ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 360 คนสำคัญ (4)
บทที่ 360 คนสำคัญ (4)
‘มือข้างนี้’ หลังจากสังเกตผ่านการลงมืออย่างละเอียด ลู่เซิ่งค่อยพบว่า มือสีดำนี้ไม่ใช่คนที่อยู่ด้านหลังกำแพง แต่งอกออกมาจากตัวกำแพงต่างหาก
กำแพงทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าสีดำอมเทาดูเหมือนสะอาดมากและไม่มีร่องรอยใดๆ ไม่มีรูโหว่โดยสิ้นเชิง แต่การที่มันไม่มีรูโหว่ทั้งยังสะอาดจนผิดปกติในสภาพแวดล้อมแบบนี้ นี่จึงเป็นเรื่องผิดปกติอย่างหนึ่ง
หลังจากค้นพบเรื่องนี้แล้ว ลู่เซิ่งก็เริ่มออกห่างจากกำแพง โดยเคลื่อนไหวอยู่ตรงกลางถนน ครั้งนี้ไม่มีมือสีดำโจมตีแล้ว
เขามุ่งหน้าไปอีกสองสามลี้อย่างปลอดภัย ในที่สุดก็ได้ยินเสียงอาวุธปะทะกันดังมาจากด้านหน้าอย่างรางเลือน
ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้า หลังจากอ้อมวัดที่มีหลังคาทรงโค้งสูงสองชั้นก็พลันเห็นอาณาเขตที่เกิดการต่อสู้
เซี่ยอวี้ฉยงสองพี่น้องกำลังร่วมมือกับคนจากสำนักซ่อนธาตุหลายคน สู้กับยักษ์สีเงินอมฟ้าที่สูงสองหมี่กว่าๆ สองตน
ทุกคนฟันอาวุธใส่ร่างยักษ์เหล็กสีดำจนเกิดเสียงโลหะกระทบกันไม่หยุด แต่ทุกครั้งที่ฟันใส่ยักษ์เหล็กสีดำ การโจมตีของพวกเขาได้แต่สร้างรอยแผลตื้นๆ เท่านั้น
เซี่ยอวี้ฉยงประสานมุทราอย่างรวดเร็ว คอยปรับปราณจริงแท้ตลอดเวลา ทั้งยังโยนกระดาษยันต์อานุภาพสูงแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งออกไปหลายแผ่น
เปลวไฟสีขาวจางพุ่งออกไปจากด้านหน้านางอย่างต่อเนื่อง แล้วปะทะใส่ร่างยักษ์เหล็กสีดำอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเผาไหม้จนเกิดหลุมตื้นๆ ขนาดต่างๆ ขึ้น
เซี่ยอวี่เซิงถือกระบี่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ธงเล็กสีขาวสามคันที่ปักอยู่รอบๆ ตัวปลิวไสวตามลม แสงสีขาวอ่อนกลุ่มหนึ่งกระจายไปรอบๆ โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง
ลู่เซิ่งพิจารณายักษ์เหล็กสีดำตนนั้นอย่างละเอียด เมื่อมองอย่างตั้งใจเขาจึงค่อยพบว่านี่ไม่ใช่มนุษย์เหล็กแต่อย่างไร หากเป็นพระภิกษุหลับตาซึ่งเคยเจอในวัดตราทมิฬ เพียงแต่เขาคล้ายโคจรวิชาบางอย่าง ร่างจึงขยายใหญ่ขึ้น ทั้งยังมีผิวหนังแข็งราวเหล็กกล้า ทว่าสองตายังคงมีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ลักษณะเด่นนี้เขามองดูแวบเดียวก็จำได้แล้ว
กร๊อบ!
สตรีจากสำนักซ่อนธาตุคนหนึ่งถูกหมัดต่อยใส่แขนขวา แขนส่งเสียงหักดังกร๊อบและบิดงอเป็นมุมประหลาด นางแค่นเสียงแล้วบิดแขนกลับมาที่เดิม รออยู่สองสามอึดใจ ก็ใช้แขนขวาได้ทันที
‘ดูเหมือนที่นี่จะไม่มีพลังงานที่ควบคุมพลังฟื้นตัวของเยื่อดำได้ แค่ถ่วงเวลาก็สามารถฆ่าของเล่นชิ้นนี้ได้แล้ว’ ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้ง
“ทางนี้ เร็วๆ เข้า!” อยู่ๆ ไกลออกไปก็มีเสียงฝีเท้าดังมา จากนั้นก็ตามด้วยเสียงตะโกน เงาคนหลายสายกระโดดลงมาจากหลังคา พากันทิ้งตัวลงกลางลาน
คนเหล่านี้ต่างติดสัญลักษณ์ของสำนักผูกวิญญาณ แต่ละคนมีสีหน้าอึมครึม คล้ายกับเจอเรื่องที่ยุ่งยากถึงขีดสุด
คนหนึ่งในนี้คือหลงจิ้ว เขาถือดาบใหญ่ที่เปื้อนเลือดและแบกลูกตุ้มสีทองด้ามยาวไว้ด้านหลัง ผมยุ่งปลิวไปตามลม
“ให้พวกเขาขวางไว้ก่อน พวกเราถอยต่อ!” เขาตะโกนเสียงดัง
เสียงยังไม่ทันขาดลง กำแพงด้านหลังก็ระเบิดดังสนั่น
ตูม!
กรวดหินปลิวว่อน สัตว์ประหลาดสีดำอมเงินที่ร่างท่อนล่างเป็นแมงมุม ร่างท่อนบนเป็นวานรพุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน
กี๊ด!
สัตว์ประหลาดคำรามใส่ทุกคน ก่อนจะจ้องมองคนจากสำนักผูกวิญญาณในทันที ร่างกายสูงสามหมี่กว่าๆ ไล่ล่าพวกหลงจิ้วอย่างบ้าคลั่ง
“หนี!” หนังหน้าของหลงจิ้วกระตุกเพราะเสียงคำรามของสัตว์ประหลาด สายตาเขาเคร่งเครียด หมุนตัวแล้วพุ่งไปยังที่ไกลทันที
“หยุด!” อยู่ๆ ด้านหน้าคนของสำนักผูกวิญญาณก็มีเงาร่างสูงใหญ่สายหนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
เป็นลู่เซิ่ง เขาถือกระบี่ขวางทุกคนไว้
“ผู้หญิงอยู่ ผู้ชายไสหัวไป!”
หลงจิ้วงุนงง จากนั้นก็เดือดดาล “ไปหามารดาเจ้า อยากได้ผู้หญิงจนคลั่งไปแล้วหรือ เหตุใดเจ้าไม่ไปตายเล่า!?”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปตายเถอะ” ลู่เซิ่งชักกระบี่ออกมาดังเช้ง ปราณจริงแท้ทะลัก แล้วฟันปราณกระบี่ที่ยาวสิบกว่าหมี่สายหนึ่งออกไปอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นทันที
ฟ้าว!
ปราณกระบี่สีขาวพุ่งตรงดิ่งไปยังศีรษะของหลงจิ้ว
หลงจิ้วยกดาบขึ้นอย่างรีบร้อน ปราณจริงแท้วาดเป็นอักขระป้องกันสองลายบนตัวดาบ อักขระสีเขียวกะพริบแวบขึ้น จากนั้นตัวดาบก็หนาและแข็งขึ้นในทันที
เคร้ง!
ชั่วพริบตานั้นปราณกระบี่ฟันลงใส่ตัวดาบอย่างหนักหน่วง
เสียงกระแทกอันกึกก้องกระจายออกมา คนจากสำนักผูกวิญญาณที่อยู่ใกล้ชิดกันรับมือไม่ทัน จึงถูกกระแทกจนตาเหลือก ก่อนจะล้มลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
แมงมุมวานรที่ไล่ตามมาด้านหลังพวกเขา ก็ถูกคลื่นเสียงอันยิ่งใหญ่กระแทกจนหยุดชะงักไปเช่นกัน
เสียงแกร๊กดังขึ้น ดาบใหญ่ในมือหลงจิ้วพลันแยกออกเป็นหลายส่วนแล้วตกลงบนพื้น ประกายกระบี่สายหนึ่งฟันลงอย่างฉับพลัน ก่อนจะลากผ่านร่างเขาไป
หลงจิ้วหยุดอยู่กับที่ ยืนนิ่งเช่นนี้อยู่หลายอึดใจ ร่างเขาค่อยๆ มีรอยเลือดสายหนึ่งเปิดขึ้น เสียงฉัวะดังขึ้นเมื่อร่างของเขาแยกจากตรงกลางออกเป็นสองส่วนแล้วล้มไปด้านซ้ายด้านขวา เลือดกับเครื่องในกระจายไปบนพื้น
ลู่เซิ่งชักมือกลับมามองคนจากสำนักผูกวิญญาณที่เหลือ
“ศิษย์พี่หลง!” ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่สนิทกับหลงจิ้วตาแดงก่ำ ชักดาบฟันใส่ลู่เซิ่งในทันที
ด้านหลังพวกเขาปรากฏเงาร่างพร่ามัวมากมายขึ้นพร้อมกัน คล้ายกับเป็นภูตผีอัญเชิญที่เหมือนมารหยิน ภูตผีเหล่านี้เกาะติดร่างของพวกเขา และพากันบินออกไปหาลู่เซิ่งในตอนที่พวกเขาออกดาบ
ชั่วขณะนั้นในลานเรือนมีไอสีดำพุ่งออกมาสามสาย พวกมันกลายเป็นงู กะทิง และคน ก่อนจะพุ่งใส่ลู่เซิ่งอย่างดุร้าย
“พายุแห่งกระบี่ขับไล่อาทิตย์” ลู่เซิ่งออกกระบี่ ประกายกระบี่หลายสายทิ่มแทงไอสีดำทั้งหมดอย่างแม่นยำ สวยงามราวกับนกยูงรำแพนหาง
คนที่ปล่อยภูตผีออกมากระอักเลือดล้มลงกับพื้น อีกทั้งยังหมดแรง
“เป็นแค่ระดับจตุลักษณ์แต่กลับกล้าเข้าร่วมศึกแย่งชิงหรือ เหลวไหลจริงๆ” ลู่เซิ่งกวาดตามองศพของหลงจิ้วที่กำลังสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
ในกลุ่มคนของสำนักผูกวิญญาณมีแต่ชายฉกรรจ์ผู้นี้ที่มีพื้นฐานดี ดาบก่อนที่จะลงมือเกือบอยู่ในมาตรฐานระดับฉลักษณ์ แต่ก็เพียงเท่านี้
คนของสำนักผูกวิญญาณเหลือแค่สามบุรุษสองสตรี
ทั้งห้าคนถืออาวุธเอาไว้ จะวางก็ไม่ใช่ จะควงก็ไม่ใช่ ได้แต่ยืนอยู่กับที่อย่างกระอักกระอ่วน
“ระวังด้วย!” อยู่ๆ เสียงของเซี่ยอวี้ฉยงก็ดังมาจากที่ไม่ไกลออกไป
กรรซ์!
แมงมุมวานรพุ่งมาจากด้านซ้ายของลู่เซิ่ง ส่วนยักษ์เหล็กสีดำพุ่งมาจากด้านขวา
ทั้งสองกลับเลือกกลุ้มรุมกำจัดคู่ต่อสู้ที่มีการคุกคามมากที่สุดอย่างลู่เซิ่งก่อนโดยไม่ได้นัดหมาย
“มือเปล่าชิงคมขาว!” ลู่เซิ่งตวาด เอียงร่างหลบพ้นการโจมตีของยักษ์เหล็กสีดำพอดี ในพริบตาที่ยักษ์เหล็กสีดำกำลังจะพุ่งผ่านไป ลู่เซิ่งก็ใช้มือขวาจับขาข้างขวาของยักษ์เหล็กสีดำเอาไว้ดุจสายฟ้าแลบ
“ตะวันส่องสว่างแห่งกระบี่ขับไล่อาทิตย์”
เปรี้ยง!
เขาจับยักษ์เหล็กสีดำเหมือนกับจับกระบี่ยักษ์ แล้วฟาดใส่แมงมุมวานร
ตูม!
โล่ที่เกิดจากการวมตัวของควันสีเขียวเพิ่งจะโผล่ขึ้นด้านหน้าแมงมุมวานร ยังไม่ทันเป็นรูปเป็นร่าง ก็เห็นภูเขาสีดำลูกหนึ่งกดทับมา และบดบังสายตาของมันอย่างรวดเร็ว
พื้นดินแตกร้าวเป็นรอยแตกกลุ่มใหญ่ ยักษ์เหล็กสีดำเหลือแค่ครึ่งท่อนในมือลู่เซิ่ง อีกครึ่งท่อนผสมกับแมงมุมวานรเป็นเก้อนเดียวกันจนแยกแยะไม่ออก
ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างพอใจ กระบวนท่าเมื่อครู่ไม่ใช่กระบวนท่าในกระบี่ขับไล่อาทิตย์ แต่เป็นสิ่งที่เขาบรรลุจากตอนศึกษาแผ่นหินแผ่นนั้น
‘ที่แท้นี่ก็คือสรรพสิ่งล้วนเป็นกระบี่ ร้ายกาจจริงๆ’ เขาหวนนึกถึงประกายแสงในชั่วพริบตาที่ลงมือเมื่อครู่ เกิดแรงบัลดาลใจอยู่ชั่วขณะ
‘บางที…เราอาจจะคลำทิศทางของรอยดาบบนแผ่นหินออกบางส่วนแล้วก็ได้…’ ความคิดของลู่เซิ่งก้าวหน้าขึ้น ทิศทางมากมายที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนหน้านี้พากันปรากฏออกมา เขาถึงขั้นอยากจะละทิ้งศึกช่วงชิงแล้วกลับไปกักตนเพื่อศึกษาแผ่นหินต่อด้วยซ้ำไป
ทว่าเขาข่มความคิดนี้ไว้อย่างรวดเร็ว
เขาได้สติกลับมา แล้วมองไปยังคนจากสำนักผูกวิญญาณด้วยดวงตาเหม่อลอยเล็กน้อย
“ที่แท้เป็นเช่นนี้…ที่แท้เป็นเช่นนี้…” เขาคล้ายกับเข้าใจอะไรบางอย่างในขณะที่ใจลอยอยู่
“เจ้าคือกระบี่”
“เจ้าคือกระบี่”
“เจ้าคือกระบี่”
เขาชี้ไปที่คนจากสำนักผูกวิญญาณทีละคน เกิดความคิดมากมาย สีหน้าเรียบเฉยยิ่งกว่าเดิม
“…”
“?”
คนของสำนักผูกวิญญาณประหลาดใจ รู้สึกว่าตัวเองมาเจอคนบ้าหรือไม่
พี่น้องเซี่ยอวี้ฉยงกับคนจากสำนักซ่อนธาตุมองลู่เซิ่งอย่างระมัดระวังเช่นกัน ไม่ทราบว่าอยู่ๆ เขาเป็นบ้าอะไร
ลู่เซิ่งเริ่มกวาดตามองคนที่เหลืออย่างรวดเร็ว อยู่ๆ เขาก็เคลื่อนไหวร่าง โดยกระโดดสองสามทีไปถึงด้านหน้าคนจากสำนักผูกวิญญาณ แล้วโคจรปราณจริงแท้พร้อมกับฟันปราณกระบี่ออกไปทีละสาย
เสียงแกร๊กดังขึ้นหลายครั้ง ยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนพวกนี้ก็ถูกฟันแขนขาขาดจนล้มลงกับพื้น มิหนำซ้ำปราณจริงแท้มากมายยังวนเวียนอยู่บนหัวเข่าของคนจากสำนักผูกวิญญาณเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาฟื้นฟูสภาพด้วย
พวกเซี่ยอวี้ฉยงหนังตากระตุก ตอนแรกจะทักทายลู่เซิ่ง ทว่าพอเห็นภาพนี้เข้า จิตใจก็ตึงเครียด ฝีเท้ามีความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้นึกไม่ถึงว่าลู่เซิ่งจะมีพลังแข็งแกร่งปานนี้ และไม่ได้เห็นเขามาในทันที
คนจากสำนักผูกวิญญาณละทิ้งการต่อต้านเพราะการเคลื่อนไหวที่ประหลาดของลู่เซิ่งไปแต่แรกแล้ว ทว่ายังคงถูกเขาฟันแขนขา แถมยังใช้ปราณจริงแท้ผนึกเอาไว้ ไม่ให้พวกเขางอกพวกมันขึ้นมาใหม่
นี่แปลกประหลาดอยู่บ้าง
“มีใครสวมหน้ากากปลอมแปลงโฉมหรือไม่ ทางที่ดีให้เผยหน้าออกมา ไม่อย่างนั้นข้าจะถลกหนังเจ้า” ลู่เซิ่งกวาดตามองคนจากสำนักผูกวิญญาณ สายตากวาดผ่านใบหน้าของศิษย์สตรีโดยเฉพาะ
“ศิษย์พี่สำนักพันอาทิตย์ นักรบฆ่าได้หยามไม่ได้ ท่านกำจัดศิษย์พี่หลงจิ้วไปแล้วยังพอว่า ท่านอยากฆ่าพวกเราก็ฆ่าเถอะ เหตุใดต้องหยามพวกเราขนาดนี้” ศิษย์สตรีหน้าตางดงามคนหนึ่งในนี้กล่าวเสียงเย็นชา
“ข้ากำลังหาคนอยู่ นอกจากนี้พอข้าเห็นคนของสำนักผูกวิญญาณแล้วก็ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ อย่าโทษข้าเลย โทษที่ผู้อาวุโสของเจ้าไม่รู้ความดีกว่า ข้าทำอะไรพวกเขาไม่ได้ แต่ย่อมฆ่าพวกเจ้าได้” ลู่เซิ่งสีหน้าเยือกเย็นลง น้ำเสียงทุ้มหนักอย่างน่าประหลาด
การฆ่าผู้อาวุโสระดับจังหวัดของสำนักผูกวิญญาณต่อหน้าสาธารณชนมีผลกระทบมากเกินไป จัดการได้ยาก ถ้าหากเป็นในที่ลับยังพอว่า กระนั้นสถานการณ์ในตอนนั้นไม่อนุญาตให้เขาลงมือกับหยวนเฉิงเต้าโดยตรง
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงเข้าประตูมาอย่างอารมณ์เสีย
พอเห็นหลงจิ้วจากสำนักผูกวิญญาณ เขาก็ยิ่งไม่พอใจกว่าเดิม
“ยังมีพวกเจ้า” อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางสำนักซ่อนธาตุ “ผู้หญิงอยู่ ถ้าผู้ชายกล้าหนีข้าจะฟันแขนขาทิ้ง”
พวกเซี่ยอวี้ฉยงพลันงงงัน จากนั้นก็รู้สึกเย็นเยียบ
พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าลู่เซิ่งจะพลิกหน้ากับพวกเขาในชั่วอึดใจเดียว
โดยเฉพาะคนจากสำนักซ่อนธาตุ ต่างคนต่างสับสน ยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ศิษย์พี่ท่านนี้…ท่าน…ท่านหมายความว่าอะไรกันแน่” บุรุษร่างผอมสูงของสำนักซ่อนธาตุคนหนึ่งเดินออกมาก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “ศิษย์พี่กงฉือของพวกเราอยู่ใกล้ๆ นี้ บางทีพวกเราสมควรบอกความต้องการของท่านไปกับนาง”
“กงฉือหรือ” ลู่เซิ่งปักกระบี่ใส่พื้นด้านข้าง “ไม่ต้องหรอก พวกเจ้ามียันต์ขอความช่วยเหลือหรือไม่ ใช้มันบอกให้นางมาที่นี่เสีย”
……………………………………….