตัวหนาจำนวนหนึ่งผลักกรงสีดำทำจากโลหะหลายกรงมาถึงด้านหน้าคนทั้งสอง
“สินค้าเหล่านี้ ศิษย์น้องลองดูว่าน่าสนใจหรือไม่” อวิ๋นว่านเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งพยักหน้าแล้วกวาดตามอง
มีกรงทั้งหมดเก้ากรง ส่วนใหญ่เป็นสตรี บุรุษสตรีในกรงทั้งหมดล้วนหล่อเหลาสง่างาม รูปร่างดีถึงขีดสุด แสดงให้เห็นว่าได้รับการคัดเลือกมาก่อน
หนำซ้ำคนในนั้นต่างก็ถูกโซ่อักขระตรึงแขนขาและคอเอาไว้ ถูกแขวนอยู่กลางกรงในลักษณะอ้าแขนอ้าขา
เทียบกับสองคนก่อนหน้านี้แล้ว แม้คนเหล่านี้จะถูกขังอยู่ในกรง แต่ล้วนสวมอาภรณ์ แถมยังเป็นอาภรณ์ที่ขับเน้นความโดดเด่นของพวกเขาออกมาได้
บุรุษเพศแสดงเค้าโครงกล้ามเนื้ออันกำยำกับต้นทุนอันยิ่งใหญ่ในลักษณะกึ่งเปิดกึ่งปิด สตรีเพศอวดจุดซ่อนเร้นวับๆ แวมๆ บ้างก็สวมชุดแนบเนื้อซึ่งขับเน้นทรวดทรงองค์เอวโดยสมบูรณ์
ทุกคนต่างแสดงสีหน้าเฉยชา ผิวบนร่างสะอาดสะอ้าน ทั้งยังมีกลิ่นหอมจางๆ
ลู่เซิ่งกวาดมองไป อยู่ๆ ก็หยีตา จากนั้นก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“เป็นอย่างไร ศิษย์น้องมีสินค้าที่ถูกใจหรือไม่” อวิ๋นว่านเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม “ทาสรับใช้ตรงนี้ แต่ละคนมีราคาระหว่างหนึ่งร้อยถึงหนึ่งร้อยห้าสิบทองคำมาร ล้วนเป็นของดีที่มีพลังฝึกปรือติดตัว เป็นเพราะไม่ได้ถูกล้างสมอง ดังนั้นราคานี้จึงเป็นราคารวมที่ครอบคลุมถึงค่ายกลเข็มควบคุมจิตใจด้วย”
ลู่เซิ่งได้ยินดังนั้นย่อมเข้าใจว่าอีกฝ่ายคำนวณราคาทองคำที่เขามีอยู่ ถ้าหากเป็นพลังฝึกปรือที่เขาอยากได้จริงๆ อย่างนั้นทองคำมารแค่นี้สามารถลดให้ได้ อวิ๋นว่านเฟยกำลังช่วยเหลืออยู่ แถมยังเป็นการช่วยเหลือที่ปฏิเสธไม่ได้เสียด้วย
เขาแสดงสีหน้าเรียบเฉย แสร้งทำเป็นกวาดสายตา สุดท้ายก็หยุดบนกรงที่เจ็ด
และในกรงที่เจ็ดนี้ก็กำลังคุมขังสตรีงดงามที่สวมกระโปรงสั้นใบบัวสีขาวคนหนึ่ง ตาเรียวของนางสดใส ทรวงอกอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ สองขาเรียวยาวกลมกลึง ผมยาวสีดำปกปิดใบหน้าอันงดงามไว้มากกว่าครึ่ง เป็นตวนมู่หว่านที่ไม่ได้พบกันมานาน!
เห็นได้ชัดว่าตวนมู่หว่านยังสับสนอยู่บ้าง ทว่าพอได้ยินเสียงจากด้านนอกก็รู้สึกตัวเล็กน้อย นางพยายามเงยหน้าขึ้นเพื่อมองผ่านกรงออกไปด้านนอก
“กรงนี้กางค่ายกลเอาไว้ มองออกมาไม่เห็นด้านนอก เพื่อป้องกันไม่ให้ทาสรับใช้ฉวยโอกาสก่อจลาจล” อวิ๋นว่านเฟยดูออกว่าลู่เซิ่งคล้ายมีความคิดบางอย่างกับทาสรับใช้ผู้นี้
นางแนะนำต่อ “ในกรงหมายเลขเจ็ดเป็นสินค้าชั้นดีที่พวกเราจับได้ใกล้ๆ ต้าซ่ง เดิมทีมีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับฉลักษณ์ แต่ตอนที่พวกเราจับนางได้ นางบาดเจ็บสาหัสจนเสียพลังฝึกปรือทั้งหมดไป หลังจากได้รับการรักษา จึงรอดชีวิตมาได้”
“ข้าเลือกนาง” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ อย่างไรก็นับว่ารู้จักกับตวนมู่หว่าน ในเมื่อช่วยเหลือได้ก็ควรช่วยเหลือ
“ศิษย์น้องสายตาดีมาก ข้ายังอธิบายความสามารถของหมายเลขเจ็ดไม่หมด” อวิ๋นว่านเฟยยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้อได้เปรียบของคนผู้นี้ไม่ใช่พลังฝึกปรือและไม่ใช่รูปโฉม หากเป็นสายเลือด สายเลือดของหมายเลขเจ็ดเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งปีศาจ ต่อให้จะพิการแล้ว ขีดจำกัดก็ยังสูงถึงระดับปฐมปฐพี ไม่ว่าจะเอาสายเลือดมาหลอมเข้าไปในยา หรือบ่มเพาะเป็นข้ารับใช้ ล้วนคุ้มค่าทั้งสิ้น”
ลู่เซิ่งพยักหน้า เขาไม่ปิดบังเช่นกัน
“จะว่าไปข้ารู้สึกว่าหมายเลขเจ็ดนี้เหมือนกับคนรู้จักในอดีตคนหนึ่งของข้า จึงตัดสินใจเลือกนาง”
“เช่นนั้นก็โชคดีจริงๆ” อวิ๋นว่านเฟยยิ้มอย่างค่อนข้างมีเลศนัย “เป็นคนรู้จักก็ยิ่งดี ศิษย์น้องจะจ่ายสดหรือว่า?”
“จ่ายสด” ลู่เซิ่งหยิบมุกบุปผาม่วงกับตั๋วเงินจำนวนห้าสิบทองคำมารออกมาจากในถุงย่ามข้างเอว แล้วยื่นส่งให้อวิ๋นว่านเฟย
อวิ๋นว่านเฟยหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่นางได้จับเงินจำนวนแค่นี้ด้วยตัวเอง แต่โดยเปลือกนอกนางยังคงไม่แสดงสีหน้า รับทองคำมารกับมุกบุปผาม่วงมา จากนั้นก็วางกล่องเข็มสีดำอมม่วงไว้ในมือลู่เซิ่ง
“นี่เป็นเข็มมารดาควบคุมจิต ขอแค่ทาสรับใช้ไม่เชื่อฟัง ก็ใส่ปราณจริงแท้เข้าไปได้ ส่วนประสิทธิผล ศิษย์น้องลองดูก็จะรู้เอง”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“อย่างนั้นข้าควรนำไปอย่างไร” เขาไม่เข้าใจกฎทางด้านนี้
“ศิษย์น้องให้ที่อยู่มา พวกเราจะส่งไปที่คฤหาสน์ให้ หรือจะเอาไปตอนนี้เลยก็ได้” อวิ๋นว่านเฟยมองลู่เซิ่งอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “จริงสิศิษย์น้อง ลืมเตือนเจ้าไป เข็มควบคุมจิตใจนี้เปลี่ยนแปลงสมองแบบถาวร เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างโดยสมบูรณ์ ไม่สามารถขจัดทิ้งได้ ถ้าหากเจ้ามีความคิดใด ขอให้ถือเข็มมารดาเอาไว้บนมือ”
“อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งหรี่ตา
“เข็มควบคุมจิตใจไม่อาจขจัดทิ้งได้ เกิดว่าขจัดทิ้งจะทำให้สมองตายโดยสมบูรณ์ ทางที่ดีศิษย์น้องอย่าได้หุนหันพลันแล่น นอกจากนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ทาสรับใช้ชิงเข็มมารดาไป พวกเราเลยสร้างกฎขึ้นมาว่าห้ามเข้าใกล้เข็มมารดา ขอให้ศิษย์น้องระวังด้วย” อวิ๋นว่านเฟยอธิบายอย่างละเอียด “ถ้าหากเจ้าต้องการรับประกันความปลอดภัยของข้ารับใช้ วิธีการที่ดีที่สุดคือเก็บเข็มมารดาเอาไว้กับตัวเอง”
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งรับกล่องเข็มมา มองดูกรงหมายเลขเจ็ดอีกครั้ง แน่ใจว่านั่นคือตวนมู่หว่าน
ตวนมู่หวานมีสีหน้าแตกตื่นสงสัย ในฐานะยอดฝีมือระดับพันธนาการ ความทรงจำของนางย่อมดีถึงที่สุด จึงไม่มีทางลืมเสียงของลู่เซิ่งที่เคยรู้จัก ทั้งยังสลักลึกไว้ในความทรงจำ
ขณะฟังเสียงสนทนาของลู่เซิ่งกับอวิ๋นว่านเฟย นางก็ยืนยันได้แล้วว่า เป็นไปได้อย่างยิ่งที่บุรุษซึ่งโผล่มาใหม่คนนี้เป็นคนที่ตนเคยรู้จัก
พอคิดถึงข้อนี้ บนใบหน้าขาวผ่องของตวนมู่หว่านก็ปรากฏความขุ่นเขืองและจนปัญญา นางขุ่นเคืองที่ตนเองพ่ายแพ้ในตอนสุดท้ายอย่างคาดไม่ถึง ทั้งยังไม่ตาย กลับทำให้สหายเก่าได้เห็นสภาพทุลักทุเลของตนเองแบบนี้
นางซึ่งถูกจับแขวนอยู่กลางกรงพยายามเบือนหน้าหนีและทำให้ผมของตัวเองปิดใบหน้าที่แดงขึ้นเรื่อยๆ
“หากศิษย์น้องยังมีข้อสงสัยใด สามารถมาหาข้าที่สำนักได้ทุกเวลา ปกติแล้วข้าจะอยู่ในห้องโอสถกับหอเก็บหนังสือ” อวิ๋นว่านเฟยกล่าวต่อ
“ขอบคุณศิษย์พี่มาก”
ลู่เซิ่งลุกขึ้นประสานมือขอบคุณอวิ๋นว่านเฟย จากนั้นร่างก็ระเบิดกลายเป็นควันเขียวสลายไป
อวิ๋นว่านเฟยลุกขึ้นตาม มองดูตวนมู่หว่านแวบหนึ่งแล้วหัวเราะเบาๆ นางมองออกว่าน้ำใจในครั้งนี้จะต้องเหนือกว่าที่คาดการณ์ไว้แน่ นึกไม่ถึงว่าทาสรับใช้ที่จับมาจากชายแดนจะมีประสิทธิผลขนาดนี้
…
ฟ้าว!
กระบี่ยาวสั่นสะเทือน ลู่เซิ่งพลิกมือหมุน เสียงฟ้าวดังขึ้นเมื่อบุปผากระบี่หลายสิบสายปรากฏแวบขึ้น เขากระโจนเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะฟันคมกระบี่ออกไปรอบทิศทาง
ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว
กระแสอากาศแหลมคมที่เรียวเล็กแต่ไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งพากันพุ่งลงด้านล่าง ผ่าเสาไม้ที่สั่งทำพิเศษห้าต้นที่ตั้งในตัวลานอย่างง่ายดายเพียงยกมือ
ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงบนพื้น เก็บกระบี่ หลับตา และปรับลมหายใจ
เขาไม่ได้ใช้ร่างมารอันเหี้ยมหาญในวิถีแปดมารสูงสุด และไม่ได้ใช้ปราณเหลวอันเป็นปราณภายในกับแก่นมาร แต่อาศัยแค่ปราณจริงแท้เล็กน้อยกับทักษะอันบริสุทธิ์ในการสร้างผลลัพธ์แบบนี้
วิชากระบี่เป็นวิชากระบี่ขับไล่อาทิตย์ธรรมดาๆ ซึ่งเป็นเพียงแค่กระบวนท่าเท่านั้น ทว่าหลังจากลู่เซิ่งเติมปราณจริงแท้เข้าไปก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นอย่างฉับพลัน กลายเป็นอานุภาพอย่างในปัจจุบัน
“เป็นความเข้าใจที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!” เสียงปรบมือดังขึ้นด้านข้าง
อาทิตย์ร้อนแรงลอยกลางเวหา ผู้อาวุโสจางซื่อหลงหยีตาเดินออกมาจากในเงามืดบนตัวลานพร้อมกับถอนใจชมเชย
“ลู่เซิ่งการฝึกฝนปราณจริงแท้ของเจ้ารวดเร็วเกินไปแล้ว ตอนนี้ไปถึงระดับจตุลักษณ์แล้วกระมัง สมกับเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักสาขาย่อย”
ลู่เซิ่งลืมตาพลางยิ้มบาง “ยังดี เป็นเพราะสารกายในเขตถ่ายทอดความลับเข้มข้นเกินไป ถึงได้มีความก้าวหน้าเร็วขนาดนี้ แต่ต่อจากนี้คงไม่เหมือนกันแล้ว การสั่งสมที่จำเป็นยิ่งมายิ่งมาก ความเร็วในการยกระดับคงจะไม่เร็วแบบนี้อีกแล้ว”
“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่คนที่เร็วได้เท่าเจ้าจริงๆ จะมีสักกี่คนกัน” จางซื่อหลงถอนใจ
ก๊อกๆๆ
เขาอยากจะพูดต่อแต่ก็หยุดไว้ เพราะประตูเรือนถูกเคาะอย่างช้าๆ
“ขอถามใช่คฤหาสน์ของคุณชายลู่หรือไม่” เสียงบุรุษที่ทุ้มต่ำดังมาจากด้านนอก
ลู่เซิ่งยกแขนเสื้อ ประตูเรือนเปิดออกดังเอี๊ยด
กรงใบใหญ่ที่คลุมผ้าสีดำเอาไว้ วางอยู่ด้านนอกประตู นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีใครอีก
“นี่เป็นสินค้าที่ท่านซื้อไว้ โปรดตรวจสอบด้วย” เสียงนั้นลอยมาแต่ไกล แสดงให้เห็นว่าเดินไปไกลแล้ว
รอยยิ้มบนใบหน้าลู่เซิ่งค่อยๆ จางลง “พี่ผู้เฒ่าจาง ข้าขอตัวสักครู่”
“เจ้าทำธุระเถอะ ข้ากำลังจะไปดูกระบี่ที่ห้องเก็บอาวุธพอดี ไม่รบกวนเจ้าแล้ว” จางซื่อหลงขยิบตาให้ลู่เซิ่งอย่างหยอกเย้า ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากเรือน แล้วหายไปโดยไม่รอคำตอบ
ลู่เซิ่งหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ รู้ว่าโดนเข้าใจผิดเสียแล้ว แต่เขาไม่ได้ว่าอะไร เดินเข้าไปยกกรงเข้ามาวางไว้ในห้องหนังสือ
พรึ่บ
ด้านในกรงปรากฏตวนมู่หว่านที่นั่งขัดสมาธิเปลือยกายอยู่ตรงกลางอย่างสงบนิ่ง
ลู่เซิ่งโบกมือ สลักประตูกรงส่งเสียงดังแกร๊ก จากนั้นก็เปิดออกเอง
ตวนมู่หว่านลืมตาโดยพลัน เดินไปถึงข้างประตูแล้วผลักเบาๆ ก่อนจะเดินออกมา
“เป็นท่านจริงๆ ด้วย!” นางเงยหน้าขึ้นมองลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผุดสีหน้าซับซ้อนขึ้นมาชั่วขณะ ความเหนียมอายในดวงตามีความสุขแทรกอยู่
“ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่ท่าน ข้าอาจจะไม่ได้รับการปฏิบัติดีๆ แบบนี้…”
“ไม่เจอกันนาน” ลู่เซิ่งยิ้ม “แต่ก่อนจะรำลึกถึงความหลัง ท่านใส่เสื้อผ้าก่อนดีกว่า”
ตวนมู่หว่านค่อยรู้สึกตัว รีบทรุดนั่งลง ใช้มือปิดหน้าอกและท่อนล่างไว้ ใบหน้าแดงก่ำกว่าเดิม
……………………………………….