ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 38 ล้อเล่นกับความรู้สึก (2)
ด้านล่างหอ โคมไฟทรงกลมที่เขียนคำว่ามังกรไว้หลายร้อยใบเปล่งแสงทองสว่างไสว เกิดเป็นจุดแสงหลายร้อยดวง ห้อมล้อมมังกรยาวสีแดงตัวหนึ่งไว้ตรงกลาง
มังกรพุ่งซ้ายป่ายขวา หมายจะพุ่งออกจากวงล้อมของโคมไฟ โคมไฟกับมังกรยาวต่อสู้กันต่อเนื่อง เกิดเป็นชุมนุมมังกรอันตระการตา ไม่ธรรมดาจริงๆ
ดอกไม้ไฟสีทอง สีแดง สีเหลือง หลายกลุ่มพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าตลอดเวลา ขับทิวทัศน์ทั้งหมดจนเป็นสีทองอร่าม
ฉวยโอกาสตอนที่ยังคึกคัก ทุกคนดูระบำมังกรรอบหนึ่ง ก็กลับมาดื่มสุรากินอาหารที่โต๊ะ บนที่นั่งล้วนเป็นลูกหลานพ่อค้า ไม่มีชาติตระกูลสักคน พลันละนิสัยที่ได้จากการฝึกอบรบ ตอนนี้สนุกสนาน ล้วนไม่มีการเสแสร้งเป็นสุภาพมีมารยาทเหมือนก่อนหน้า ต่างคนต่างกำเริบเสิบสาน หัวเราะตบโต๊ะ
“ชั้นที่สิบนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ปล่อยให้เข้ามาได้หรือ”
ทันใดนั้นเสียงหงุดหงิดเสียงหนึ่งดังมาจากโต๊ะข้างๆ
เสียงหัวเราะของทุกคนชะงัก มองไปอย่างรวดเร็ว
บนโต๊ะข้างๆ บัณฑิตอายุน้อยบุคลิกสุภาพสามคนกำลังมองมาทางนี้ด้วยสายตาเย็นชา
ผู้พูดเป็นบัณฑิตผิวขาวทรงหน้าผอมยาวคนหนึ่ง
“ที่เจริญแบบนี้ถึงกับให้คนหยาบคายเหล่านี้ขึ้นหอได้ ดูเหมือนหอค้นอาทิตย์แห่งนี้ยิ่งมายิ่งสู้ก่อนหน้าไม่ได้แล้ว” บัณฑิตผู้นั้นกล่าวเสียงเย็น
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายคือ ซ่งเจิ้นกั๋วซึ่งที่แล้วมาหากไม่มีเหตุผลก็จะไม่ยอมให้ใคร หลังเห็นผู้พูดชัดเจนแล้ว ถึงกับไม่ส่งเสียงออกมา อย่างหาได้ยากยิ่ง เพียงก้มหน้าดื่มสุราเงียบๆ ไม่เปล่งวาจาอีก
คนที่เหลือส่วนใหญ่ต่างก้มหน้าก้มตา ไม่พูดคุย เสียงเบาลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่เฉินอวิ๋นซีก็กัดริมฝีปาก ยังไม่ส่งเสียง ในคนกลุ่มนี้มีนางที่ฐานะดีที่สุด นางยังไม่กล้าตอบโต้ เห็นได้ว่าสามคนนั้นมีความเป็นมาไม่ธรรมดา
“นี่ไม่ใช่แม่นางเฉินอวิ๋นซีหรอกหรือ สมกับเป็นบุตรีพ่อค้า แม้แต่คนที่คบหายามปกติก็เป็นคนที่ไม่รู้จักมารยาทเหล่านี้
ครั้งก่อนพี่ชายของท่านกล่าววาจาดีต่อหน้าข้าไม่น้อย ยิ้มปะเหลาะบอกว่าจะให้ท่านหมั้นหมายเป็นอนุของข้า ตอนนั้นข้าหวั่นไหวอยู่บ้าง ดูจากตอนนี้ ที่ครั้งนั้นไม่ตอบรับทำถูกแล้วจริงๆ” คุณชายอีกคน เล่นประคำสายหนึ่งในมือ ส่ายหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
เฉินอวิ๋นซีได้ยินวาจานี้ มองลู่เซิ่งอย่างรวดเร็วเหมือนถูกไฟดูด รีบก้มหน้าลง ตั้งแต่หน้าถึงคอต่างแดงไปหมด ถึงขั้นกำลังตัวสั่น
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ คนแปดเก้าคนทั้งโต๊ะถึงกับไม่กล้าส่งเสียงโต้ตอบ
ลู่เซิ่งส่ายหน้าในใจ จากนั้นมองซ่งเจิ้นกั๋วอีก เขากำหมัดแน่น บนคอเต็มไปด้วยเอ็นเขียวปูดโปน แสดงให้เห็นว่ากำลังเดือดดาล
“พวกขี้ขลาดฝูงหนึ่ง” บัณฑิตหน้าผอมผู้นั้นแค่นเสียงเบาๆ
“มารดาท่านไม่เคยสั่งสอนว่าอะไรเรียกว่ามารยาทหรือ หรือต้องให้ข้าสั่งสอนท่านว่าอะไรเรียกว่าการอบรมบ่มเพาะ”
ทันใดนั้นเสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้างของเฉินอวิ๋นซี
บัณฑิตหน้าผอมผู้นั้นเดิมคร้านจะสนใจคนกลุ่มนี้ กำลังจะยกจอกสุราขึ้นดื่มต่อ คิดไม่ถึงกลับได้ยินคำพูดนี้ พลันถลึงตามองไปยังเฉินอวิ๋นซี
อีกสองคนที่เหลือบนโต๊ะตัวนั้นพากันแสดงสีหน้าประหลาดใจ มองเฉินอวิ๋นซี
ซ่งเจิ้นกั๋วคว้ามือลู่เซิ่งเอาไว้ รีบขยิบตาให้กับเขา ตัวเขาค่อยๆ ลุกขึ้น ประสานมือแก่ทั้งสามคนจะขออภัย
ลู่เซิ่งยิ้มๆ ลุกขึ้น “โวยวายรบกวนคนด้านข้างเป็นพวกเราไม่ถูก แต่ใช้วาจาชั่วร้ายโจมตีหญิงสาวคนหนึ่ง ทั้งเป็นหญิงสาวที่เพิ่งปักปิ่นอีก ดูเหมือนสามท่านก็มิใช่ตัวดีอันใด”
ปักปิ่น บ่งบอกว่าถึงวัยแต่งงาน สตรีวัยแต่งงานของที่นี่คืออายุสิบหกปี เฉินอวิ๋นซีเพิ่งอายุสิบหก น้อยกว่าลู่เซิ่งสามปี
“บังอาจ!” บัณฑิตหน้าผอมผู้นั้นลุกพรวด จ้องลู่เซิ่งด้วยสายตาเย็นชา “คิดไม่ถึงเมืองเลียบคีรีแห่งนี้ถึงกับ…”
“พอแล้วซูเต๋อ” คุณชายเพียงคนเดียวที่ไม่ได้เปล่งวาจาในสามคนตอนนี้เอ่ยอย่างเชื่องช้า
เขาพอเอ่ยปาก สองคนที่เหลือต่างข่มสีหน้าโกรธแค้นเต็มอก อาการที่แสดงบนใบหน้า เห็นได้ว่าผู้พูดมีความเป็นมาใหญ่โตกว่า
“เป็นแค่เรื่องเล็กเรื่องเดียว เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ได้เวลาแล้ว พวกเราสมควรไปแล้ว” คุณชายผู้นั้นองคาพยพหมดจด บุคลิกเปิดเผยหนักแน่น ขณะพูดแสดงสีหน้าผ่าเผยมั่นคงแก่ผู้คน คล้ายกับการต่อล้อต่อเถียงของคนทั้งหลายในสายตาเขาเหมือนกับการเล่นเป็นพ่อแม่ลูกของเด็กๆ
“ก็ได้… ในเมื่อคุณชายหรงเอ่ยปาก! หึ!” บัณฑิตหน้าผอมแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง ถลึงมองลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งมีความคิดจะลงมือสั่งสอนคนทั้งสามสักครั้ง สังเกตเห็นว่าด้านข้างคนทั้งสามไม่ไกลมีสายตาดุร้ายหลายสายมองมา แต่ล้วนเป็นแค่ระดับพลังปลอดโปร่ง สำหรับเขาแตกต่างกันแค่ใช้ฝ่ามือไม่เท่ากันเท่านั้น
ระดับพลังปลอดโปร่งก็มีการแบ่งสูงต่ำ อย่างจุดสูงสุดของพลังปลอดโปร่งเช่นลุงจ้าวที่บ้าน หนึ่งคนรับมือพลังปลอดโปร่งธรรมดาได้สองคน เหมือนกับการฝึกฝนวิชาวรยุทธ์ชุดหนึ่ง แต่ละคนเมื่อฝึกฝน ระดับความสามารถก็ไม่เท่ากัน
ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาลู่เซิ่งปัจจุบันเป็นยอดฝีมือกำลังภายในใน การฝึกปราณทมิฬพิฆาตมีอานุภาพต่อผีล่อลวง กระแทกใส่ร่างคนธรรมดา อานุภาพน่าสะพรึงกว่า
ถึงแม้ไม่เคยสู้จริงๆ แต่ว่ายอดฝีมือระดับพลังปลอดโปร่งสามสี่คน ในสายตาของเขาไม่นับเป็นอันใด ต่อให้เป็นระดับสำนึกปลอดโปร่งที่สูงกว่า อย่างมากสุดก็เทียบได้กับพลังปลอดโปร่งสามคน ไม่น่าเกรงกลัว
คนทั้งสามลุกขึ้นค่อยๆ จากไป ความขัดแย้งรอบนี้จบลงเช่นนี้ ซ่งเจิ้นกั๋วพ่นลมหายใจหนักหน่วง
คนทั้งสามพอจากไป เฉินอวิ๋นซีก็อยู่ต่อไม่ไหว น้ำตาคลอหน่วย ลุกขึ้นบอกลา ลู่เซิ่งจะไปส่ง แต่ถูกปฏิเสธ ก่อนจะผลุนผลันออกไป
คนที่เหลือก็ไม่มีความสนใจจะชมระบำมังกรต่อ ซ่งเจิ้นกั๋วส่งคู่ตัวเองไป แล้วลากลู่เซิ่งกับหวังจื่อเฉวียนไปยังแม่น้ำ
แม่น้ำไม้สนยามค่ำคืนลมสงบคลื่นนิ่ง เรือสำราญที่มีโคมแดงสว่างไสวหลายลำแล่นเอื่อยบนแม่น้ำ
ซ่งเจิ้นกั๋วลากทั้งสองคนไปขึ้นเรือสำราญที่ค่อนข้างใหญ่ลำหนึ่งอย่างคุ้นทาง เถ้าแก่เนี้ยเรือที่ยังมีเสน่ห์เข้ามาต้อนรับด้วยตัวเอง
“คุณชายซ่ง ไม่เจอกันนาน จวินเอ๋อร์มักรำพึงถึงท่านข้างหูบ่าวประจำ”
เถ้าแก่เนี้ยเรือพูดคุยกล่าววาจาไม่ให้ความรู้สึกของนางโลม กลับทำให้ลู่เซิ่งจุ๊ปากชมเชย
“ตอนนี้จวินเอ๋อร์ว่างอยู่กระมัง” ซ่งเจิ้นกั๋วกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางเดินนำเข้าไป
“ย่อมว่าง กำลังรอคุณชายซ่งมาอยู่ทีเดียว” เถ้าแก่เนี้ยเรือกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชายอีกสองท่านถ้าหากมีแม่นางในดวงใจ สามารถบอกบ่าวได้”
ทั้งสามคนถูกนำเข้าไปในห้องเล็กๆ เป็นส่วนตัวห้องหนึ่ง การตกแต่งประณีตไม่ธรรมดา
จากนั้นสตรีสวมเสื้อเบาบางราวสิบกว่านางแถวหนึ่งก็เดินเข้ามา ต่างมีรูปร่างอ่อนช้อย บุคลิกสง่า เหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ก็ไม่ปาน รูปโฉมแต่ละคนต่างมีความโดดเด่นของตัวเอง
“คำนับคุณชายทั้งสาม” เหล่าสตรีพากันคารวะ
“สหายทั้งสองท่านเลือกไปคนหนึ่งเถอะ วันนี้ข้าเลี้ยงเอง” ซ่งเจิ้นกั๋วดึงตัวสตรีที่เข้ามาด้านหลังคนหนึ่ง กล่าวประโยคหนึ่ง
หวังจื่อเฉวียนเวลานี้ตาค้าง หน้าแดงจนไม่ทราบสมควรเลือกคนไหนดี
ลู่เซิ่งกลับสีหน้าเฉื่อยชา ชี้คนที่ดูเรียบร้อยคนหนึ่ง ให้อีกฝ่ายนั่งข้างกาย
ทั้งสามคนเลือกเสร็จแล้ว ก็สั่งชาดอกไม้บำรุงที่ช่วยเสริมความคึกคักส่วนหนึ่งมา ทั้งมีหญิงสาวชุดกระโปรงยั่วยวนมาดีดบทเพลงเต้นระบำ
“เรื่องราวในวันนี้…จริงๆ เลย…” ซ่งเจิ้นกั๋วพอพูดถึงเรื่องบนหอค้นอาทิตย์ในวันนี้ก็หน้าแดง หงุดหงิดขึ้นมา
“พี่ซ่ง ทิวทัศน์งดงามมีสาวสวยอยู่ด้านข้าง กล่าววาจาน่าเบื่อเหล่านี้ทำอะไร มา ดื่มสุรา!” หวังจื่อเฉวียนเวลานี้มือเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข ลูบไล้ร่างหญิงสาวด้านข้างไปมา อดรนทนไม่ไหวบ้างแล้ว
หญิงสาวทั้งสามนางหัวเราะคิกคักพลางปลอบโยนซ่งเจิ้นกั๋ว ลู่เซิ่งก็ปลอบเขาด้วย ซ่งเจิ้นกั๋วอารามณ์ค่อยดีขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าข้ามองไม่ผิด สามคนที่เยาะเย้ยพวกเราในวันนี้ คนหนึ่งในนั้นเป็นบุตรของรองผู้บัญชาการทหารเมืองเลียบคีรี หวังซุ่นหย่ง หากเป็นคนอื่นยังพอว่า แต่ว่าหวังซุ่นหย่งผู้นี้กลับแตกต่าง…”
“ยังมีคุณชายหรงผู้นั้น… ความเป็นมาจะต้องยิ่งใหญ่กว่าแน่” หวังจื่อเฉวียนกล่าวเสริมประโยคหนึ่ง
ลู่เซิ่งส่ายหน้าไม่พูดอะไร หลังจากเห็นโลกที่ใหญ่กว่ามา บุคคลเช่นคุณชายอันใดเหล่านี้ยากจะเข้าตาเขาอีก
“กล่าวเรื่องน่าเบื่อเหล่านี้ไปใย ดื่มต่อ! คืนนี้ไม่เมาไม่กลับ!” หวังจื่อเฉวียนกล่าวเสียงดัง
ซ่งเจิ้นกั๋วสลัดความหงุดหงิดในใจ ดื่มอึกใหญ่
ลู่เซิ่งความจริงไม่ได้ชมชอบสถานที่แบบนี้มากนัก แต่เห็นซ่งเจิ้งกั๋วอารมณ์ไม่ดี จึงอยู่เป็นเพื่อนเขาดื่มถึงกลางดึก
เรือสำราญเพียงเป็นเพื่อนดื่มสุรา ขายทักษะ ไม่ขายตัว ตอนทั้งสามดื่มสุราเสร็จออกมา ก็เป็นเวลากลางโฉ่วตอนกลางคืนแล้ว หรือก็คือตีสองถึงตีสาม
ลู่เซิ่งหลังจากแยกย้ายกับพวกเขาก็รู้สึกสะท้อนใจอยู่บ้าง คุณชายคุณหนูบ้านเศรษฐีอย่างซ่งเจิ้นกั๋ว เฉินอวิ๋นซี พอเจอลูกหลานขุนนาง แม้แต่วาจาสักประโยคก็ไม่กล้าตอบโต้ ดูเหมือนตำแหน่งพ่อค้าในโลกนี้ยังคงต่ำเตี้ย
เขาดื่มสุราไปมาก แม้ไม่เมา แต่สมองกระจ่างขึ้น ไม่มีความง่วงแม้แต่น้อย ผละจากริมแม่น้ำไม้สนไปยังที่อยู่ของตัวเอง ระหว่างถูกรถม้าขวางทางอยู่หลายครั้ง ถนนแทบไม่มีที่ว่าง
เวลาดึกเกินไป แม้แต่สารถีรถม้าก็มีไม่มาก ส่วนใหญ่กลับไปพักผ่อนแล้ว จึงได้แต่เดินกลับไป
ถนนในเมืองกลางค่ำคืนเย็นยะเยือก มีแค่ผีสุราสองสามคนกล่าววาจาไร้สาระ
บ้านสองฟากทางมืดสนิท มีแค่โคมไฟหน้าบ้านคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่บางหลังส่ายไปมาตามสายลม ส่องแสงสีแดงจางๆ
ลมพัดหวีดหวิว เย็นยะเยือกอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งเร่งความเร็ว เดินมาถึงครึ่งทาง พลันค้นพบว่าถุงข้างเอวตัวเองไม่ทราบว่าหายไปตอนไหน
เขาลูบคลำทั่วทั้งตัว ไม่พบถุงข้างเอว
‘ต้องหล่นอยู่บนเรือสำราญแน่’ ลู่เซิ่งนึกถึงว่าในถุงย่ามข้างเอวมีกระดาษที่ตวนมู่หว่านมอบให้เขา ยังมีกุญแจบ้านอยู่ด้านใน ไม่อาจทำหาย จึงหมุนตัวกลับไปยังทิศทางของเรือสำราญ
เร่งรีบตลอดทาง ลู่เซิ่งกลับทางเดิมมาถึงริมแม่น้ำไม้สน ยามนี้เรือสำราญบนแม่น้ำส่วนใหญ่ต่างเก็บงานแล้ว ปลดแถบสีที่แขวนอยู่ สายลมริมแม่น้ำเย็นอยู่บ้าง
เขากลับมา ไม่ทันไรก็ถึงเรือสำราญที่มาถึงก่อนหน้าลำนั้น
เรือสำราญจอดชิดฝั่งแล้ว บนเรือเย็นเฉียบ ไม่เห็นใครสักคน โคมไฟสีเหลืองบนดาดฟ้าเรือส่ายตามลม
‘คงจะเลิกงานแล้ว เหล่าแม่นางต่างกลับบ้านพักผ่อน ตอนนี้สมควรเป็นเวลาทำความสะอาด’ ลู่เซิ่งคิดในใจ เดินตามท่าเรือไปขึ้นเรือสำราญ
“มีคนหรือไม่” เขาเรียกสองครั้ง เลาะดาดฟ้าเรือ เดินเข้าไปในเรือสำราญ
ในเรือสำราญว่างเปล่า พื้นสะอาดเป็นพิเศษ มีบนพื้นไม้ที่เก่าอยู่บ้าง ยังมีแสงสะท้อนน้ำมันขัดเงาเล็กๆ
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปตามประตูทางเข้าท้องเรือ ด้านในเป็นเส้นทางคดเคี้ยวที่แคบอยู่บ้างสายหนึ่ง ออกจากเส้นทางก็เป็นโถงใหญ่ สองฟากของโถงใหญ่ล้วนเป็นห้องหลายแถวของเรือทั้งสามชั้น
ประตูห้องทุกบานต่างแขวนโคมไฟเล็กที่่ส่ายไหวใบหนึ่ง แสงสีแดงจางๆ สะท้อนออกมาจากในโคมไฟ สีของเพลิงสีแดงนี้กลางดึกยิ่งมายิ่งเย็นยะเยือก
“มีคนไหมหรือไม่” ลู่เซิ่งมองไป ถึงกับไม่เห็นใครในเรือทั้งลำ
‘จำได้ว่าตอนมาเมื่อครู่ ที่นี่ไม่มีโคมไฟแดงมากขนาดนี้…’ เขาหรี่ตา จิตใจตึงเครียดอยู่บ้าง
ในสามชั้นบนเรือ ทุกๆ ชั้นมีห้าห้อง ทั้งหมดสิบห้าห้อง ประตูแต่ละบานต่างแขวนโคมไฟแดง แสงสีแดงจางๆ ย้อมด้านในเรือทั้งลำเป็นสีแดง เงียบสงัดไปหมด
………………………………………….