ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 37 ล้อเล่นกับความรู้สึก (1)
“ท่านไฉนต้องสวมรองเท้ายาว ไม่ร้อนหรือ” ลู่เซิ่งถาม “ความจริงขาของท่านจึงเป็นส่วนที่น่าดูที่สุด”
เฉินอวิ๋นซีงงงัน ก้มหน้าลงเล็กน้อย แก้มแดงอยู่บ้าง
“ท่านไม่ชอบรองเท้าหรือ… เช่นนั้นทีหลัง ทีหลังข้าจะเปิดส่วนขา… ให้ท่านดูคนเดียว…”
ลู่เซิ่งเพียงพูดไปเรื่อยเปื่อยหนึ่งประโยค นึกไม่ถึง…
ทั้งสองคนบรรยากาศแปลกพิกลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ต่างไม่เอ่ยปากกล่าววาจาใดอีก เพียงเดินอยู่บนพื้นหญ้าอย่างช้าๆ
ลู่เซิ่งเหม่อไปครู่หนึ่ง
ครึ่งปีแล้ว
ในครึ่งปีที่รักษาอาการบาดเจ็บนี้ เขาไม่ได้พบเจอเรื่องราวที่เกี่ยวกับผีๆ สางๆ ใดๆ อีก และไม่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับตวนมู่หว่านและเหยียนไค เหมือนกับทุกสิ่งที่พานพบก่อนหน้านี้ เป็นเพียงความรู้สึกหลอน ทุกอย่างกลับคืนสู่ชีวิตประจำวันที่ราบเรียบผาสุก
ถ้าไม่ใช่ในร่างของเขายังมีปราณภายในที่ยิ่งใหญ่โคจรไม่ขาดสาย ถ้าไม่ใช่เพราะเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูที่เขาเรียกออกมาดูได้ตลอดเวลา บางทีเขาอาจนึกจริงๆ ว่า ตัวเองใช้ชีวิตอยู่ในโลกอันสงบสุขซึ่งไม่มีภูตผีอันใด
“พี่ใหญ่ลู่…” เฉินอวิ๋นซีพลันเรียกเขาเสียงเบา ตัดความคิดของลู่เซิ่ง
“เป็นไรแล้ว” ลู่เซิ่งหยุดฝีเท้า
เฉินอวิ๋นซีก้มหน้า แก้มเป็นสีแดง ลดเสียงกล่าว “บิดาข้า.. คิดเชิญท่านไปเป็นแขกที่บ้านข้า กินอาหารด้วยกัน”
ลู่เซิ่งพลันงงงวย นี่นับว่าพบเจ้าบ้านแล้วหรือ แต่เขากับเฉินอวิ๋นซียังไม่นับว่าเป็นความสัมพันธ์ฉันคู่รัก นี่ใช่เร็วไปบ้างหรือไม่
“พี่ใหญ่ลู่ไม่ต้องการหรือ” เฉินอวิ๋นซีเห็นลู่เซิ่งไม่ตอบ บนใบหน้าปรากฏความผิดหวังเลือนราง “เพียงกินอาหารเท่านั้น บิดาข้า เขาอยากเห็นว่าท่านเป็นคนอย่างไร”
ลู่เซิ่งก็หมดคำพูด เขาเองก็มีความรู้สึกดีต่อเฉินอวิ๋นซีเช่นกัน แต่ยังไม่ถึงขั้นนั้น หนำซ้ำพัฒนาอย่างรวดเร็วกะทันหันปานนี้ ทำให้เขารับมือไม่ทันอยู่บ้าง
ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ยังคงกล่าว “เหล่านักศึกษาก็อยากจะเห็นมากว่า นายผู้เฒ่าเฉินผู้ร่ำรวยมั่งมีเป็นคนแบบไหน”
เฉินอวิ๋นซีพอได้ยิน พลันเผยรอยยิ้ม “เช่นนั้นท่านต้องผิดหวังแล้ว บิดาข้าเป็นตาเฒ่าบ้าบอ ชอบทำหน้าบึ้ง แต่ในที่ส่วนตัวเป็นตาเฒ่าไม่รู้จักอาย!”
ลู่เซิ่งยิ้มตาม กลับมีความรู้สึกไม่เป็นจริงอย่างหนึ่ง หรือกล่าวว่า เป็นความรู้สึกเข้ากันไม่ได้อย่างหนึ่ง
ต่อจากนี้ถ้าบ้านอีกฝ่ายพอใจ อย่างนั้นเขาสมควรพาเฉินอวิ๋นซีไปพบบิดาและมารดารองของตนเช่นกัน จากนั้นก็เป็นสองตระกูลหมั้นหมาย เตรียมของขวัญวิวาห์ กำหนดฤกษ์ยามงามดี ภายหลังก็แต่งงานแล้ว
แน่นอนว่าถ้าทุกอย่างราบรื่น แต่กล่าวตามจริงในใจเขาไม่มีความคิดแต่งงานเร็วขนาดนี้
“การทดสอบประจำปีใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้าหากว่าครั้งนี้สอบผ่าน ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่ลู่คิดไปสถานศึกษาใดต่อ นี่เกี่ยวพันถึงทิศทางและระดับการเป็นขุนนางในภายหลังของพวกเรา
“โจทย์ของปีก่อน ทางข้าหาคนแก้ไขโดยเฉพาะแล้ว มีวิธีการแก้ไขไม่เหมือนกันห้าวิธี ถ้าหากว่าพี่ใหญ่ลู่ต้องการ อีกเดี๋ยวอวิ๋นซีให้คนส่งไปให้ท่านดีหรือไม่?” เฉินอวิ๋นซีถามเบาๆ “ทำโจทย์มากๆ ศึกษาความคิดของขุนนางที่จัดสอบปีนี้ ย่อมไม่พลาด”
“ข้า… เช่นนั้นขอบคุณอวิ๋นซีแล้ว” ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย ยังคงรับไว้ ในใจกลับสับสนอยู่บ้าง
ถ้าหากว่าราบรื่นแบบนี้ ผ่านการทดสอบ ที่เป็นการทดสอบระดับฝู่ ภายหลังเป็นการสอบใหญ่ระดับฮุ่ย จากนั้นเป็นการสอบระดับเตี้ยน ถ้าหากสามารถผ่านการสอบแต่ละรอบได้ สุดท้ายจะกลายเป็นขุนนาง หนำซ้ำไม่มีทางเป็นขุนนางเล็กๆ… วันหน้ารุ่งเรืองพุ่งทยาน ไม่ต้องกล่าวถึง
แต่ว่า
แบบนั้นแล้วจะอย่างไรเล่า
เขาพลันคิดถึงเรื่องที่ตวนมู่หว่านบอกเขาเหล่านั้น ถ้าหากต่างเป็นความจริง เช่นนั้นหากเขาเข้าราชสำนักเป็นขุนนาง มีความหมายอันใด
“ถ้าผ่านการทดสอบได้ ก็มีบรรณาศักดิ์ในเมือง นับว่าเป็นบัณฑิต ไม่ต้องจ่ายภาษีอีก ต่อให้ทีหลังไม่ทำอะไรเลย ก็อาศัยที่นาพ่วงสังกัดคนนอก ใช้ชีวิตรุ่มรวย นี่เป็นเรื่องที่คนหลายคนเฝ้าฝันปรารถนา พี่ใหญ่ลู่คงจะมีไผ่สำเร็จในใจอยู่แล้ว” เฉินอวิ๋นซีกล่าวเสียงค่อย
“บางทีกระมัง…” ลู่เซิ่งยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก
ไม่มีคนทราบว่าเขายังมีอีกสถานะหนึ่ง และไม่มีคนทราบว่าเขาเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจ ฝึกทั้งกำลังภายในและกำลังภายนอก วิชาดาบเหี้ยมหาญจนรับมือผีล่อลวงได้ ต่อให้เป็นมือดีในยุทธภพระดับพลังปรุโปร่ง ใต้ฝ่ามือของเขาก็ทนได้ไม่เกินสิบกระบวนท่า เกิดว่าคลั่งขึ้นมา ก็เป็นมังกรคลั่งในร่างมนุษย์
เขาในตอนนี้ พลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามปราณทมิฬพิฆาตที่ทวีขึ้นทั้งกลางวันกลางคืน
วิชาทมิฬพิฆาต วิชากระเรียนหยก สองวิชาสอดประสาน ส่งเสริมกันและกัน วิชาหนึ่งเสริมความแข็งแกร่งแก่กายเนื้อ วิชาหนึ่งรักษาฟื้นฟูกายเนื้อ กลายเป็นวัฏจักรที่สมบูรณ์แบบวัฏจักรหนึ่ง
ทว่าเขาในยามนี้ ในสายตาพวกเฉินอวิ๋นซีกับซ่งเจิ้นกั๋ว ยังคงเป็นเพียงนายน้อยใหญ่บ้านคหบดีเล็กๆ ที่ออกมาจากเมืองเก้าประสานคนหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่แตกต่างจากลูกหลานบ้านอื่นคือ บนตัวลู่เซิ่งไม่มีกลิ่นอายบ้านนอก บุคลิกเหนือกว่าคนทั่วไปขั้นหนึ่ง แต่ก็เพียงเท่านี้
‘ทว่าในสภาพการดำรงชีวิตในปัจจุบันเช่นนี้ ต่อให้เราเป็นขุนนางคนหนึ่ง แล้วมีความหมายอันอะไร เกิดว่าจวนม้วนมนุษย์ ขุมกำลังที่ควบคุมผีล่อลวงนั้นไล่ล่ามา ยังคงไร้แผนการให้ใช้เหมือนเดิม ได้แต่พึ่งตัวเอง… ในสภาพการณ์แบบนี้ หรือว่าจะต้องไปสอบทำเนียบนักบู๊เหมือนอย่างที่ท่านพ่อว่าจริงๆ’ เขารู้สึกว่าตัวเองเข้ากับคนรอบๆ ตัวไม่ได้
แว่วเสียงหัวเราะดื่มสุราที่ดังมาจากศาลาแต่ไกล ลู่เซิ่งก็มีความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ผิดแปลกอย่างหนึ่ง
“พี่ใหญ่ลู่ ฟังว่าลูกเกดอบแห้งทางถนนตะวันตกไม่เลว ที่นั่นยังมีร้านผลไม้ตากแห้งไม่น้อย ไม่อย่างนั้นพวกเราไปดูด้วยกันในคืนพรุ่งนี้” เฉินอวิ๋นซีแนะนำเบาๆ ด้านข้าง “พรุ่งนี้เป็นเทศกาลใหญ่ เทศการระบำมังกรที่ในอดีตล้วนครึกครื้น”
“ก็ได้…” ลู่เซิ่งอยู่ว่างไร้เรื่องราว กำลังรอข่าวอยู่ เขาให้คนรับใช้ไปสืบข้อมูลของพรรควาฬแดง จากนั้นก็จ่ายเงินซื้อยาราคาแพงไม่น้อย เงินจำนวนเล็กน้อยในมือเหลือไม่เท่าไหร่แต่แรกแล้ว
เมื่อไม่มีเงินทอง ความก้าวหน้าในการฝึกวรยุทธ์และดูแลร่างกายก็ช้าลง เขาจะต้องพยายามหาวิธีทำเงินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เดินเล่นกับเฉินอวิ๋นซีอีกสักพัก สตรีนางนี้พูดถึงเรื่องน่าสนใจที่ตนเจอในสถานศึกษาไม่หยุด ยังเล่าถึงสหายคนอื่นๆ ที่เล่นด้วยกัน ดูท่าทางอารมณ์ดียิ่ง
ลู่เซิ่งเดินเป็นเพื่อนนางหลายก้าว สองคนกลับไปอย่างเชื่องช้า ผู้คนที่ดื่มกินในศาลาไปหลายจอก พากันบอกลา แยกย้ายกันกลับบ้าน
บอกลาเฉินอวิ๋นซี ยังมีพวกซ่งเจิ้นกั๋ว ลู่เซิ่งค่อยๆ เดิบบนเส้นทางกลับบ้าน
ตอนทะลุคูเมือง เห็นชาวบ้านสองสามคนที่หาบตะกร้าอยู่ ทางหนึ่งเดินเข้าเมือง ทางหนึ่งพูดคุยกัน
“แม่น้ำไม้สนใกล้จะปิดแล้วกระมัง”
“คงจะเป็นเวลานี้ บ้านข้าเตรียมแหไว้เรียบร้อยแล้ว รอช่วงห้ามจับปลาผ่านไป จะแวะไปงมสักหน่อย” ชาวบ้านชราคนหนึ่งยิ้มพูดขึ้น
“ถ้าน้ำไม่ท่วม ปีนี้สมควรได้ผลตอบแทนไม่เลว อย่างไรช่วงห้ามจับปลาก็นานขนาดนี้”
“พูดถูกแล้ว”
ชาวบ้านต่างหาบของป่าและพืชผักขโยกเขยกเข้าเมือง
ลู่เซิ่งที่ฟังอยู่ด้านข้าง ก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกัน
‘ที่นี่สงบกว่าเมืองเก้าประสานมาก…’ เขารำพึงหนึ่งประโยค
กลับถึงที่พักอย่างรวดเร็ว ที่ที่ลู่เซิ่งพักอยู่ในตอนนี้เป็นอาคารเล็กในเมืองอยู่ติดประตูเมือง ชั้นล่างเปิดเป็นเหลาสุรา ชั้นบนเป็นทรัพย์สินของเขาตระกูลลู่ เป็นบ้านสามหลังติดกัน แต่บ้านทั้งหมดสามหลังทะลุถึงกัน จึงกลายเป็นอาคารเดียว
ลู่เซิ่งเพื่อความสะดวก ไม่ได้ทำกับข้าวในบ้าน กินอาหารในเหลาสุราที่อยู่ด้านล่าง ทุกๆ วันกำหนดเวลาไปกิน
กินข้าวเสร็จ กลับไปพักผ่อน เขาไม่ได้ฝึกกำลังภายใน หากแต่กินยาบำรุงเลือดลมส่วนหนึ่ง แล้วเข้านอนแต่หัววัน
เช้าตรู่วันที่สอง เขาเรียกรถม้าคันหนึ่ง ไปยังถนนตะวันตก
นั่งในรถม้า ลู่เซิ่งรู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง คาดว่าอาจเป็นเพราะร่างกายไม่แข็งแรง ยื่นมือไปลูบถุงย่ามข้างเอวที่พกติดตัว
ควานหาในถุงย่ามข้างเอวหลายรอบ เขาหยิบยาลูกกลอนสีแดงเม็ดหนึ่งออกมา ขณะกำลังกิน พลันรู้สึกว่าร่างกายไม่ถูกต้องอยู่บ้าง
ตรวจสอบขึ้นลงอย่างละเอียด อยู่ๆ เขาก็ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อของตัวเองเบาๆ หยิบกระดาษแผ่นเล็กสีเหลืองจางแผ่นหนึ่งออกมา
กระดาษถูกม้วนเป็นทรงกระบอก ติดซ่อนอยู่ตรงชั้นในแขนเสื้อ เพียงแต่ว่าตอนเขาลูบถุงย่ามที่เอวด้านหลัง ได้ไปชนใส่เข้า จึงรู้สึกผิดปกติ
‘เอ๋?’
ลู่เซิ่งหยิบกระดาษออกมา ค่อยๆ คลี่กาง
บนกระดาษเขียนคำพูดอย่างเรียบง่ายชัดเจนไว้หลายส่วน ‘คุณชายวางใจได้ จวนม้วนมนุษย์ทดลองควบคุมภูตผีที่น่ากลัวตัวหนึ่ง ประสบหายนะครั้งใหญ่ ขุมกำลังถูกล้าง ไม่มีเวลาสนใจบุญคุณความแค้นเล็กๆ กับคุณชาย – หว่าน’
ลู่เซิ่งสีหน้าไร้อารมณ์ ม้วนกระดาษเก็บเข้าไปในถุงย่ามข้างเอว
‘ตวนมู่หว่านเดิมทีให้ความสนใจเรามาเสมอ…’
‘จวนม้วนมนุษย์เป็นศัตรูร้ายกาจที่เราเป็นห่วงมาโดยตลอด ขุมกำลังที่แข็งแกร่งซึ่งสามารถควบคุมผีล่อลวงได้ ด้วยระดับของเราในตอนนี้ ไม่มีทางรับมือได้เด็ดขาด คิดไม่ถึงบอกว่าถูกล้างก็ถูกล้าง…’ ลู่เซิ่งรู้สึกว่าโลกใบนี้อันตรายเกินไปอีกครั้ง
เก็บม้วนกระดาษ รออีกสักพัก รถม้าค่อยๆ หยุดลงตรงหน้าหอค้นอาทิตย์ซึ่งเขานัดกับพวกซ่งเจิ้นกั๋วและเฉินอวิ๋นซีไว้
ลู่เซิ่งลงจากรถ เห็นประตูทางเข้าหอค้นอาทิตย์มีแถวคนเบียดกันเข้าๆ ออกๆ
หอค้นอาทิตย์ทาสีแดงสูงสิบสองชั้น เหมือนกับเจดีย์สารีริกธาตุ เวลานี้ในแต่ละชั้นที่ต่ำกว่าชั้นสิบต่างแออัดไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่มาชมระบำมังกร
เสียงตะโกนของคนหาบเร่ที่ฉวยโอกาสเร่ขายของดังสับสนไม่ขาดหู
ลู่เซิ่งเบียดฝูงชนเข้าไปในตัวอาคารก่อน พอขึ้นไปถึงชั้นสิบ คนค่อยๆ น้อยลง ไม่ได้เบียดเสียดอีก
“ใช่คุณชายลู่หรือไม่” เพิ่งขึ้นไปถึงชั้นสิบ ก็มีหญิงรับใช้เข้ามาถาม
“ทางนี้ ทางนี้พี่ลู่!” พวกซ่งเจิ้นกั๋วโบกมือมายังด้านนี้
เฉินอวิ๋นซีอยู่ทางนั้น สวมชุดกระโปรงแนบตัวสีเขียวที่งดงาม ขับร่างกายอันบอบบางของหญิงสาวออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ ผมยาวสยายลงอย่างนุ่มนวล ใช้สายคาดสีเขียวมัดไว้ตรงปลาย
ลู่เซิ่งยิ้มพลางเดินเข้าไปหา
“ยังต้องขอบคุณพวกท่านที่แย่งชั้นที่ดีอย่างนี้ให้ข้า!”
ซ่งเจิ้นกั๋วโบกมือติดต่อกัน “นี่เป็นพวกเราอาศัยบารมีท่าน อวิ๋นซีใช้เส้นสายจัดงานเลี้ยงแก่คุณชายใหญ่ลู่โดยเฉพาะ”
“ใช่แล้วๆ ถ้าไม่ใช่ใช่แม่นางอวิ๋นซีลงมือ พวกเราเกรงว่าอย่างมากสุด ขึ้นได้ถึงชั้นเก้า ชั้นสิบแบบนี้ พวกเราขึ้นไม่ได้หรอก” นักศึกษาอีกคนกล่าวสมทบ คนผู้นี้แซ่หวังชื่อจื่อเฉวียน เป็นคนเมืองม่วงโชติและเป็นคนหล่อเหลาที่รูปร่างหน้าตาเทียบได้กับซ่งเจิ้นกั๋ว ยังมีความสัมพันธ์พอใช้ได้กับลู่เซิ่ง
“ไม่ใช่ เพียงแค่บังเอิญ… เจอคนรู้จักพอดี…” เฉินอวิ๋นซีโดนเยินยอจนเขินอาย แก้มงามแดงขึ้น ลอบมอบลู่เซิ่งแวบหนึ่ง
ลู่เซิ่งถอนหายใจในใจ ยิ้มให้แก่เฉินอวิ๋นซี แล้วเข้าไปนั่งที่นั่งตัวเอง
ทุกคนเริ่มดื่มสุราหยอกล้อกันอย่างคึกคัก บวกกับการเอื้อนโคลงกลอนตลกขบขันที่นึกไปเองว่าเฉียบแหลมชาญฉลาด บรรยากาศกลับอบอุ่น
ลู่เซิ่งถูกจัดให้นั่งด้วยกันกับเฉินอวิ๋นซี คนที่นั่งด้วยอีกยังมีสตรีอีกสองนาง คนหนึ่งใกล้ชิดซ่งเจิ้นกั๋ว คนหนึ่งใกล้ชิดกับนักศึกษาสีหน้าเยือกเย็นอีกคนหนึ่ง ดูแล้วเหมือนล้วนเป็นคู่ๆ
ตูม!
ดอกไม้ไฟสีทองระเบิดอย่างยิ่งใหญ่นอกหอค้นอาทิตย์ในทันใด ม่านวิกาลกลายเป็นโบตั๋นยักษ์ดอกหนึ่ง
“เริ่มแล้ว! เริ่มแล้ว!” ผู้คนพากันโห่ร้อง ลุกขึ้นพุ่งไปชมดูข้างอาคาร
………………………………………….