ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 347 ภารกิจ (1)
บทที่ 347 ภารกิจ (1)
“ใช้เวลาไม่นานแต่ทำงานได้คล่องทีเดียว” ลู่เซิ่งถอนใจชมเชย
“ขอบคุณที่ชมเจ้าค่ะ” ตวนมู่หว่านทำท่ามีมารยาท
“ถ้า ข้าบอกว่าถ้านะ อยู่ๆ ข้าจากไป หรือต้องไปจัดการเรื่องด่วนบางประการ เจ้าจะทำอย่างไร” ลู่เซิ่งถาม
ตวนมู่หว่านยิ้มอย่างอ่อนหวาน “นี่นับเป็นการทดสอบหรือไม่”
“นับก็ได้” ลู่เซิ่งยิ้ม
“ข้า…จะเอาของล้ำค่าไปขอความช่วยเหลือเท่าที่หาได้ทันที ถ้าหากหาไม่ได้ ข้าจะซ่อนตัว คอยสังเกตสถานการณ์” ตวนมู่หว่านคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ดีมาก นี่เป็นสิ่งที่ข้าหวัง” ลู่เซิ่งตัดทะลุลาน เดินออกจากประตูใหญ่ จากนั้นก็เห็นจางซื่อหลงผู้อาวุโสจางที่เดินมาพอดี
“คำสั่งมาแล้วลู่เซิ่ง” จางซื่อหลงชูผ้าไหมในมือ “ออกเดินทางในเจ็ดวัน”
“พอดีเลย…” ลู่เซิ่งรับผ้าไหมมาคลี่ออกเบาๆ
เนื้อหาที่เขียนอยู่ด้านบนผ้าไหมทำให้เขางุนงงเล็กน้อย
‘ออกเดินทางในเจ็ดวัน ภารกิจทดสอบ—หากใช้ผ้าไหมผืนนี้กำหนดพิกัดระหว่างทาง จะสามารถเข้าสู่โลกด้านนอกได้ จงตามหาสวนหิมะม่วง หาสิ่งของที่กำหนด วางค่ายกลฉายภาพ และสร้างสถานีหน้าที่สมบูรณ์ เวลาจำกัดคือหนึ่งเดือน’
“นี่คืออะไร” เขานึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่า การไปสำนักระดับบนจะต้องผ่านภารกิจทดสอบ
“เจ้าจะเลือกไม่ทำก็ได้ แต่เมื่อเป็นแบบนี้ หลังไปถึงจังหวัดไร้เหมันต์ เจ้าจะเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาทั่วไป ภารกิจทดสอบนี้ใช้แบ่งระดับของทุกคน” จางซื่อหลงอธิบาย
“ภารกิจของทุกคนล้วนเหมือนกันหรือไม่”
“ไม่แน่เสมอไป โลกด้านนอกมีอยู่มากมาย ปกติแล้วภารกิจแบบนี้จะเป็นแค่การตามหาโลกด้านนอกระดับต่ำในเวลาจำกัด เป็นโลกเล็กๆ ที่มีความยากระดับหนึ่ง แต่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้ทดสอบ” จางซื่อหลงอธิบายต่อ
“ข้าเข้าใจแล้ว ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ นี่นับเป็นการเข้าไปทำภารกิจในโลกใบอื่นเป็นครั้งแรกของข้า” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างสนใจ
“ถูกต้อง ครั้งก่อนเป็นแค่การฉายภาพเข้าไป พอเป็นแบบนี้เจ้าต้องเตรียมตัวให้มากๆ ของขลังอัญเชิญข้ารับใช้และอักขระค่ายกลประเภทค้นหากลิ่นอาย ล้วนต้องจัดหาไว้” จางซื่อหลงกล่าวพลางขมวดคิ้ว
“ข้าจะจัดการเอง ถ้าผู้เฒ่าจางยินดี ข้าขอยืมทองคำมารสักเล็กน้อย” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ต้องการเท่าไหร่”
“หนึ่งพันก็แล้วกัน”
“ไม่มีปัญหา”
ลู่เซิ่งยืมหนึ่งพันทองคำมารจากผู้อาวุโสจางซื่อหลง จากนั้นก็กลับไปยังอารามสาขาย่อยตามทิศทางในความทรงจำในวันนั้น
ไม่นานเขาก็เจอร้านอักขระค่ายกลในสำนัก ด้านในส่วนใหญ่เป็นอักขระค่ายกลที่พวกผู้อาวุโสทิ้งไว้แลกเปลี่ยนหลังจากสร้างเสร็จแล้ว
เขาซื้อของที่ต้องการเสร็จสรรพ จากนั้นก็ซื้อถุงสะพายหลังสำหรับใช้บรรจุสิ่งของใบหนึ่งเพื่อเอาไว้ใช้แบกติดตัว ดูไม่สะดุดตาเท่าไหร่ แต่ความจุกลับเยอะจนน่าตกตะลึง
หนึ่งพันทองคำมารถูกใช้ไปเจ็ดแปดส่วน ส่วนใหญ่ใช้ไปกับของขลังที่เรียบง่าย
ถึงจะเป็นของขลังสำหรับอัญเชิญข้ารับใช้ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ราคาก็สูงถึงแปดร้อยทองคำมาร นี่ขนาดว่าเถ้าแก่ร้านลดราคาให้ เพราะเห็นแก่สถานะศิษย์จริงแท้ของลู่เซิ่งแล้วก็ตาม มิหนำซ้ำยังเป็นของขลังอัญเชิญระดับต่ำสุดด้วย
เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว ลู่เซิ่งก็กลับนครเขตจันทราสารทเพื่อไปเยี่ยมเจ้าสำนักเฉินจิ้งจือ จากนั้นก็จัดเก็บข้าวของอย่างเรียบง่าย กำชับตวนมู่หว่าน ก่อนจะเอาแผนที่ออกมากำหนดเส้นทาง สุดท้ายก็เตรียมตัวออกเดินทาง
เพื่อให้ไปถึงจังหวัดไร้เหมันต์โดยเร็วที่สุด เขาไม่ได้จ้างรถม้าหรือรถเทียมวัว หากวางแผนเดินทางเพียงลำพัง
นครเขตจันทราสารทห่างจากนครจังหวัดสามพันกว่าลี้ ต่อให้ลู่เซิ่งเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองชั่วยามกว่าๆ นี่ยังเป็นสถานการณ์ที่เดินทางเป็นเส้นตรง ถ้าหากค่อยๆ เดินทาง ไม่ใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนก็อย่าฝันถึง
มิหนำซ้ำนี่ยังไม่นับอันตรายที่อาจจะเจอระหว่างทาง ถึงแม้พื้นที่ของต้าอินจะปลอดภัยกว่าต้าซ่งมาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากมีระยะทางไกล ทั้งยังเดินทางในป่าเขา จะล้มป่วยก็ถือว่าปกติยิ่ง
แต่สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งประหลาดใจอยู่บ้างก็คือ หวังอวิ่นหลงได้มาหาเขา เนื่องจากได้รับการแนะนำจากสาขาย่อย อีกฝ่ายจึงต้องไปนครจังหวัดเช่นกัน แถมยังได้เข้าร่วมกับกลุ่มของสามสำนักใหญ่ สามสำนักล้วนส่งศิษย์อัจฉริยะที่ได้รับการแนะนำไปยังนครจังหวัดด้วยกัน ดังนั้นทุกคนจึงรวมตัวกันเดินทางเป็นกลุ่มเพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังมีผู้อาวุโสคนหนึ่งของสามสำนักนำทางด้วย
มีแต่ลู่เซิ่งที่ปฏิเสธในการร่วมทางเพื่อประหยัดเวลา คนอื่นๆ ว่าอะไรไม่ได้เพราะเขาเป็นศิษย์ของท่านผู้นั้น ต่างคาดเดาว่าอาจารย์ของเขาอาจจะมีแผนการอื่นๆ ก็ได้
ลู่เซิ่งรู้สึกมาโดยตลอดว่าอัจฉริยะที่มาจากสำนักอาทิตย์วสันต์พร้อมกันกับเขาอย่างหวังอวิ่นหลงมีความแปลกประหลาดอยู่บ้าง ครั้งนี้ถึงกับได้รับการแนะนำจากสำนักเหมือนกันกับเขา กลับช่วงชิงการประเมินที่สูงแบบนี้ได้ในเวลาสั้นๆ เห็นได้ถึงจุดที่น่าตกตะลึง
ทว่าหวังอวิ่นหลงกลับแสดงออกอย่างเป็นปกติ ธรรมดา และไม่สะดุดตาเสมอมา
นี่ทำให้คนอื่นๆ เกิดความสงสัย
สามวันให้หลัง ลู่เซิ่งพกพาสิ่งของ อาหารแห้ง และถุงใส่น้ำมุ่งหน้าไปยังเมืองไร้เหมันต์อันเป็นนครจังหวัด ภายใต้การคุ้มครองส่งด้วยตัวเองของจางซื่อหลงอย่างปฏิเสธเสียมิได้
ความจริงสาเหตุที่สุดท้ายเขาไม่ได้ปฏิเสธจางซื่อหลงเป็นเพราะด้วยระยะห่างที่ไกลขนาดนี้ เมื่อไม่มีผู้อาวุโสคอยคุ้มครอง พลังที่เขาแสดงออกมาในปัจจุบันไม่อาจปกป้องตัวเองได้ นอกจากนี้ต่อให้ไปถึงนครจังหวัดได้อย่างรวดเร็ว ถ้าเขาก็ไม่อยากเผยพลังออกมา ก็ได้แต่เก็บซ่อนตัวและรอคอยเวลาปรากฏตัวอย่างว่าง่าย
ดังนั้นเทียบกันแล้ว มิสู้เร่งความเร็วในขอบเขตที่สมเหตุสมผลที่สุดจะดีกว่า ขอแค่เขากับผู้อาวุโสอยู่ด้วยกัน ความเร็วย่อมเหนือกว่ากลุ่มใหญ่หลายเท่า ขณะเดียวกันก็สมเหตุสมผล กระทำหนึ่งอย่างได้ผลถึงสอง
นอกจากนี้ยังหลีกเลี่ยงการเสียเวลาที่อาจเกิดขึ้นเพราะการหลงทางได้อีกด้วย
หลังออกจากเขตจันทราสารท ทั้งสองก็ขี่ม้าอักขระคนละตัวเข้าไปยังทุ่งหญ้าใกล้ๆ ตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วมุ่งหน้าไปยังเทือกเขากระดิ่งดำที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยมีจางซื่อหลงนำทาง หากคิดจะไปนครจังหวัด เทือกเขากระดิ่งดำเป็นอาณาเขตแรกที่ต้องตัดผ่าน ที่นั่นมีที่พักของสำนักพันอาทิตย์ซึ่งเอาไว้ให้ศิษย์ที่ผ่านทางพักผ่อนค้างคืนโดยเฉพาะ
…
กุบกับๆๆ…
เสียงกีบเท้าม้าอันกังวานใสดังบนทางหลวงเป็นระยะ
ลู่เซิ่งกับจางซื่อหลงสวมผ้าคลุมสีเขียวอมเทา หมอบอยู่บนหลังม้าพร้อมห้อตะบึงไปด้านหน้า กีบเท้าทั้งสี่ข้างของม้ากะพริบแสงโลหะที่อ่อนมากจนไม่อาจเอ่ยถึงอยู่หลายสาย
นั่นเป็นกีบเท้าม้าชนิดพิเศษที่ผ่านการปรับเปลี่ยนด้วยอักขระค่ายกล สามารถลดน้ำหนักของม้า เพิ่มความแข็งของกีบเท้า และยืดเวลาวิ่งให้นานขึ้นได้อย่างใหญ่หลวง
ด้านในเทือกเขาทอดยาวที่ตั้งตระหง่านง้ำและเงียบสงัด ทางหลวงสีเขียวอมขาวทอดคดเคี้ยวไปจนถึงส่วนลึกของป่าที่มองไม่เห็นปลายทาง
พวกลู่เซิ่งควบม้าอยู่ได้ระยะทางหนึ่ง เมื่อเห็นว่าท้องฟ้ามืดแล้ว จึงค่อยๆ ผ่อนความเร็วลง แล้วเสาะหาที่โล่งสำหรับพักผ่อนในป่าด้านข้าง
“น่าจะอยู่ตรงนี้นะ ก่อนหน้านี้ข้าก่อกระท่อมเล็กๆ ขึ้นแถวๆ นี้ตอนออกเดินทางคนเดียว” จางซื่อหลงสอดส่ายสายตา ในฐานะผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้เขาไปนครจังหวัดเป็นบางครั้ง แน่นอนว่าความถี่ในการไปกลับของผู้อาวุโสย่อมมากกว่าศิษย์ พลังฝึกปรือและพลังป้องกันตัวก็เหนือกว่ามาก ดังนั้นสถานที่พักผ่อนจึงต่างออกไป
“ใช่หลังนั้นหรือไม่” ลู่เซิ่งชี้ไปด้านหน้า
สามารถมองเห็นผ่านป่าได้ว่าด้านหน้าเยื้องไปทางขวาของคนทั้งสองมีบ้านหินหลังเล็กๆ สีเทาอยู่หลายหลัง พวกมันตั้งอยู่ระหว่างรากไม้และกิ่งใบที่พันเกี่ยว
“ถูกต้องแล้ว!” จางซื่อหลงพูดเสียงดัง “ไปเถอะ ไปพักผ่อน ข้าเหลือของใช้ประจำวันไว้ด้านในนิดหน่อย” เขาเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้างหลังเดินทางมาทั้งวัน ไม่ใช่ด้านร่างกายแต่เป็นด้านจิตใจ พอมองทุ่งหญ้ากับเทือกเขาที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงตลอดทางก็เกิดความรู้สึกง่วงงุนขึ้นมาได้เช่นกัน
“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ทั้งสองค่อยๆ ขี่ม้าเข้าไปใกล้
หลังคาของบ้านเป็นสีเหลืองเข้ม มีตะไคร่น้ำเกาะอยู่ไม่น้อย คล้ายกับถูกลมพัด ตากฝนมาหลายปีแล้ว
รอบๆ บ้านมีต้นไม้โบราณขนาดคนโอบงอกอยู่หลายต้น รากไม้เกาะเกี่ยวกันและขยายไปรอบๆ เหมือนกับงูหลามที่กำลังนอนอยู่
จางซื่อหลงลงม้า แล้วผูกม้าไว้กับลำต้นขนาดใหญ่ ก่อนจะสาวเท้าเดินไปยังบ้านหิน
ลู่เซิ่งลงม้าและผูกม้าไว้เช่นกัน จากนั้นก็ตามไป
เสียงแอ๊ดดังขึ้นเมื่อจางซื่อหลงผลักประตูไม้เข้าไป เขากวาดตามองเครื่องเรือนด้านใน “ยังใช้ได้ ไม่มีงูไม่มีแมลงเข้ามา ค้างที่นี่สักคืนคงไม่มีปัญหากระมัง” เขาหันกลับไปมองลู่เซิ่ง
“ไม่มีปัญหาขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“สำนักระดับบนระดับนครจังหวัดจำกัดเวลาไว้ที่หนึ่งเดือน เจ้าคิดจะจัดการภารกิจตอนไหน” จางซื่อหลงลากม้านั่งตัวหนึ่งมานั่งลง ชายชราผู้นี้ใช้ชีวิตอย่างเปิดเผย แม้เคราจะขาวเป็นส่วนใหญ่ แถมยังหัวล้านเล็กน้อย แต่นิสัยไม่ต่างจากคนหนุ่มสาวเท่าไหร่
“มีเวลาค่อยทำก็ได้ขอรับ ปกติแล้วการทำภารกิจจะใช้เวลาเท่าไหร่หรือ” ลู่เซิ่งถามกลับพลางกวาดตามอง ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเตียงหิน
“ตามเหตุผล ยิ่งเข้าสู่โลกด้านนอกเร็วก็ยิ่งสร้างรากฐานได้ง่าย แต่ถ้าเป็นเจ้า จะเมื่อไหร่ก็ได้ ไอ้สำเร็จน่ะมันสำเร็จอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องดูว่าสำเร็จในระดับใดเท่านั้น” จางซื่อหลงมั่นใจในตัวลู่เซิ่งมาก
“ตกลง คืนนี้ข้าจะลองเข้าไปดู ถ้าหากพรุ่งนี้ข้าไม่ตื่น ผู้อาวุโสจางไม่ต้องสนใจข้า ช่วยคุ้มครองข้าก็พอ” ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนจะกำชับ
“ไม่มีปัญหา ข้าจะออกไปเดินรอบๆ เสียหน่อย ดูว่าจะหาปีศาจมาต้มเป็นน้ำแกงได้ไหม สมัยนี้ปีศาจที่มีอายุหน่อยถูกจับจนเกือบจะสูญพันธุ์หมดแล้ว ที่เหลืออยู่เป็นพวกที่เพิ่งกลายเป็นปีศาจได้หนึ่งร้อยสองร้อยปี ข้าไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว บางทีอาจหาของดีได้บางส่วน” จางซื่อหลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาพูดจบก็ทำทันที พอกินอาหารแห้งตอนกลางคืนเสร็จ จางซื่อหลงก็วิ่งออกไป ไม่นานก็หายตัวไป หลังจากกินข้าวเรียบร้อย ลู่เซิ่งก็ปิดประตูบ้านหิน จากนั้นก็ติดกระดาษยันต์เรียบง่ายที่ใช้เตือนภัยไว้บนประตู ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนเตียงหินและนำเอาผ้าไหมผืนนั้นออกมา
ตอนนี้บนผ้าไหมไม่ใช่เนื้อหาในตอนแรกอีกแล้ว แต่ปรากฏตัวหนังสือใหม่ขึ้นมา
“เมื่อเจอสวนหิมะม่วง จงช่วงชิงเครื่องหมายเทพมังกรสีชาด”
‘เครื่องหมายเทพมังกรสีชาดหรือ’ ลู่เซิ่งหยีตา วางผ้าไหมไว้ด้านหน้า จากนั้นก็วางมือขวาลงตรงกลาง แล้วเริ่มส่งปราณจริงแท้เข้าไปอย่างช้าๆ
ปราณจริงแท้ของเขาในตอนนี้ไปถึงระดับพันธนาการสัตตะลักษณ์แล้ว หากว่าเลื่อนเป็นปฐมปฐพีเมื่อไหร่ ก็จะได้รับคุณสมบัติของผู้อาวุโส พลังฝึกปรือโดยทั่วไปของศิษย์คนอื่นๆ ในนครเขตจันทราสารทจะอยู่ระหว่างตรีถึงจตุลักษณ์ หากคิดจะเลื่อนไปถึงระดับสัตตะลักษณ์ อย่างน้อยต้องข้ามหลายระดับชั้น ใช้เวลาหลายปี ถึงขั้นที่คนส่วนใหญ่ไม่มีคุณสมบัติไปถึงระดับสัตตะลักษณ์ สายเลือดก็หยุดชะงักไม่ก้าวหน้า ระดับความเข้มข้นและความบริสุทธิ์ไม่เพียงพอแล้ว
การประเมินระดับหยกสีชาดของลู่เซิ่งหมายถึงอย่างน้อยเขาสามารถขึ้นไปเหนือกว่าระดับปฐมปฐพีได้ นี่เป็นสาเหตุที่เขาได้รับความสำคัญ เพียงแต่ไม่มีใครนึกถึงว่าเขาจะไปถึงระดับสัตตะลักษณ์เร็วขนาดนี้
ปราณจริงแท้ส่งถ่ายเข้าไปในผ้าไหมทีละสายๆ ในตอนที่เขาถ่ายทอดปราณจริงแท้สามส่วนของตัวเองเข้าไปทีละนิดๆ ผ้าไหมพลันส่องแสงสีขาว
พริบตานั้น แสงสีขาวครอบคลุมลู่เซิ่ง แล้วหุบตัวลงอย่างกะทันหัน ผนึกรวมเป็นดวงแสงขนาดเท่ากำปั้น
ตูม
ดวงแสงระเบิดกลายเป็นจุดแสงนับไม่ถ้วน ก่อนจะค่อยๆ จางลงและสลายไป
……………………………………….