ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 364 คนสำคัญ (8)
บทที่ 364 คนสำคัญ (8)
“ข้าเคยพิจารณาคำพูดของศิษย์น้องเซี่ยมาก่อนแล้ว พวกเราสามารถ…” กงฉือเว้นเล็กน้อย
“พอแล้ว” ลู่เซิ่งตัดบทนาง “รอเจอก่อนค่อยว่ากัน ถ้าหากพวกเขารอดถึงตอนนั้นล่ะก็นะ”
พอกล่าวคำพูดนี้ คนจากสำนักซ่อนธาตุพลันไม่พอใจถึงขีดสุด นี่เห็นได้ชัดว่าดูแคลนคนในสำนักซ่อนธาตุทุกคนแล้ว
พวกเขาไม่ปฏิเสธว่าลู่เซิ่งแข็งแกร่งมากๆ แต่พี่น้องหลีม่ายแห่งสำนักซ่อนธาตุก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดแห่งยุคสมัยเช่นกัน โดยเฉพาะศิษย์พี่ใหญ่หลีม่าย แม้แต่คนทะนงตนอย่างซุนหรงจี๋ของสำนักผูกวิญญาณก็ต้องก้มหัวคารวะเขา แถมยังมีวรยุทธ์เหนือคนอื่นๆ อีก
สีหน้ากงฉือเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเช่นกัน
“เจ้าอย่าได้คิดหนี ข้ายังรอซื้อข้อมูลหลังจากเจ้าตามข้าออกไปอยู่ หากเจ้าหนีไป ข้าจะฆ่าทุกคนจากสำนักซ่อนธาตุที่เข้าร่วมการแข่งขัน” ลู่เซิ่งมองกงฉือ ทำลายความเพ้อฝันของนาง
“ศิษย์พี่ลู่หาคนจากสมาคมพันราชาอีกคนหนึ่งมาปรึกษาการซื้อขายก็ได้นี่” กงฉือพูดด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“มีเจ้าอยู่ทั้งคน เหตุใดข้าต้องไปหาคนอื่นด้วย” ลู่เซิ่งถามกลับ “ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ไม่อยากจ่ายเงินเช่นกัน”
“…” คนที่กล่าวคำพูดแบบนี้ได้เหมือนมีเหตุมีผล คาดว่าทั่วทั้งสำนักพันอาทิตย์จะมีแค่ลู่เซิ่งคนเดียว
กงฉือก็ดี พี่น้องเซี่ยอวี้ฉยงก็ดี ยังมีคนอื่นๆ จากสำนักซ่อนธาตุล้วนหมดคำพูดโดยสิ้นเชิง
หากพูดให้น่าฟัง คนอย่างลู่เซิ่งคือจอมอหังการผู้ไม่เลือกวิธีการ ขอแค่ไปถึงเป้าหมายได้ก็พอ หากกล่าวแบบไม่น่าฟังก็คือเป็นนักเลง แถมยังเป็นนักเลงที่มีพลังแข็งแกร่งจนแปลกประหลาดอีกด้วย
“จริงสิ ก่อนหน้านี้เจ้าบอกจะให้ข้ายืมสองหมื่นทองคำมารนี่ ตอนนี้ยังมีผลหรือไม่” อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็หันไปมองเซี่ยอวี้ฉยง
เซี่ยอวี้ฉยงผุดสีหน้างุนงงก่อน จากนั้นก็หน้าแดงเป็นสีเลือดหมูทันที
“ศิษย์พี่ลู่…ข้าบอกว่าแปดพันถึงหนึ่งหมื่น…ไม่ใช่สองหมื่นมิใช่หรือ?!”
“ข้าได้ยินสองหมื่นทองคำมารชัดๆ” ลู่เซิ่งมองเซี่ยอวี้ฉยงด้วยสายตาล้ำลึก
พี่น้องตระกูลเซี่ยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตราย ต่างกระสับกระส่ายขึ้นมาเล็กน้อย โดยเฉพาะเซี่ยอวี่เซิง เขามีพี่สาวปกป้องมาโดยตลอด เดิมทีไม่ค่อยมีทั้งความกล้าและทั้งพลังอยู่แล้ว ตอนนี้จึงเกือบจะฉี่ราด
“สองหมื่น…เยอะเกินไปแล้ว…” เซี่ยอวี้ฉยงพยายามแย้งภายใต้การกดดันจากกลิ่นอายของลู่เซิ่ง
“ไม่เยอะหรอก ซื้ออันดับที่สูงขึ้นของพวกเจ้าสองคน ไม่เยอะเลย” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างมีเลศนัย “นี่คือราคามิตรภาพ”
เซี่ยอวี้ฉยงพลันเข้าใจความหมาย การจ่ายสองหมื่นทองคำมารในครั้งเดียวไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ สำหรับทั้งนางและตระกูล หลังจากพวกนางสองพี่น้องเข้าร่วมสำนักพันอาทิตย์ ยังนับว่ามีคุณสมบัติกับผลงานส่วนหนึ่ง จึงได้รับการสนับสนุนสุดกำลังจากตระกูลมาโดยตลอด ถึงอย่างไรต่อให้ต้องจ่ายเงิน แต่ถ้าหากมีผลงานในสามสำนักใหญ่ ภายหลังออกไปไหนก็มีประสบการณ์และเบื้องหลังซึ่งใช้ในการเปิดธุรกิจใหม่ๆ ได้ไม่น้อย
และถ้าหากได้อันดับที่ดีกว่าเดิมในศึกช่วงชิงของเรือนด้านใน ไม่เพียงแต่จะได้รางวัลจากสามสำนักที่ดีกว่าเดิมเท่านั้น ยังได้รับความสนใจจากเบื้องบนมากกว่าเดิมด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นทรัพยากรที่มองไม่เห็นซึ่งไม่อาจหาซื้อได้ด้วยเงิน
พอคิดแบบนี้ เซี่ยอวี้ฉยงก็พยักหน้าทันที
“ข้าเข้าใจแล้ว สองหมื่นทองคำมารไม่แพงจริงๆ”
“ท่านพี่!” เซี่ยอวี่เซิงยังไม่เข้าใจ จึงมองนางอย่างสับสน
“นอกจากนี้ ในฐานะค่าตอบแทน ข้าสามารถช่วยชักชวนศิษย์คนอื่นๆ ให้ท่านได้ด้วย คนละสามหมื่นทองคำมารเป็นอย่างไร” เซี่ยอวี้ฉยงเป็นคนใจเหี้ยม พริบตาเดียวก็เตรียมขายคนอื่นด้วยแล้ว
“ถือว่าแพงหรือไม่” ลู่เซิ่งถาม
“สำหรับคนที่รวยสุดๆ ไม่นับว่าแพง สำหรับคนส่วนใหญ่อยู่ในระดับเข้าเนื้อแต่ก็จ่ายได้” เซี่ยอวี้ฉยงตอบ
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างพอใจ นี่เป็นวิธีการหาเงินที่เขานึกขึ้นได้อย่างปัจจุบันทันด่วน ตอนนี้เขากำลังขาดเงินอย่างหนักอยู่พอดี ส่วนสำนักพันอาทิตย์อย่างอื่นมีไม่มากเท่าไหร่ ยกเว้นเงิน หากไม่ฉวยโอกาสกอบโกยสักหน่อย คงจะทำให้พวกเขาเสียชื่อ
“พวกท่าน…!” กงฉือที่อยู่ด้านข้างอ้าปากตาค้าง การช่วยเหลือศิษย์ในสำนักตัวเองสมควรเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เหตุใดพอเป็นลู่เซิ่งกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้
“ศิษย์น้องกงมีความเห็นหรือ” ลู่เซิ่งมองกงฉือ
กงฉือข่มความประหลาดใจบนใบหน้าเอาไว้ไม่อยู่ ทว่าจากนั้นก็เปลี่ยนแปลงสีหน้าอย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า
“ดูเหมือนศิษย์พี่ลู่คิดจะจัดการพวกเราในตอนสุดท้ายถ้าพวกเราไม่จ่ายเงินกระมัง”
ลู่เซิ่งพลันถอนใจ “ในเมื่อรู้แล้วจะพูดออกมาทำไม”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นศิษย์พี่ลู่ได้โปรดฆ่าพวกเราเพื่อให้ออกจากการแข่งขันตอนนี้เลยเถอะ ไม่อย่างนั้นก็ขอให้ศิษย์พี่ปล่อยพวกเราไป” กงฉือเยือกเย็นลงอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงเหมือนกันว่ากงฉือจะตัดสินใจแบบนี้ จึงตั้งใจพิจารณานางอีกครั้งหนึ่ง ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ไม่สนใจการหาคนแล้ว เพราะเข้าใจแผ่นหินที่อาจารย์เชียนตู้ซูหนิงเฟยมอบให้เรียบร้อย สิ่งที่เขาขาดเพียงหนึ่งเดียวคือความรู้กับการแลกเปลี่ยนอย่างเป็นรูปธรรมในระดับจ้าวแห่งมาร
“ก็ได้ เจ้าพาคนไปเองเถอะ ตลอดทางที่ผ่านมาข้าดูแลพวกเจ้ามามากพอแล้ว” ในที่สุดลู่เซิ่งก็เอ่ยพลางพยักหน้า
“ขอตัว!” ถึงอย่างไรกงฉือก็ยังรู้ว่าพวกตนเป็นคนจากสำนักซ่อนธาตุ ไม่ใช่สำนักพันอาทิตย์ จ่ายเงินมากขนาดนี้ไม่ไหว เงินสามหมื่นทองคำมารซื้อได้แม้กระทั่งชิ้นส่วนอาวุธเทพชั้นเลิศจำนวนหนึ่ง นอกเสียจากจะทำให้ครอบครัวล่มจม ไม่อย่างนั้นคนในสามสำนักที่จ่ายเงินให้สิ่งอำนวยความสะดวกอย่างหอคอยวิญญาณจริงแท้มาแรมเดือนแรมปี ผู้ใดมีเงินเหลือมาซื้ออันดับบ้าง
ยอดฝีมือของสำนักซ่อนธาตุจากไปพร้อมกับความขุ่นข้องใจอย่างรวดเร็ว
“คนพวกนี้นึกจริงๆ หรือว่าตนเองสุดยอดนัก ถ้าไม่ใช่มีศิษย์พี่ลู่คอยช่วยเหลือ พวกเขาคงมาไม่ถึงที่นี่หรอก” เวลานี้เซี่ยอวี่เซิงรู้แล้วว่าพวกตนสองพี่น้องได้เปรียบมาก กลับไม่ชอบใจพวกสำนักซ่อนธาตุขึ้นมา คิดว่าพวกเขาได้ประโยชน์ไปแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่ให้ความเคารพศิษย์พี่ลู่มากพอ
“ไม่ใช่ว่าสมควรช่วยเหลือพวกเขาเสียหน่อย ที่มาถึงขั้นนี้ได้ก็สมควรสำนึกบุญคุณแล้ว กลับยังมาทำท่าไม่พอใจใส่ศิษย์พี่ลู่อีก ทัศนคติแบบนี้ไม่ดีจริงๆ” เซี่ยอวี้ฉยงพยักหน้ากล่าว
ลู่เซิ่งยิ้มๆ ในใจกลับยังนึกถึงธรรมราชาเฒ่าที่เจอเมื่อครู่อยู่
“ไปเถอะ เขตวัดธรรมจักรถูกกวาดล้างไปแล้ว พวกเราจะมุ่งหน้าไปยังเขตอื่น หาดูว่ายังมีศิษย์พี่ศิษย์น้องจากสำนักพันอาทิตย์ของพวกเราอยู่อีกหรือไม่” เขากล่าวเสียงขรึม ตอนนี้ช่วยได้หนึ่งคนเท่ากับเงิน ยังมีอะไรคุ้มไปกว่าการหาเงินแบบนี้อีก
“รับทราบ! ศิษย์พี่!” พี่น้องเซี่ยอวี้ฉยงรีบตอบ
“เอ่อ…เช่นนั้นพวกข้าน้อย…” พวกเสวียนจูยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างมาโดยตลอด ตอนนี้ในที่สุดก็มีโอกาสเปิดปากแล้ว คนเหล่านี้ล้วนมองลู่เซิ่งอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“พวกเรารู้เหมือนกันว่าศิษย์พี่ลู่คงไม่พาพวกเรามาด้วยโดยไม่มีเหตุผล พวกเราไม่ใช่คนของสำนักพันอาทิตย์ และไม่ได้มีทรัพย์สินมากพอจะซื้ออันดับ เพียงแต่ว่า…พวกเราแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างหนึ่งที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ได้ ดูว่าจะขอให้ศิษย์พี่ลู่พาพวกเราไปด้วยได้หรือไม่”
“ข้อมูลอะไร” ลู่เซิ่งเกิดความสนใจ ข้อมูลอะไรมีค่าหลายหมื่นทองคำมารกัน
“ข้อมูลเกี่ยวกับสำนักผูกวิญญาณขอรับ ทุกคนของสำนักผูกวิญญาณรวมตัวอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่มีสถูปสามองค์ภายใต้การนำของศิษย์พี่ใหญ่ซุนหรงจี๋ น่าจะวางแผนรวบรวมคนของตัวเองและกำจัดคนอื่นๆ เพื่อแย่งชิงอันดับที่ดีกว่าเดิมเหมือนศิษย์พี่ลู่”
“เช่นนั้นพวกเจ้าเป็นคนจากสำนักอะไร เหตุใดจึงบอกข้อมูลที่สำคัญขนาดนี้กับพวกเรา” เซี่ยอวี้ฉยงอดส่งเสียงถามไม่ได้
“พวกเราเป็นเพียงคนจากสำนักนอก…” เสวียนจูยิ้มอย่างขื่นขม
สำนักนอกที่ว่าก็คือสำนักเล็กถึงกลางส่วนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสามสำนัก ถ้าหากพวกเขามีลูกศิษย์ที่โดดเด่นถึงขีดสุด หรือจ่ายด้วยเงินที่มากพอ ก็จะมีโอกาสเข้าร่วมศึกช่วงชิง
นี่นับว่าเป็นความหวังอันน้อยนิดที่สามสำนักใหญ่มอบให้สำนักอื่นๆ
“ถ้าหากยืนยันว่าข่าวเป็นจริง เช่นนั้นข้าจะพิจารณาพาพวกเจ้าไปถึงช่วงสุดท้าย” ลู่เซิ่งกวาดตามองคนสามคนที่เหลือด้านหลังเสวียจู ก่อนเอ่ยเสียงเบา
“ขอบคุณศิษย์พี่ลู่มาก!” พวกเสวียนจูพากันยินดี มีแต่ได้เห็นสภาพแวดล้อมของที่นี่มาแล้วว่าเลวร้ายขนาดไหน พวกเขาจึงได้เข้าใจว่า ถ้าหากติดตามอยู่ด้านหลังยอดฝีมือที่แข็งแกร่งจนน่าอัศจรรย์อย่างลู่เซิ่งได้ จะมีส่วนช่วยเหลือมากมาย
พวกลู่เซิ่งสามคนบวกกับพวกเสวียนจูสี่คนรวมเป็นเจ็ดคน เริ่มผละจากเขตวัดธรรมจักร แล้วมุ่งหน้าไปยังพระพุทธรูปยักษ์ที่อยู่ตรงกลาง
ระหว่างทาง พอลู่เซิ่งเห็นคนจากสำนักผูกวิญญาณก็ฆ่าทิ้ง พอเห็นคนอื่นก็เก็บเงิน ถ้าจ่ายด้วยตั๋วทองไหว เช่นนั้นก็พาร่วมทาง ถ้าไม่ไหวก็ได้แต่จากไปอย่างเงียบๆ
หลังจากเข้าใกล้เป้าหมายขึ้นเรื่อยๆ วัดน้อยใหญ่สิบกว่าแห่งก็ถูกลู่เซิ่งถล่มราบ ศิษย์สำนักผูกวิญญาณเกือบสิบกว่าคนที่เจอถูกเขาโจมตีสังหารออกจากศึกช่วงชิง
นี่ทำให้กลุ่มช่วงชิงจากสำนักผูกวิญญาณได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง เดิมทีพวกเขาในฐานะสามสำนักใหญ่แข็งแกร่งกว่าสำนักพันอาทิตย์ และพอฟัดพอเหวี่ยงกับสำนักซ่อนธาตุ แต่พอลู่เซิ่งทำแบบนี้ จำนวนคนจึงตกลงฮวบฮาบ
…
ณ ตัวลานชั้นนอกของวัดตราทมิฬ
ระดับสูงของจังหวัดไร้เหมันต์จากสามสำนักใหญ่เช่นสำนักพันอาทิตย์ สำนักผูกวิญญาณ และสำนักซ่อนธาตุเงยหน้ามองดูการต่อสู้ในวัดตราทมิฬชั้นในที่ถ่ายทอดอยู่บนคันฉ่องทรงกลมบานมหึมาบนตัวลาน
หยวนเจิ้งซั่งเหริน[1]ที่ถูกจัดเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ผู้อาวุโสระดับจังหวัดของสำนักพันอาทิตย์ เป็นชายชราไว้เคราสีขาวที่สูงเท่าเอวคนธรรมดา ตอนนี้กำลังควบคุมธงค่ายกลของค่ายกลผนึกนภาสำหรับถ่ายทอดการต่อสู้ เพื่อปรับความคมชัดกับระดับความว่างของภาพ
ตอนนี้ภาพแสดงให้เห็นยอดฝีมือของสำนักผูกวิญญาณหลายคนที่กำลังใช้ภูตผีผูกวิญญาณซึ่งอัญเชิญออกมาพัวพันเทวราชหลับตาตนหนึ่ง โดยค่อยๆ ถ่วงเวลาให้มันเหนื่อยตาย
ศิษย์สำนักพันอาทิตย์หลายคนรออยู่ด้านข้างอย่างสงบ โดยนั่งอยู่ในค่ายกลสีทองอ่อนค่ายหนึ่ง กำลังมองดูคนของสำนักผูกวิญญาณที่กำลังสู้รบเป็นตายกับเทวราชหลับตา
ผ่านไปสักพัก เทวราชหลับตาก็ถูกลากถ่วงจนตาย คนของสำนักพันอาทิตย์รีบเข้าไปส่งตั๋วเงินจำนวนหนึ่งให้ด้วยรอยยิ้ม ผู้นำของสำนักผูกวิญญาณยิ้มและรับไว้ สองฝ่ายดูชื่นมื่นถึงขีดสุด
“ไอ้เด็กโสโครกพวกนี้!” หยวนเจิ้งซั่งเหรินเห็นภาพนี้ก็อึดอัดคับข้อง ติดสินบนผู้เข้าแข่งขันอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย นี่เป็นความอัปยศของสำนักพันอาทิตย์แท้ๆ!
เขารีบปรับภาพ ไม่นานก็เจอคนของสำนักซ่อนธาตุซึ่งกำลังต่อสู้กับบุรุษสตรีอาภรณ์ขาวที่มีขนปีกสีขาวงอกบนแขนหลายคน
บุรุษสตรีเหล่านี้ล้วนสวมหน้ากากสีเงิน ทั้งยังถือหอกยาวสีขาวที่สลักสัญลักษณ์ประหลาดเอาไว้ มีพลังเหี้ยมหาญ สามารถเจาะการป้องกันของเยื่อดำได้อย่างง่ายดายขณะควงหอกยาว ถ้าหากไม่ใช่พวกเขาเคลื่อนไหวช้าเกินไป ทั้งยังมีปฏิกิริยาทึ่มทื่อ คนของสำนักซ่อนธาตุคงแพ้ไปแล้ว แต่ตอนนี้กลุ่มคนจากสำนักซ่อนธาตุกำลังได้เปรียบ
คนของสำนักพันอาทิตย์โผล่มาตรงมุมหนึ่งของภาพ กำลังส่งสัญญาณมือให้กับยอดฝีมือของสำนักซ่อนธาตุ เหมือนจะเป็นตัวเลข
ทางฝั่งสำนักซ่อนธาตุส่งคนคนหนึ่งออกมา แลกเปลี่ยนสัญญาณมือกับอีกฝ่ายอย่างเร่งรีบ
ไม่นานทั้งสองก็ตกลงราคากันได้
“พวกเราจ่ายคนละห้าพันทองคำมาร” บุรุษจากสำนักพันอาทิตย์ที่ต่อรองราคาคนนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มได้ใจ “ตอนแรกพวกเขาต้องการแปดพัน แต่กลับไม่ดูเลยว่าตระกูลข้าทำอะไร ใช้ไม่กี่กระบวนท่าก็กดราคาถึงห้าพันได้แล้ว”
รอยยิ้มได้ใจของเขาถูกขยายขึ้นบนผิวคันฉ่องในพริบตา บนคันฉ่องขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหลายสิบหมี่พลันสะท้อนใบหน้าของคนผู้นี้อย่างแจ่มชัด
ทันใดนั้นเหล่าระดับสูงบนลานกว้างต่างส่งเสียงหัวเราะเกรียวกราว
……………………………………….
[1] ซั่งเหริน เป็นคำเรียกให้เกียรติของพระภิกษุ หรือให้เกียรติคนที่มีวัยวุฒิ