ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 377 งานเลี้ยงใหญ่ (1)
บทที่ 377 งานเลี้ยงใหญ่ (1)
“เหยี่ยวเมฆา…!” จ่างซุนหลันกรีดร้องด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
“ไป!” ลู่เซิ่งวิ่งไปด้านหน้า อาศัยชะง่อนหินเล็กๆ ที่อยู่ตรงปากถ้ำพุ่งออกไปก่อน โดยเหยียบเท้าลงปลายชะง่อนหิน แล้วทะยานร่างขึ้นไปหาเหยี่ยวเมฆา
ลู่เซิ่งพุ่งเข้าหาเหยี่ยวเมฆาในลักษณะกางแขนกางขา ขณะที่เขาหันหลังให้แก่สองคนที่เหลือ สองตาก็สาดประกายสีแดงเข้มขึ้น
เคร้ง!
กระบี่ธารธาราถูกชักออกจากฝักในฉับพลัน
แสงสีฟ้าอมเงินนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นด้านหลังลู่เซิ่งในทันที เป็นแสงสีฟ้าที่เหมือนกับทะเล
ชั่วพริบตานั้นร่างของเขากลายเป็นจันทร์เต็มดวงบนทะเล แล้วทิ้งตัวลงบนหลังเหยี่ยวเมฆาอย่างหนักหน่วง
ดวงตาของเหยี่ยวเมฆาที่ตอนแรกกำลังจะโมโห ฉายแววตกใจหวาดกลัวในทันที สุดท้ายก็ปล่อยให้ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงบนหลังของมันอย่างว่าง่าย
จันทร์เต็มดวงสลายไป เหยี่ยวเมฆาถูกกดทับอย่างหนักหน่วง กลับไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย ลู่เซิ่งค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมกับตบกระบี่ธารธาราแรงๆ ทั้งยังเผยรอยยิ้ม “สมกับเป็นอาวุธเทพคู่ชะตาของข้า สามารถสะกดเหยี่ยวเมฆาได้ง่ายๆ”
ตอนนี้พวกซุนหรงจี๋ค่อยรู้สึกตัว รีบกระโดดตามลงมา หลังจากเล็งทิศทางแล้ว ค่อยร่วงหล่นลงบนหลังของเหยี่ยวเมฆา โดยที่เหยี่ยวยักษ์ช่วยเหลือพวกเขาเล็กน้อย
“ร้ายกาจจริงๆ! แม้แต่เหยี่ยวเมฆาที่อยู่ในระดับปฐมปฐพีโดยกำเนิดก็ยังสะกดได้ง่ายๆ ร้ายกาจๆ!” ซุนหรงจี๋ยันตัวลุกขึ้นมาลืมตาโตพร้อมกับถอนใจชมเชย
“แปลกนะ เมื่อครู่ข้าไม่ได้ลงมือแท้ๆ…” กระบี่ธารธาราเพิ่งคิดจะพูด
แกร๊ก!
เสียงหนึ่งดังมาจากด้ามกระบี่ที่ลู่เซิ่งจับอยู่ เสียงของกระบี่ธารธาราหยุดชะงักไป
ลู่เซิ่งยิ้ม “พอได้ ฝึกฝนหลายปีจนคนกระบี่รวมเป็นหนึ่ง เมื่อมาถึงระดับนี้ อย่างไรก็ไม่ย่ำแย่นัก”
“ในเมื่อสหายลู่มีอาวุธเทพแข็งแกร่งแบบนี้ เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่ใช้” ซุนหรงจี๋ถามอย่างอิจฉาระคนแปลกใจ
“ขอไม่ปิดบัง ความจริงในเวลาส่วนใหญ่ข้าจะไม่ใช้กระบี่ เพราะไม่คิดทำร้ายคนบริสุทธิ์ เนื่องจากกระบี่เล่มนี้ของข้ามีอานุภาพมากเกินไป หากไม่ระวังอย่าว่าแต่ระดับพันธนาการเลย ต่อให้เป็นระดับปฐมปฐพีก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ดี”
กระบี่ธารธารา ‘…’
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าที่สหายลู่ลงมือเมื่อก่อนหน้า เดิมทีออมมือให้พวกเรา…” ซุนหรงจี๋ส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างขื่นขม
“ศิษย์พี่ลู่ ที่ข้าก็มีสมบัติลับของท่านเช่นกัน ถึงเวลาถ้าหากพบอันตราย ท่านพยายามเข้าใกล้ข้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” จ่างซุนหลันพลันส่งกระแสเสียงพูดกับลู่เซิ่งเบาๆ
ลู่เซิ่งงุนงงเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าหยวนเจิ้งซั่งเหรินจะนึกถึงส่วนของเขาด้วย ในใจเกิดความอบอุ่นเล็กน้อย
“เอาล่ะ พวกเจ้าระวังตัวหน่อย คอยสังเกตรอบๆ ให้ดี ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด ขุนนางดวงดาวอะไรนั่นคงอยู่ใกล้ๆ นี่ มิหนำซ้ำจะต้องแยกแยะได้ง่ายมาก พวกเราอยู่บนอากาศ สมควรชี้ตัวได้ง่ายๆ ถึงเวลาให้เตรียมลงมือ”
“อื้อ”
“รับทราบ”
ทั้งสามหมอบอยู่บนหลังเหยี่ยวเมฆา พร้อมกับคอยมองไปยังพื้น ผ่านขนที่เหมือนกับเหล็กกล้าอย่างระมัดระวัง
บนที่ราบสีดำอมเทาผืนใหญ่มีต้นไม้รูปร่างพิลึกกึกกือที่พ่นหมอกควันได้ กระจายอยู่ทั่วไป ระหว่างต้นไม้มีถนนคดเคี้ยวหลายสาย มันชัดเจนเป็นพิเศษเหมือนเส้นด้ายสีขาวบนผืนผ้าสีดำ
ลู่เซิ่งมองตามถนนไปด้านหน้า ไม่นานก็เห็นคนที่ชูธงสามเหลี่ยมสีแดงกลุ่มหนึ่งอยู่ด้านหน้าอยู่ไม่ไกล
คนกลุ่มนี้มีจำนวนคนไม่เกินเจ็ดแปดคน แต่ละคนสวมเกราะอ่อนสีดำตัดแดง ตรงสะโพกมีหางขนาดใหญ่เหมือนกับกิ้งก่าหลายเส้น
คนที่อยู่ด้านหน้ามีรูปร่างสูงใหญ่ แขนขวาที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวใหญ่โตสุดเปรียบปานเหมือนเป็นกรงเล็บแหลมของสัตว์ร้าย ทั้งยังใหญ่ยิ่งกว่าเอวของเขาอีก
“ข้าได้ยินมาว่าขุนนางดวงดาวของเผ่ามารในพิภพมารมีธงสามเหลี่ยมซึ่งติดสัญลักษณ์พิเศษที่แตกต่างกันเอาไว้ ดูเหมือนเป้าหมายของพวกเราน่าจะเป็นมารกลุ่มนั้นแล้วกระมัง” ซุนหรงจี๋เห็นกลุ่มคนที่อยู่บนพื้นดินแล้วเช่นกัน
“ล้วนเป็นเผ่ามาร ฆ่าก่อนค่อยว่ากัน” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ ก่อนจะกดมือใส่เหยี่ยวเมฆา
ทว่าจะเป็นจะตายอย่างไรเหยี่ยวเมฆาก็ไม่ยอมบินลง กลับส่งเสียงอ้อนวอนฮือๆ
“มันไม่กล้าล่วงเกินขุนนางดวงดาว ที่นี่ขุนนางดวงดาวในสังกัดจักรพรรดิมารสมควรมีตำแหน่งสูงมาก” ซุนหรงจี๋กล่าวพลางส่ายหน้า
“อย่างนั้นก็ช่างเถอะ พวกเราลงไปเอง” ลู่เซิ่งไม่สร้างความลำบากใจให้เหยี่ยวเมฆา บอกให้มันลดระดับความสูงลงบนพื้นราบแห่งหนึ่ง แล้วปล่อยทั้งสามคนลง
ทั้งสามคนกระโดดลงมาอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ที่มีควันดำลอยอยู่ แล้วคุกเข่าลงบนพื้น
“ไปเถอะ” ลู่เซิ่งพูดกับเหยี่ยวเมฆาที่อยู่เหนือศีรษะ ไม่ใช้จิตวิญญาณออกแรงสะกดมันไว้อีก
เหยี่ยวเมฆาส่งเสียงร้องอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะรีบร้อนหมุนตัวกระพือปีกบินไปยังที่ไกล
“อีกประเดี๋ยวพวกเราสมควรคิดหาวิธีกลับไป” ซุนหรงจี๋พูดอย่างจนใจ “ถ้ำนั้นอยู่ในตำแหน่งที่สูงมาก”
“ปีนเขาขึ้นไป” ลู่เซิ่งกล่าวคำสองคำนี้อย่างไม่นำพา “ไปเถอะ” เขาเดินนำกลุ่มไปยังทิศทางของขุนนางดวงดาว
ทั้งสองที่อยู่ด้านหลังจำเป็นต้องติดตาม
ทั้งสามตัดทะลุป่าสีดำรกชัฏ ไม่นานก็มาหยุดยืนอยู่บนถนนสีขาว โดยขวางกลุ่มของทัพมารกลุ่มนั้นเอาไว้
เผ่ามารที่นำกลุ่ม มองมาแต่ไกลพร้อมกับยกมือขึ้นเพื่อให้กลุ่มหยุดลง
“ลงมือ” ลู่เซิ่งพุ่งไปด้านหน้าอย่างฉับพลัน ก้าวเพียงสองสามก้าวก็ข้ามระยะห่างหลายสิบหมี่ ก่อนจะฟันกระบี่ธารธาราใส่เผ่ามารตนนั้นทันที
กรรซ์!
เผ่ามารตนนี้ส่งเสียงคำราม แล้วแทงกรงเล็บเหล็กสีดำข้างซ้ายมาหาลู่เซิ่ง
ตอนนี้อีกสองคนที่เหลือติดตามมาแล้วเช่นกัน และลงมือกับเผ่ามารตนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ
เผ่ามารเหล่านี้แต่ละตนสูงสองหมี่กว่าๆ ดูโง่เขลาเบาปัญญา แต่ความจริงเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว พวกมันกระจายตัวกันล้อมพวกลู่เซิ่งไว้ตรงกลาง
“ไป!” จ่างซุนหลันโบกมือ เปลวไฟสีขาวสิบกว่ากลุ่มพุ่งออกมา เมื่อตกลงบนพื้นพวกมันก็กลายเป็นจระเข้ร่างเตี้ยที่มีสีขาวราวหิมะหลายตัว
จระเข้ยาวสองหมี่กว่าๆ โบกหางขนาดยักษ์พร้อมกับพุ่งใส่เผ่ามารตนอื่นๆ
ซุนหรงจี๋ ไม่ทราบว่าหยิบทวนวงเดือนออกมาจากไหน กำลังสู้กับเผ่ามารที่มีบุคลิกไม่สามัญอีกตนอย่างคู่คี่สูสี ซุนหรงจี๋เร็วกกว่าเล็กน้อย เปลี่ยนกระบวนท่าได้ไหลลื่นกว่า ส่วนเผ่ามารตนนั้นสวมเกราะหนัก บางครั้งถูกฟันโดนก็ไม่สะทกสะท้าน แม้ว่าพลังโดยรวมจะสู้ซุนหรงจี๋ไม่ได้ แต่กลับถ่วงเวลาเขาไว้สุดชีวิต
จ่างซุนหลันยืนอยู่กับที่ คอยควบคุมให้จระเข้ที่เป็นบริวารสิบกว่าตัว พัวพันเผ่ามารที่เหลือเอาไว้
“รีบหน่อย จระเข้ควันของข้าทนได้แค่สามสิบอึดใจ!” นางร้องบอกพวกลู่เซิ่งด้วยน้ำเสียงร้อนรน เผ่ามารที่เหลือเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียว ผิวหยาบเนื้อหนา การลงมือทุกครั้งมีควันมารที่แข็งแกร่งหลายสายห่อหุ้ม สามารถกัดกร่อนเกราะผิวของจระเข้ควันได้
จ่างซุนหลันนึกไม่ถึงเหมือนกันว่า เผ่ามารเหล่านี้จะอยู่ในขอบเขตจตุลักษณ์ของระดับพันธนาการทุกตน ทัพมารปกติล้วนมีระดับเอกะลักษณ์ นี่เป็นขอบเขตพลังโดยทั่วไปของทัพมารส่วนใหญ่
แต่ว่าขอบเขตจตุลักษณ์นี้เกินจริงไปบ้าง เผ่ามารไม่ได้เหมือนเผ่ามนุษย์ ตามที่จ่างซุนหลันรู้ ระหว่างเผ่าพันธุ์ของเผ่ามาร มีความแตกต่างของพลังที่เสถียรสุดขีด พลังของเผ่าพันธุ์แต่ละเผ่าถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มต้น อาศัยวิธีการอื่นๆ ยากจะก้าวพ้นธรณีประตูนี้
เผ่าพันธุ์ขอบเขตตรีลักษณ์จะอยู่ในระดับตรีลักษณ์หลังจากโตเต็มวัย เผ่าพันธุ์เบญจลักษณ์จะอยู่ในระดับเบญจลักษณ์หลังโตเต็มไว มีน้อยถึงขีดสุดที่สามารถข้ามขีดจำกัดไปถึงขอบเขตที่สูงกว่าเดิมได้
เผ่ามารที่เลื่อนระดับได้แบบนั้น จะได้รับการเรียกขานว่าแม่ทัพมาร แม่ทัพมารจะเข้าสู่ขอบเขตขุนนางดวงดาว และลูกหลานของแม่ทัพมารดวงดาวสามารถรับสืบทอดบรรดาศักดิ์ขุนนางดวงดาวต่อได้
เทียบกับแม่ทัพมารรุ่นแรกแล้ว ความจริงผู้สืบทอดมีจำนวนมากกว่า
ในกลุ่มตรงหน้า แค่เผ่ามารเผ่าอื่นก็มีพลังระดับจตุลักษณ์แล้ว ส่วนผู้นำกลุ่มในเมื่อเป็นขุนนางดวงดาว เช่นนั้นก็เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะเป็นแม่ทัพมารรุ่นแรก เป็นตัวตนที่ได้รับการเลื่อนอันดับ
“ระวัง!” พอนึกถึงตรงนี้ จ่างซุนหลันก็ร้องบอกลู่เซิ่งทันที
ลู่เซิ่งถือกระบี่สู้กับเผ่ามารตนนั้นดุจสายฟ้าแลบ ทั้งสองสู้ไปจนถึงรอบนอกที่ห่างจากที่เดิมมากกว่าร้อยหมี่
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงก็คือ เผ่ามารเผ่านี้มีความเร็วและพละกำลังในขอบเขตสูงสุดของระดับสัตตลักษณ์เช่นกัน มิหนำซ้ำบางครั้งขนาดเขาอาศัยกระบวนท่าที่ได้เปรียบกว่าฟันใส่เกราะบนร่างอีกฝ่าย แต่ก็ได้แค่สร้างอาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
พึงทราบว่าเขาใช้ความเร็วและพละกำลังในระดับสูงสุดของระดับสัตตลักษณ์แล้วเช่นกัน อีกทั้งยังใช้จิตระดับอริยะเจ้าควบคุมและต่อสู้กับอีกฝ่าย
นี่หมายความว่าระดับสัตตลักษณ์ของมนุษย์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเผ่ามาร
“พวกเจ้า…กล้าเข้ามาสังหารข้า ไม่รู้จักเป็นตายจริงๆ!” เผ่ามารตนนั้นหัวเราะเสียงเย็น แถมยังพูดภาษาทางการต้าอินเป็น
สองกรงเล็บของเขาสร้างกระแสลมสีดำหลายสาย ในกระแสลมสีดำมีสารพิษจำนวนมากแทรกอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะกายเนื้อของลู่เซิ่งเหี้ยมหาญสุดเปรียบปานเช่นกันจึงไม่เป็นไร หากเจอมนุษย์ธรรมดา แค่สารพิษนี้ก็สามารถทำให้กระอักได้แล้ว
พอเป็นแบบนี้ เยื่อดำด้านหน้าลู่เซิ่งจึงมีระลอกคลื่นกระเพื่อมขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากถูกสารพิษเล่นงานจนสั่นไหวใกล้พังทลาย พร้อมถูกเจาะได้ทุกเวลา
“การใช้พละกำลังระดับสัตตลักษณ์เพียงอย่างเดียวได้แต่สะกดอีกฝ่าย คิดจะสังหาร แทบเป็นไปไม่ได้” กระบี่ธารธาราส่งเสียงแก่ชราดังมา “ใช้พลังทางสายเลือดเถอะ ที่นี่คือพิภพมาร จำเป็นต้องรีบเผด็จศึก”
ลู่เซิ่งแทงเฉียงใส่ คมกระบี่เปลี่ยนเป็นฟันขวาง กดดันให้เผ่ามารถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“พลังทางสายเลือดน้อยเกินไป แม้จะพกกระบี่มาโดยตลอด แต่เวลาสั้นเกินไป พลังทางสายเลือดของเจ้าที่ป้อนกลับมาให้ข้ามีน้อยเกินไปแล้ว”
“ไม่เป็นไร ข้าจะให้เจ้ายืมพลัง” กระบี่ธารธารากล่าวอย่างสงบ “การหลอมรวมพลังแบบนี้เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาอยู่แล้ว”
“ไม่ต้องหรอก ข้าจัดการเองดีกว่า” ลู่เซิ่งบิดตัวหมุนกระบี่ธารธาราเบาๆ กลิ่นอายอ่อนๆ สายหนึ่งกระจายออกมาจากบนร่างอย่างฉับพลัน
กลิ่นอายนั้นไร้รูปร่าง แต่กลับทำให้ทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ แบกรับรับภาระอันเบาบาง
เผ่ามารร่างชะงัก จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงผลกระทบนี้ แม้ภาระนี้จะน้อย อย่างมากสุดหนักเพียงหนึ่งร้อยกว่าชั่ง แต่เดิมทีทั้งสองสูสีกัน แถมลู่เซิ่งยังเป็นฝ่ายได้เปรียบด้วย
ในสถานการณ์ที่พลังไม่ต่างกัน อยู่ๆ มีสนามพลังภาระแบบนี้โผล่มา พอรับมือไม่ทัน การเคลื่อนไหวของเผ่ามารจึงช้าไปหนึ่งจังหวะ
ชิ้ง!
ลู่เซิ่งฉวยโอกาสแทงกระบี่ใส่แขนซ้ายของเผ่ามารเป็นรูเลือดรูหนึ่ง
“ชั้นต่ำ!” เผ่ามารเดือดดาล พุ่งเข้าหาลู่เซิ่งอีกครั้ง ครั้งนี้การเคลื่อนไหวของเขาเร็วและแข็งแกร่งกว่าเดิมเพราะโกรธจัด แต่ภาระนั้นกลับอันตรธานไปแล้ว
พอไม่ได้ระวัง เผ่ามารจึงใช้แรงมากเกินไปจนเสียสมดุล กรงเล็บที่ฟาดใส่ลู่เซิ่งเฉออกจากตำแหน่ง ลู่เซิ่งเลยหมุนตัวหลบได้ง่ายๆ ก่อนจะฟันกระบี่ใส่เอวของเขา
ฉัวะ!
ละอองเลือดสีดำหย่อมหนึ่งกระจายลงพื้น
“อ๊าก!” เผ่ามารคำราม คลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิมเหมือนช้างตกมัน เริ่มใช้การบาดเจ็บแลกการบาดเจ็บกับลู่เซิ่งโดยไม่กลัวตาย
แต่ภาระนั้นปรากฏขึ้นตลอดเวลา เดี๋ยวไปซ้ายขวา เดี๋ยวไปบนล่าง ปรับเปลี่ยนทิศทางเป็นระยะ คอยดึงรั้งการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขา ลู่เซิ่งเคลื่อนไหวตลอดเวลา บางครั้งก็แทงใส่จุดอ่อนของเขาเท่าที่จะทำได้
สภาพการณ์นี้ปรากฏขึ้นเรื่อยๆ เผ่ามารค่อยๆ เสียเลือดมากขึ้น การเคลื่อนไหวยิ่งมายิ่งช้า สุดท้ายก็คุกเข่าล้มโครมลงกับพื้น
“เจ้า…มนุษย์…ชั้นต่ำ!” เผ่ามารตนนี้คำราม กระหืดกระหอบพลางถลึงสองตาที่แดงฉานจ้องมองลู่เซิ่ง
“จะตายก็ตายไปเถอะ เอาแต่พูดมากอยู่ได้” ลู่เซิ่งแทงกระบี่ใส่เบ้าตาของเขา
เลือดค่อยๆ ไหลออกมาตามขอบกระบี่ เผ่ามารหงายหลังล้มลงกับพื้น ชักกระตุกอยู่พักหนึ่งก็หมดลมหายใจไป
……………………………………….