ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 358 คนสำคัญ (2)
บทที่ 358 คนสำคัญ (2)
สายตาของลู่เซิ่งเริ่มควานหาในกรอบด้านบนอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เจอคำบรรยายขอบแผ่นหินนี้ตรงกรอบสุดท้ายเข้าจริงๆ
[รอยดาบปริศนา: ยังไม่เข้าสู่ระดับเบื้องต้น ผลพิเศษ: ปริศนา]
‘ทั้งหมดยังเป็นปริศนา…’ ลู่เซิ่งจนปัญญา เครื่องมือปรับเปลี่ยนได้แต่ปรับเปลี่ยนวิชากำลังภายในที่กลายเป็นระดับเบื้องต้นแล้ว ส่วนวิชากำลังภายนอกจะยกระดับได้โดยตรงก็ต่อเมื่อทราบขอบเขตต่อไปและวิธีการฝึกฝนแล้วเท่านั้น
ทว่านอกจากรอยดาบหลายรอย แผ่นหินนี้ก็ไม่มีสิ่งใดอีก…
เขาลุกขึ้น จากนั้นก็ลองจินตนาการว่า ถ้าถือดาบไว้ แล้วจะสร้างรอยดาบบนแผ่นหินได้อย่างไร
แต่ไม่ว่าเขาจะจินตนาการอย่างไรก็สัมผัสไม่ได้ว่ารอยดาบที่กรีดออกมาเหล่านี้มีความน่าอัศจรรย์ตรงไหน
ลู่เซิ่งดูดซับสารกายไปพลาง เลียนแบบกระบวนท่าดาบไปพลาง ไม่นานก็ผ่านไปสองชั่วยาม
หลังออกมาจากในเขตถ่ายทอดความลับ เขาก็พักผ่อนคืนหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มเดินเล่นไปทั่วลานด้านใน ในวันต่อมา พอตกดึกก็ทำความเข้าใจแผ่นหินในเขตถ่ายทอดความลับต่อ และเขาก็ค่อยๆ ค้นพบว่ารอยดาบบนแผ่นหินเกิดจากการฟันในมุมเดียวกัน ไม่ว่าความลึกหรือมุม รอยดาบทั้งหมดล้วนฟันออกมาจากจุดเดียวกัน
มิหนำซ้ำมันยังไม่มีกลิ่นอายอย่างเช่นปราณจริงแท้ ปราณมาร หรือปราณภายใน ส่วนใหญ่แล้วเป็นรอยดาบที่เหมือนกับใช้ดาบยาวธรรมดาสร้างขึ้นมากกว่า
เวลาผ่านไปทีละวันๆ พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบกว่าวัน
ในเรือนมีคนอีกหลายคนเข้ามาพัก สองคนในนี้เป็นหญิงสาวกระโปรงแดงกับบัณฑิตติดหยกแขวนสีดำที่ก่อนหน้านี้เข้ามาในเรือนด้านในพร้อมกับเขา
ทั้งสองคนทักทายลู่เซิ่ง จากนั้นก็ย้ายเข้าไปห้องใครห้องมัน
สตรีกระโปรงแดงมีชื่อว่าตานจวิ้นหย่า ไม่ได้พูดคุยอะไรกับลู่เซิ่งมากนัก แต่คุ้นเคยกับบัณฑิตผู้นั้นดี ทั้งสองไม่สวมใส่เสื้อคลุมของสำนักพันอาทิตย์ วันๆ เอาแต่ไปด้านนอก
บัณฑิตมีชื่อว่าเฉินเต้าหนิง ท่าทียังนับว่าเป็นมิตร พูดกับลู่เซิ่งบ้างเป็นบางครั้ง แต่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นแค่การแนะนำชื่อเท่านั้น
ผ่านไปอีกหลายวัน หลังจากทำความเข้าใจมาสิบกว่าวัน และติดต่อกับจางซงฮุยเมื่อก่อนหน้านี้หลายครั้ง ลู่เซิ่งก็เข้าใจกฎของเรือนด้านในแห่งนี้อย่างคร่าวๆ แล้ว
เรือนหลังหนึ่งจุคนได้สิบกว่าคน หลังจากเรือนที่สิบคนนี้อยู่เต็ม ก็จะมีการกำหนดตัวอาจารย์ประจำคนหนึ่งตามการจัดสรรของเบื้องบน หากมีคำถามหรือปัญหาใดต้องการคำชี้แนะ ก็สามารถไปหาอาจารย์ประจำเรือนได้
แน่นอนว่าอาจารย์ประจำจะนำค่าใช้จ่ายในเรือนมาหักลบค่าใช้จ่ายประจำของตัวเองออกส่วนหนึ่ง
เรือนหลังหนึ่งมีทั้งหมดเก้าสิบเก้าห้อง แต่ไม่ใช่ว่าเรือนทุกเรือนจะมีคนอยู่จนเต็ม
เรือนด้านในสำนักพันอาทิตย์มีคนไม่เยอะเหมือนกัน นับว่าเงียบเหงา นอกจากประตูเข้าออกกับโรงอาหารที่เจอคนได้ไม่น้อยแล้ว สถานที่อื่นๆ มักจะไม่พบเจอใคร
ลู่เซิ่งทุ่มเทกายใจไปกับการทำความเข้าใจแผ่นหิน เขาเข้าสำนักพันอาทิตย์เพื่อเลื่อนสู่ระดับจ้าวแห่งมารมาตั้งแต่แรก ปัจจุบันขอแค่เลื่อนระดับได้ เขาจะอยู่ในสำนักพันอาทิตย์หรือไม่ ความจริงล้วนไม่สำคัญ
ทว่าหลังจากทำความเข้าใจมาสิบกว่าวัน เขายังคงไม่ได้อะไรจากแผ่นหิน ซูหนิงเฟยยังไม่กลับมาเช่นกัน ไม่ทราบว่าไปที่ไหน
ด้วยความจนปัญญา บวกกับที่อยู่อาศัยยังต้องเตรียมจ่ายเงิน อีกทั้งลู่เซิ่งยังคิดจะไปทดลองประสิทธิผลของหอคอยวิญญาณจริงแท้ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ทองคำมารเช่นกัน เขาจึงเริ่มคำนวณว่าจะไปหาทองคำมารจากที่ไหน
ในเวลานี้เอง ซูหนิงเฟยก็กลับมาอย่างเหนือความคาดหมาย
…
เขตถ่ายทอดความลับ ด้านในถ้ำใต้ดิน
“ยังจำเรื่องที่เจ้าสัญญากับข้าในตอนนั้นได้หรือไม่” ซูหนิงเฟยนั่งบนบัลลังก์หินผลึกสีม่วงโดยใช้มือประคองศีรษะ คล้ายกับเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง
“จำได้ขอรับ” ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้านางไม่ไกล กำลังทำความเข้าใจแผ่นหินแผ่นนั้นอย่างละเอียดอยู่บนพื้น พอได้ยินคำถามของนาง เขาก็ขานรับโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้น
“ข้าต้องการให้เจ้าเข้าร่วมศึกแย่งชิงซึ่งจะเริ่มในอีกห้าวันให้หลัง ศิษย์หัวกะทิแทบทุกคนล้วนเข้าร่วม สามสำนักต้องการรายชื่อสามรายชื่อที่จะเข้าไปรับการสั่งสอนจากเจ้าแห่งอาวุธในอารามวิถีเทพ ข้าได้แนะนำชื่อเจ้าไปแล้ว เจ้าจงเข้าไปค้นหาหญิงสาวที่รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับข้าเสีย อีกฝ่ายอาจจะปลอมแปลงรูปโฉม เจ้าจัดการได้ตามใจ ข้าต้องการแค่ผลลัพธ์เท่านั้น” ซูหนิงเฟยกล่าวเสียงขรึม “หลังสำเร็จแล้ว ข้าจะอธิบายวิธีการทำความเข้าใจแผ่นหินให้แก่เจ้า”
“ถ้าข้ารู้วิธีการทำความเข้าใจแผ่นหิน จะมีโอกาสเลื่อนระดับขนาดไหน” ลู่เซิ่งถามพลางนิ่วหน้า
“ไม่ทราบ แต่ปกติถ้าผู้ถืออาวุธไปถึงขีดจำกัด การจะทำความเข้าใจแผ่นหินนี้อย่างน้อยก็มีโอกาสสามส่วน” ซูหนิงเฟยกล่าวอย่างราบเรียบ
“โอกาสสำเร็จ…สามส่วน” โอกาสนี้ถือว่าไม่ต่ำแล้ว ลู่เซิ่งพยักหน้าแล้วลุกขึ้น
การเลื่อนสู่ระดับอริยะเจ้าหรือจ้าวแห่งมารไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว การที่ซูหนิงเฟยให้คำตอบสามส่วนกับเขา เป็นเพราะไม่รู้จักเขาดีพอ ถ้าหากนางรู้ว่าลู่เซิ่งมีเครื่องมือปรับเปลี่ยนอยู่ เกรงว่าโอกาสสามส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นไม่น้อย
ขอแค่มีวิธีการให้ค้นหา ไม่ว่าจะมีโอกาสต่ำขนาดไหน ลู่เซิ่งก็สามารถใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนทำให้สมบูรณ์ได้
“ศึกแย่งชิงเป็นการฉายเงาเข้าไป การฉายเงาที่ว่าคือการแบ่งความสามารถส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณและกายเนื้อออกมา แล้วฉายไปยังอาณาเขตเขตหนึ่ง จากนั้นก็ขยายใหญ่อีกครั้งเพื่อให้ใช้งานในสภาพเดิม ส่วนร่างหลักจะได้รับการปกป้องในอาณาเขตที่กำหนไว้” ซูหนิงเฟยอธิบาย “ครั้งนี้ศิษย์ที่เข้าร่วมล้วนเป็นคนจากสามสำนัก นอกจากรายชื่อทั้งสามแล้ว อันดับที่เหลือจะมีรางวัลเช่นกัน ถ้าหากเจ้าหาหญิงสาวคนนั้นเจอ จงพานางออกมา ส่วนผู้ขัดขวาง ให้เจ้าจัดการเอง อย่าลืมด้วยว่าต้องพานางมาที่นี่”
“รับทราบแล้ว…” ลู่เซิ่งคร้านจะถามว่าซูหนิงเฟยมีความเกี่ยวข้องใดกับหญิงสาวคนนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรรู้
สองชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว ลู่เซิ่งค่อยๆ ถอยออกมาจากเขตถ่ายทอดความลับ
เช้าตรู่ในอีกห้าวันต่อมา เขานำสิ่งของออกจากห้อง แล้วมุ่งหน้าไปยังผลึกหกเหลี่ยมที่ทางเข้าออก
รอบๆ ผลึกบนลานกว้างมีคนไม่น้อยยืนอยู่ สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ เขาเห็นหวังอวิ่นหลงอยู่ใกล้ๆ กับผลึก แสดงให้เห็นว่าบางคนจากเขตจันทราสารทได้เข้ามาในเรือนด้านในแล้ว
ความจริงแล้วคนผู้นี้มีคุณสมบัติกับพลังไม่เลว เพียงแต่โชคร้ายไปเล็กน้อย บวกกับสถานะที่เป็นความลับ การจ่ายเงินที่เรือนด้านนอกเพื่อเข้ามาถือเป็นเรื่องปกติ
ทว่าลู่เซิ่งไม่ได้ไปหาตัวเขา หากเป็นจางซงฮุยที่ค่อยๆ คุ้ยเคยกับเขาเมื่อก่อนหน้านี้
เขาเจอจางซงฮุยที่กำลังคุยกับคนอื่นอยู่ด้านข้างแฉกหนึ่งของผลึกหกแฉกอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่จาง” ลู่เซิ่งรีบเดินเข้าไป จากนั้นก็เห็นคนสองคนที่กำลังคุยกับเขาอยู่ คนหนึ่งเป็นสตรีสวมอาภรณ์สีเขียวและไว้ผมยาว ดูหนักแน่นเป็นผู้ใหญ่ อีกคนที่ยืนอยู่ข้างนางเป็นบุรุษอาภรณ์ขาวซึ่งยังมีความเป็นเด็กอยู่เล็กน้อย
“ศิษย์น้องลู่ กำลังรอเจ้าอยู่เลย!” จางซื่อหลงพาสองคนนั้นเดินมาหา “ทั้งสองคนนี้คือเซี่ยอวี่เซิงกับเซี่ยอวี้ฉยง พวกเขาเป็นคนที่เข้าร่วมศึกแย่งชิงเหมือนกัน”
“ศิษย์น้องลู่ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเข้าร่วมศึกแย่งชิง” จางซงฮุยถามอย่างจริงจังอีกครั้ง “เจ้าอาจไม่รู้ว่าแม้ศึกแย่งชิงจะใช้วีการพิเศษในการดำเนินการ ไม่ใช่เข้าไปด้วยตัวเอง แต่ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นด้านใน ก็จะสร้างความเสียหายให้แก่ร่างกายได้เหมือนกัน การได้รับบาดเจ็บทางจิตวิญญาณสามารถสะท้อนสู่ร่างหลักได้ ไม่ใช่ไร้อันตรายอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ”
“ข้ารู้ดี” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ศิษย์พี่จางโปรดช่วยข้าลงทะเบียนหน่อย กระบวนการซับซ้อนไปบ้าง ใช้เงินเท่าไหร่หรือ”
“สิบทองคำมาร พวกเจ้าสามคนจ่ายเท่ากัน ข้าจะช่วยพวกเจ้าเดินเรื่องให้หมดทั้งห้าขั้นตอน ขอแค่ได้รับการชักนำจากการฉายเงาก็ใช้ได้แล้ว สถานที่คือตรงนี้ อีกประเดี๋ยวอักขระรับส่งบนลานกว้างจะทำงาน” จางซงฮุยพยักหน้าเอ่ย “สถานที่คือโลกด้านนอก จะมีชนพื้นเมืองบางส่วนเข้าร่วมด้วย พวกเจ้าต้องระวังตัวเอาไว้”
เมื่อตกลงราคากันได้ ลู่เซิ่งก็ยืนอยู่กับสองคนนั้น รอคอยการฉายเงาในศึกแย่งชิงต่อจากนี้ชักนำไป
เวลาผ่านไป คนบนลานกว้างลดน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็เหลือแค่ไม่กี่สิบคน ดูท่าทางกำลังรอให้อักขระรับส่งในศึกแย่งชิงทำงาน
จางซงฮุยผละไปอย่างรวดเร็ว หลังจากจัดการขั้นตอนบนผลึกให้แก่สามคนเสร็จ ก่อนจะไปจัดการลงทะเบียนให้กับอีกสามคนในสถานที่อื่น
ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วยาม จางซงฮุยก็กลับมา ขณะเดียวกันก็นำข่าวสารอย่างเป็นรูปธรรมมาด้วย
“ยามเที่ยงในอีกครึ่งชั่วยามจะมีคนรับส่งผู้เข้าร่วมทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ไปเข้าร่วมศึกแย่งชิงในโลกด้านนอก”
“ครึ่งชั่วยาม…เข้าไปโลกด้านนอกหรือ” สตรีชื่อเซี่ยอวี้ฉยงถามเบาๆ
“ใช่แล้ว เข้าไปสถานที่ที่พวกเจ้าสมควรคุ้นเคยดี วัดตราทมิฬ” จางซงฮุยพยักหน้า
“วัดตราทมิฬ…” ลู่เซิ่งพลันรู้สึกได้ว่ามีคนแอบมองเขาอยู่ จึงกวาดตามองทิศทางที่สายตามองมา กลับเห็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบมาก่อนกลุ่มหนึ่งหันไปทางอื่น
รออีกสักพักหนึ่ง ในที่สุดเงาร่างสีน้ำเงินเข้มสองสายก็บินมาด้วยความเร็วสูง ก่อนจะทิ้งตัวลงกลางลานกว้างอย่างแผ่วเบา เป็นผู้อาวุโสของสำนักพันอาทิตย์สองคนที่ไว้เครายาวและมีสีหน้าเคร่งขรึม บนร่างทั้งสองมีป้ายแขวนเอวกับสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนผู้อาวุโส
“คนมาครบแล้วกระมัง” ผู้อาวุโสคนหนึ่งในนี้ก้าวออกมากล่าวเสียงดัง “อีกประเดี๋ยวจะเริ่มการข้ามภพ หลังไปแล้ว จะมีผู้จัดการกับผู้อาวุโสของสามสำนักในจังหวัดไร้เหมันต์รับผิดชอบมอบแผนที่จุดพักผ่อนให้ทุกคน ในศึกแย่งชิง ทุกๆ สำนักจะมีจุดตั้งค่ายที่ปลอดภัยอยู่ ทุกๆ คนสามารถเข้าไปพักผ่อนด้านในได้”
“อีกเดี๋ยวจะใช้ศิลาข้ามภพ อาณาเขตครอบคลุมคือทั้งลานกว้าง ขอให้ศิษย์ที่ไม่ได้เข้าร่วมศึกแย่งชิงออกไปทันที” ผู้อาวุโสอีกคนกล่าวเสียงกังวาน
“ข้าขอไปก่อน พวกเจ้าระวังตัวให้มากๆ” จางซงฮุยกล่าวเบาๆ หลายประโยค รับเงินจากมือทั้งสามคน จากนั้นก็หมุนตัวโคจรปราณพุ่งปราดออกไป
“เริ่มได้” รอหลังจากทุกคนผละไปแล้ว ลานทั้งลานพลันเรืองแสงสีทอง ทุกคนถูกประกายสีทองครอบคลุม พริบตาเดียวก็หายไปจากที่เดิม
…
ณ วัดตราทมิฬ
บนลานกว้างของวัดโบราณที่อ้างว้าง มีคนยืนอยู่ไม่น้อย ธงสามคันที่สีแตกต่างกันปักอยู่คันละมุม แบ่งคนทั้งหมดออกเป็นสามส่วน ตรงกลางถูกปล่อยโล่งไว้เป็นอาณาเขตใหญ่สำหรับฉายเงา
ซู้ด…
ทันใดนั้นบนพื้นโล่งที่แตกร้าวทรุดโทรมนี้ก็เรืองแสงสีทองขึ้น
“สำนักอาทิตย์ทองมาแล้ว”
“เป็นสำนักพันอาทิตย์”
“สำนักพันอาทิตย์ไหนเลยฉลาดเท่าสำนักอาทิตย์ทอง ที่นี่มีแต่พวกเศรษฐี”
คนที่ล้อมรอบธงของสำนักผูกวิญญาณสัพยอกอย่างไม่นำพา
เงาคนหลายสายใต้ธงสำนักพันอาทิตย์เข้าใกล้แสงสีทองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดยืนอยู่ริมขอบ รอให้แสงหายไปอย่างสงบ
ประกายแสงสลายไป ค่อยๆ เผยให้เห็นคนของสำนักพันอาทิตย์จากจังหวัดไร้เหมันต์ มีราวสามสิบกว่าคน ส่วนใหญ่สีหน้าเคร่งขรึม บางคนก็ประหม่าและตื่นเต้น
คนสามสิบคนต่อแถวกันเป็นวงกลม ลู่เซิ่งซึ่งยืนอยู่ตำแหน่งหลังๆ พิจารณาสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปรอบๆ
คนจากสำนักผูกวิญญาณที่เพิ่งข้ามภพมาเช่นกัน เริ่มรวมตัวกันใต้ธงสำนักผูกวิญญาณที่อยู่ไม่ไกล
พอหลงจิ้วมาถึง ก็มองไปยังสำนักซ่อนธาตุทันที สายตาจับจ้องสตรีผู้คมกล้าคนหนึ่งที่เพิ่งข้ามภพมาในพริบตา
เขากำค้อนทองในมือแน่นขึ้น สีหน้าเหี้ยมเกรียมขึ้นมาเล็กน้อย
“สตรีพวกนั้นมาจริงๆ ด้วย เฉินเยว่ตู่ แค้นกระบี่ครั้งก่อน ครั้งนี้จะต้องชำระให้ได้!”
ด้านข้างเขามีศิษย์สำนักผูกวิญญาณหลายคนจ้องมองสตรีจากสำนักซ่อนธาตุผู้นั้นด้วยใบหน้าบูดบึ้งเช่นกัน
“เอ๋?” อยู่ๆ ศิษย์คนหนึ่งก็มองไปยังสำนักพันอาทิตย์อย่างแปลกใจ “ศิษย์พี่หลง เด็กน้อยสำนักพันอาทิตย์ที่ผู้อาวุโสพูดถึงก็มาเหมือนกัน”
“เด็กน้อยจากสำนักพันอาทิตย์หรือ” หลงจิ้วละสายตามาชั่วคราว แล้วมองไปยังทิศทางที่ศิษย์น้องชี้บอก เห็นลู่เซิ่งที่เดินเอื่อยๆ อยู่ในกลุ่มสำนักพันอาทิตย์เข้าพอดี
“ช่วยผู้อาวุโสเก็บดอกเบี้ยก่อนก็แล้วกัน” เขายิ้ม “หรือไม่ก็ให้คนแซ่ซ่งเพิ่มเงิน ถ้าไม่อยากให้พวกเราหาเรื่องพวกเขา ราคาก่อนหน้านี้ไม่พอแล้ว” เขารู้ว่าตำแหน่งฉายเงาของสามสำนักในจังหวัดไร้เหมันต์อยู่ในจุดเดียวกัน จะมุ่งหน้าไปยังเขตที่เหลือได้ก็ต่อเมื่อตัดสินผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วเท่านั้น จากนั้นก็ตัดสินผู้ที่แข็งแกร่งกว่า จนกว่าจะคัดเลือกศิษย์จากสามสำนักทุกคนในต้าอินจนเหลือสามคนสุดท้าย
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่ามีคนมองเขาอยู่ จึงเงยหน้าหยีตามองไปยังสำนักผูกวิญญาณ
เขาให้ความสำคัญกับภารกิจของอาจารย์มาก จิตวิญญาณเป็นจุดอ่อนของเขา ถ้าหากว่าเลื่อนเป็นระดับจ้าวแห่งมารผ่านแผ่นหินได้ บางทีอาจจะทำลายจุดอ่อนนี้ได้โดยสมบูรณ์
เขาได้ตัดสินใจก่อนมาแล้วว่า จะต้องหาหญิงสาวที่อาจารย์ต้องการค้นหาให้เจอให้จงได้
‘ในเมื่ออาจารย์บอกแล้วว่าอีกฝ่ายอยู่ในการแข่งขันครั้งนี้ อย่างนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาให้เจอ’
ลู่เซิ่งหรี่ตากวาดมองกลุ่มของสำนักผูกวิญญาณ
‘เพื่อป้องกันไม่ให้คลาดกับนาง จะต้องตามหาจุดที่ทุกคนต้องผ่านแล้วขวางทางเอาไว้ และเพื่อป้องกันไม่ให้นางปลอมแปลงง่ายๆ ควรจะเล่นงานทุกคนที่เจอให้พิการ จากนั้นค่อยๆ ตรวจสอบ’
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายรู้สึกว่าภาระงานหนักหนาไปบ้าง
สุดท้ายเขากวาดตามองทิศทางของสำนักผูกวิญญาณ ตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือในจุดพักผ่อนของสามสำนัก
‘อธิษฐานเถอะ…อธิฐานให้ข้าเจอคนที่อยากเจอก่อน’
……………………………………….