ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 382 โศกนาฏกรรม (2)
บทที่ 382 โศกนาฏกรรม (2)
“องค์หญิงห้า..นาง…ถูกท่านฆ่าข่มขืนเช่นกัน…เพื่ออาวุธเทพหมื่นแปรผันชิ้นนั้น…องค์ชายยี่สิบเจ็ด ท่านไม่ปล่อยแม้แต่ผู้ร่วมสายเลือดจริงๆ หรือ” หลิวซงปู้กล่าวเสียงเฉียบ
“ข้า…ข้า…!” ฉยงซังจับมือของหญิงสาวคนนั้นอยู่ เล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อของนาง ตัวเขาเหมือนถูกสายฟ้าฟาดใส่ เงยหน้าน้ำตาไหลพรากราวกับไข่มุกขาดจากสาย
“พวกเจ้า…พวกเจ้า! ช่าง…ประเสริฐยิ่งนัก!” ฉยงซังเหมือนนึกอะไรออก จึงคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดรวดร้าว ทำให้ศิษย์เรือนด้านในสำนักพันอาทิตย์ที่อยู่ห่างออกไปซึ่งจงใจไม่เข้าใกล้ต่างหนังศีรษะชาวาบ
“เรื่องราวมาถึงตอนนี้ ติดต่อกับข้าศึก สังหารหวงเฟยสองพระองค์ หวังเฟยสี่พระองค์ องค์หญิงสามพระองค์ ถึงขั้นทำให้น้องสาวคนหนึ่งของตัวเองต้องอุ้มเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน! องค์ชายยี่สิบเจ็ด…ท่านยังลอบติดต่อกับทัพมาร ลอบสังหารพระบิดาของท่าน ทำให้พระองค์ได้รับบาดเจ็บหนักในพิธีบวงสรวงเพื่อแว่นแคว้น!” หลิวซงปู้แจงโทษของฉยงซังออกมาทีละข้อ ความผิดหวังและความแค้นใจในดวงตาไม่มีความลวงแม้แต่น้อย
“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ให้จับองค์ชายยี่สิบเจ็ดฉยงซังกลับไปรับการไต่สวน ถ้ามีผู้ใดต่อต้าน…ให้สังหาร!”
“ผู้ใดบังอาจ!” เสียงยังไม่ทันขาด เงาคนสายหนึ่งก็กระโดดออกมาจากในความมืด แล้วทิ้งตัวลงด้านข้างฉยงซังดังตุบ
“ปรักปรำกันชัดๆ พวกเจ้าร้ายกาจจริงๆ องค์ชายฉยงซังไม่ได้ทำอะไรเลย ถึงกับวางแผนเล่นงานพระองค์ ทำให้พระองค์ตกต่ำถึงขั้นนี้ เพราะอาวุธเทพหมื่นแปรผันชิ้นเดียว…” จากแสงสว่าง เงาคนคนนี้เผยโฉมออกมา เป็นจ่างซุนชิงหยาง!
“ผู้อาวุโสชิงหยาง ท่านออกหน้า คิดจะเป็นตัวแทนสำนักพันอาทิตย์จังหวัดไร้เหมันต์สอดมือเข้ามาในเรื่องนี้หรือ” หลิวซงปู้สีหน้าเย็นชา กล่าวเสียงเย็นเยียบอย่างรวดเร็ว
“ข้าเป็นตัวแทนตัวเองเท่านั้น!” จ่างซุนชิงหยางเอ่ยเสียงเย็น “วันนี้ข้ายืนอยู่ที่นี่ อยู่บนพื้นของเรือนด้านใน ข้าจะขอดูหน่อยว่าผู้ใดมันบังอาจลงมือกับองค์ชาย!?”
“เหอะๆ…ประเสริฐ…ประเสริฐนัก!” หลิวซงปู้หัวเราะเสียงเย็น “พลังฝึกปรือข้าสู้ท่านไม่ได้ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน แต่มีคนจัดการท่านได้!”
เขาพลันถอยไปด้านข้าง บุรุษสูงใหญ่หัวล้านคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นในตรอกด้านหลัง
ทรวงอกของบุรุษวาดดวงตาข้างเดียวสีขาวในแนวตั้งเอาไว้สามดวง กล้ามเนื้อที่เปลือยเปล่าบนร่างท่อนบนเป็นมันเลื่อม เป็นเส้นสายกล้ามเนื้อกำยำที่หนั่นแน่น
“ท่าน…คือเอ้อร์ซ่งชินอ๋อง[1]…!?”
พอจ่างซุนชิงหยางเห็นคนผู้นี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที ไม่เหลือความเยือกเย็นอยู่อีก
“พวกท่านเตรียมตัวมาถึงจุดนี้…ดูเหมือนวันนี้คิดจะแย่งชิงอาวุธเทพหมื่นแปรผันในเขตสำนักพันอาทิตย์ของข้าจริงๆ สินะ?!”
“หยวนเจิ้งซั่งเหรินไม่สอนเจ้าหรือว่าเมื่อเผชิญหน้าผู้เข้มแข็ง จะต้องคุกเข่ากล่าววาจา” บุรุษหัวล้านคนนั้นค่อยๆ ลุกขึ้น ดวงตาสีแดงเลือดที่มีเส้นสีดำจำนวนมากแทรกอยู่ จ้องมองจ่างซุนชิงหยางกับพวกฉยงซังที่แทบจะเสียสติอยู่ด้านหลังอย่างเย็นชาและเหี้ยมโหด
เปรี้ยง!
จ่างซุนชิงหยางรู้สึกได้ว่ามีแรงกดดันที่น่ากลัวตกลงบนร่างตนเอง หัวเข่าของเขาทรุดลงกับพื้นในทันที ถึงกับลุกไม่ขึ้น
“นอกจากองค์ชายฉยงซัง คนอื่นๆ ล้วนสังหารให้หมด” เอ้อร์ซ่งชินอ๋องกล่าวอย่างราบเรียบ
“ขอรับ!” ในความมืดมิดรอบๆ มีทหารสวมเกราะหนักสีดำราวกับภูตผีเดินออกมาทีละคน
“ไป!” ในตอนนี้เอง หมอกขาวกลุ่มหนึ่งระเบิดขึ้นท่ามกลางคนสองฝั่ง เงาคนสายหนึ่งโผล่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจับตัวฉยงซัง หญิงสาว และจ่างซุนชิงหยางไว้ แสงสีขาวสาดแวบ จากนั้นพวกเขาก็หายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน
“บังอาจ!” เอ้อร์ซ่งชินอ๋องตวาดอย่างโมโห พร้อมกับต่อยหมัดใส่
ครืนๆ!
ระลอกคลื่นโปร่งแสงกลุ่มหนึ่งไล่ตามหางของแสงสีขาวที่ยังไม่สลายไปจนหมด ก่อนจะกระแทกใส่อยางหนักหน่วง
เสียงตึงดังขึ้น แสงสีขาวบิดงอและส่งเสียงกระอักเบาๆ
ทั่วบริเวณเงียบสงัดลง ตำแหน่งที่พวกฉยงซังเคยอยู่ไม่เหลือใครสักคนเดียว
“ไล่ตามไป พวกมันหนีไปได้ไม่ไกล ทิศทางการส่งตัวคือประตูทางออกเรือนด้านใน ไป ไปให้หมด!” เอ้อร์ซ่งชินอ๋องเอ่ยอย่างเย็นชา “พบเห็นใคร ให้ฆ่าทิ้งไม่มีละเว้น! ข้าขอดูหน่อยว่าผู้ใดกล้าขัดขวางการลงมือของทัพนรกดำ!”
“ขอรับ!”
ไกลออกไป พอลู่เซิ่งที่ยืนดูสถานการณ์อยู่ในที่ลับเห็นเหตุการณ์นี้ ก็เกือบจะพ่นน้ำออกมาจากปากแล้ว
เขาค่อยๆ วางถ้วยใส่น้ำในมือลง ถ้าหากว่าก่อนหน้านี้เขามีอารมณ์ดูเรื่องสนุก อย่างนั้นตอนนี้…หลังจากคนผู้นั้นปรากฏตัว สีหน้าของเขาในตอนนี้ก็กลายเป็นยากหยั่งคาดเล็กน้อย…
…
อุโมงค์ทางเข้าออกเรือนด้านใน
ฮือๆ …!
แสงสีขาวกลุ่มหนึ่งระเบิดออก ปรากฏพวกฉยงซังที่อยู่ด้านใน
“รีบไปเร็ว! พี่ซัง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเสียใจ! เอาตัวให้รอดก่อนถึงจะมีโอกาสแก้แค้นให้กับพี่สาวและพระบิดาของท่าน!”
ท่ามกลางราตรีในเวลานี้ ศิษย์ของสำนักพันอาทิตย์หายไปจากทางออก แสดงให้เห็นว่าไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวายในครั้งนี้
ทุกคนรีบประคององค์ชายฉยงซังวิ่งเข้าไปยังทางเข้าออก ไม่นานก็หายลับไป
“ทำไมต้องลำบากมาด้วย” ด้านหลังพวกเขา ชายชราไว้เคราแพะที่สวมเสื้อคลุมนักพรตสีฟ้าคนหนึ่งถือกระบี่ลายต้นสนเฝ้าอยู่หน้าประตูทางเชื่อม พร้อมกับถอนใจ
“ราชสำนักเกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ข้าทำให้คนรู้จักเก่าได้ ก็มีแต่ความรับผิดชอบเล็กน้อยนี้แล้ว…” เขาไม่ได้ทักทายกลุ่มคนที่หนีไป เพียงแต่เฝ้าทางเข้าออกอย่างเงียบงัน คอยฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ออกห่างไป พร้อมกับมองทัพนรกดำที่ใกล้เข้ามาด้วยความรวดเร็วจากเบื้องหน้า
“เพื่ออาวุธเทพหมื่นแปรผัน ต่อให้จะเป็นเทวปัญญาในตำนานก็ตาม เหตุใดต้องเข่นฆ่ากันเองในครอบครัวเช่นนี้” ชายชราถอนใจยาว ขณะมองดูเอ้อร์ซ่งชินอ๋องที่เดินเอื่อยๆ มาถึงอย่างสงบนิ่ง
“จมูกโค[2]หวง อายุปูนนี้แล้วยังโผล่มาอีก ระวังจะไม่ตายดี” เอ้อร์ซ่งชินอ๋องจ้องมองนักพรตชราอย่างเย็นชา ดวงตาฉายแววกริ่งเกรง เขากล้าตีฝีปากกับอีกฝ่ายเท่านั้น ถ้าลงมือจริงๆ เขาสิบคนก็ไม่คณนามืออีกฝ่าย
“ชินอ๋องมาจากทางไหน ก็กลับไปทางนั้นเสียเถอะ” นักพรตชราส่ายศีรษะพลางทำหน้าหนักใจ “ถ้าไม่มีความจำเป็น ถ้าไม่ใช่พวกท่านกดดันกันถึงขนาดนี้ ข้าก็คงไม่ออกหน้าลงมือเพราะทนมองต่อไปไม่ได้หรอก”
“เหอะๆๆ ต่างว่ากันว่าเทียนเหอจินหยินมีพลังฝึกปรือสะท้านฟ้า แต่กลับไม่เข้าใจเรื่องทางโลก เพียงสนใจบุญคุณความแค้น วันนี้ได้เห็น นับว่าสมคำร่ำลือจริงๆ” สายฟ้าสายหนึ่งผ่าลงมาจับตัวกันเป็นบุรุษสวมอาภรณ์ยาวสีขาวนวลคนหนึ่งนบนลานผลึกที่อยู่กลางคนสองกลุ่ม
บุรุษมีคิ้วเฉียงเกือบถึงจอน ใบหน้าหล่อเหลาแฝงความเย็นชา ดวงตาข้างหนึ่งหยีเล็กน้อย ในเบ้าตามีแต่โพรงว่างเปล่า ไม่ทราบว่าตาบอดมานานเท่าไหร่แล้ว
“เทียนเหอ หลีกไปเถอะ เห็นแก่ที่เจ้ามีความดีความชอบสูง รักษาหุบเขาสองพิภพให้ราชสำนักมามากกว่าร้อยปี ข้าจะไม่สืบสาวความผิดที่เจ้าขายข้อมูลให้ศัตรู”
“เอ้อร์หยวนชินอ๋อง…” ถ้าหากบอกว่าเอ้อร์ซ่งชินอ๋องเมื่อก่อนหน้านี้ทำให้เทียนเหอจินหยินรับมือได้อย่างไม่สะทกสะท้าน อย่างนั้นเอ้อร์หยวนชินอ๋องในตอนนี้แม้จะเป็นชินอ๋องเหมือนกัน แต่ว่าคนผู้นี้มีความน่าเกรงขามไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
“แม้แต่เจ้าที่กักตัวฝึกฝนมาสามร้อยกว่าปีก็ยังออกจากการกักตัวเพราะอาวุธเทพหมื่นแปรผันหรือ” ดวงตาเทียนเหอจินหยินฉายแววโศกเศร้า
“เจ้าไม่เข้าใจ…ติดต่อข้าศึก แถมยังสมคบคิดกับพิภพมาร…ความผิดนี้ ต่อให้เขาเป็น…ลูกของสตรีผู้นั้น ก็ต้องโดนล้างโคตรเหมือนกัน” เอ้อร์หยวนชินอ๋องกล่าวอย่างโหดร้าย “หลีกไปเถอะ เจ้าคนเดียวต้านทานข้าไม่ได้หรอก ถ้าเรียกพี่สาวเจ้ามายังพอได้”
“เอ้อร์หยวนชินอ๋อง…” เทียนเหอจินหยินผุดสีหน้าขื่นขม ด้วยความจนปัญญา เขาจึงได้แต่ค่อยๆ หลีกให้ หวังว่าตนเองจะถ่วงเวลาได้มากพอจนองค์ชายฉยงซังหนีไปได้แล้ว
เอ้อร์หยวนชินอ๋องแค่นเสียง ก่อนจะพาคนเดินผ่านนักพรตชราไป ขณะที่พวกเขานำทัพนรกดำไล่ตามไป เทียนเหอจินหยินยังคงติดตามอยู่ด้านหลังเพราะไม่ยินยอม ด้วยอยากจะเห็นว่าพวกองค์ชายฉยงซังหนีไปได้อย่างปลอดภัยแล้วหรือไม่
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ตอนนี้พวกองค์ชายฉยงซังยังหนีไม่พ้นจากอุโมงค์ ที่ไกลออกไป พวกเอ้อร์หยวนชินอ๋องเห็นเงาหลังขององค์ชายฉยงซังที่กำลังวิ่งตะบึงอยู่ด้านหน้าแล้ว
เอ้อร์หยวนชินอ๋องแค่นเสียงพร้อมกับสะกิดเท้า ร่างกลายเป็นสายฟ้าสีขาวพุ่งไปด้านหน้า ความเร็วเพิ่มพรวดขึ้น ก่อนทิ้งตัวลงด้านหลังพวกองค์ชายฉยงซังในพริบตาเดียว
พอดีที่พวกองค์ชายฉยงซังวิ่งไปถึงมุมโค้งของอุโมงค์ ตรงมุมโค้งมีหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่หลายก้อน ขวางพื้นที่อุโมงค์ไว้มากกว่าครึ่ง เหลือทางเข้าออกที่สูงเท่าหนึ่งคนครึ่งทางเดียวเท่านั้น
ตอนนี้บุรุษหนุ่มสวมอาภรณ์สีดำคนหนึ่งกำลังถือกระบี่ยาวเปื้อนเลือด ยืนอยู่ที่ทางเข้าออกอย่างสงบนิ่ง
“องค์ชายฉยงซัง…ฮองไทเฮาให้ข้าถ่ายทอดคำสั่งแก่ท่าน วันนี้ท่านกับคนที่ช่วยท่านเหล่านี้อย่าคิดหนีไปไหน ล้วนอยู่ที่นี่เถอะ สำนักพันอาทิตย์…เป็นสถานที่ฝังศพที่ไม่เลว…” บุรุษหนุ่มกล่าวอย่างแผ่วเบา
บุรุษที่อยู่ข้างๆ ฉยงซังมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถูกโจมตีกระหนาบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ต่อให้เป็นเขา…หนำซ้ำเขายังสัมผัสไม่ได้ ทำไมกัน เป็นไปได้อย่างไร
“หลังจากฆ่าพวกท่าน ค่อยนำอาวุธเทพหมื่นแปรผันไป…” บุรุษหนุ่มส่งเสียงแผ่วต่ำ
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าจะฆ่าใคร” อยู่ๆ ฝ่ามือเรียบเนียนและกว้างหนาข้างหนึ่งก็จับท้ายทอยของบุรุษหนุ่มไว้เบาๆ
“ข้า…” บุรุษหนุ่มม่านตาหดตัวทันที ร่างเกร็งเขม็ง ยังคงยืนนิ่งกับที่โดยไม่กล้าขยับเขยื้อน
บุรุษร่างกำยำคนหนึ่งค่อยๆ เดินมาจากด้านหลังเขา
“เสี่ยวซี ไม่ได้เจอกันนานเจ้ายังคงหาเรื่องได้เหมือนทุกที…” สายตาของบุรุษร่างกำยำหยุดอยู่บนร่างของบุรุษหนุ่มผู้คุ้นเคยที่อยู่ข้างกายฉยงซัง
“พี่เซิ่ง…” บุรุษหนุ่มลืมตาโต คล้ายไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้เห็น แต่หลังจากนั้นความยินดีในสายตาของเขาก็สลายไป ก้มหน้าไม่กล้ามองอีกฝ่ายอีก คนผู้นี้ก็คือหลี่ซุ่นซีที่ชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ทางต้าซ่ง
“ตอนนี้เรื่องราวมีความสำคัญมาก ท่านจะเข้ามายุ่งไม่ได้!” หลี่ซุ่นซีได้สติทันที เงยหน้ากล่าวเสียงเฉียบขาด “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน…”
“พอแล้วๆ รีบไสหัวไปเถอะ ข้าลู่เซิ่งทำอะไรต้องให้เจ้าชี้แนะด้วยหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวอยางไม่สนใจ คล้ายกับไม่เห็นเอ้อร์หยวนชินอ๋องที่อยู่ด้านหน้าในสายตา
พวกเอ้อร์หยวนชินอ๋องโกรธจนดวงตาสาดจิตสังหาร แต่ไม่กล้าลงมือวู่วาม เนื่องจากลู่เซิ่งยังจับตัวประกันไว้ คนผู้นั้นไม่ใช่ตัวประกันธรรมดา
หลี่ซุ่นซีเงียบงันอยู่สักพัก ก่อนจะพาพวกฉยงซังคุกเข่าลงกับพื้น และโขกศีรษะสามครั้งไปทางลู่เซิ่ง
“พี่เซิ่ง ท่านไม่ต้องห่วง ต่อให้ข้าหลี่ซุ่นซีต้องตาย ก็จะไม่ลากท่านมาลำบากด้วย!”
พูดจบ เขาก็ลากพวกฉยงซังวิ่งไปยังทางเข้าออกด้านหลังลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว
“คิดหนีรึ!” ในที่สุดเอ้อร์หยวนชินอ๋องก็อดทนไม่ไหว กระโดดขึ้นและเปลี่ยนร่างเป็นสายฟ้าสีขาวพุ่งเข้าหาพวกองค์ชายฉยงซัง
“ทางนี้ผ่านไม่ได้” ลู่เซิ่งดีดมือซ้ายออกดุจสายฟ้า ตาข่ายปราณจริงแท้สีเลือดพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะประสานกับสนามพลังจิตของเขา พริบตาเดียวก็คลุมเอ้อร์หยวนชินอ๋องเอาไว้ แล้วขว้างกลับไปที่เดิมพอดี ไม่สั้นไปยาวไป
“หาที่ตายหรือ!?” เอ้อร์หยวนชินอ๋องเดือดดาล พอทิ้งตัวลงพื้น ก็ชักกระบี่สั้นที่เอวขึ้นมา “ก้าวก่ายเรื่องในราชวงศ์ สำนักพันอาทิตย์ของเจ้าคิดจะกบฏหรืออย่างไร!?” เขาเห็นชุดเรือนด้านในสำนักพันอาทิตย์ที่ไม่อำพรางบนร่างลู่เซิ่งทันที
“ข้าบอกแล้วว่าทางเส้นนี้ผ่านไม่ได้” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างเกียจคร้าน ถือโอกาสนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น พร้อมกับคอยฟังเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไปของกลุ่มคนเบื้องหลัง ทั้งยังยิ้มจางๆ
“ลู่เซิ่ง! เจ้ามีสิทธิ์อะไรจึงกล้าขัดขวางเอ้อร์หยวนชินอ๋อง เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าสามสำนักไม่กล้าจัดการเจ้า!?” ด้านหลังเอ้อร์หยวนชินอ๋องมีคนตวาดเสียงเฉียบขาด
“สำนัตรากฎเอาไว้ว่า ศิษย์ที่ทำผิดกฎสำนักมีแต่อาจารย์ของเขาเท่านั้นที่มีสิทธิ์ลงโทษ ถ้ามีปัญญาเจ้าก็ไปตวาดใส่อาจารย์ของข้าสิ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ
อาจารย์ของเขา…
คนที่ตะโกนปาวๆ ผู้นั้นสีหน้าซีดขาวทันที ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าอริยะเจ้านิทรานิรันดร์มีความกระหายเลือดเหนือใครทั้งในอดีตและปัจจุบัน หากเขากล้าไปหาซูหนิงเฟยจริงๆ ถ้าเข้าใกล้หนึ่งร้อยหมี่โดยไม่ตายก็ถือว่ามีโชควาสนาดีมากแล้ว
“ฆ่ามันเสีย! กบฏแล้ว! กบฏแล้ว!” เอ้อร์หยวนชินอ๋องโกรธจนเส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผาก หน้าแดงก่ำ กล่าวแทบไม่เป็นประโยคขณะชี้ไปที่ลู่เซิ่ง
“ฆ่า! ฆ่ามันเสีย! ฆ่าอาจารย์ของมันด้วย! ข้าต้องการให้ครอบครัวของพวกมันเป็นนางคณิกาทั้งตระกูล เป็นทาสไปทุกชั่วรุ่น!” ในที่สุดเอ้อร์หยวนชินอ๋องก็พูดออกไป แต่ประโยคที่พูดกลับทำให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาต่างงุนงง
เวลานี้คนจากสามสำนักที่ก่อนหน้านี้ตะโกนใส่ลู่เซิ่งแอบถอยออกห่างจากชินอ๋องผู้นี้เล็กน้อย กลัวว่าถ้าอยู่ใกล้เกินไปจะโดนหางเลขไปด้วย
ตอนนี้เทียนเหอจินหยินส่งกระแสเสียงสอบถาม จึงทราบสถานะของลู่เซิ่งแล้ว พอได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ลืมตาโตเช่นกัน มองเอ้อร์หยวนชินอ๋องด้วยสายตาแตกตื่นตกใจ
‘เขากล้าพูดจริงๆ…บนโลกนี้มีคนที่ไม่กลัวตายอยู่จริงๆ…’ ตอนนี้สายตาที่เขามองเอ้อร์หยวนชินอ๋องไม่ใช่ความตกใจแล้ว หากเป็นความสงสาร
ลู่เซิ่งตกตะลึงเช่นกัน ชี้นิ้วไปที่เอ้อร์หยวนชินอ๋อง ทั้งยังข่มร่างกายไม่ให้สั่นเทิ้ม พูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะ
“นับถือ…นับถือๆ…” อยู่ๆ เขาก็ประสานมือโค้งตัวให้เอ้อร์หยวนชินอ๋อง “ผู้เข้มแข็งท่านนี้ ถ้าวันนี้ท่านไม่ตายทั้งตระกูล คนที่ข้าลู่เซิ่งนับถือที่สุดในวันนี้ก็คือท่านแล้ว!…”
เอ้อร์หยวนชินอ๋องไม่ใช่คนโง่ ตอนนี้พอเห็นสีหน้าของคนรอบๆ ไหนเลยยังไม่รู้ว่าตนสร้างหายนะขึ้นแล้ว ยังมีหายนะใดที่ร้ายแรงไปกว่าการปล่อยให้องค์ชายฉยงซังกับอาวุธเทพหมื่นแปรผันหนีไปได้อีก
เพียงแต่เทียนเหอจินหยินที่อยู่ด้านหลังเขา อดแสดงสีหน้าสงสารไม่ได้ ถามเบาๆ ว่า “เอ้อร์หยวนชินอ๋อง…เกรงว่าท่านจะไม่รู้ว่าอาจารย์ของคนตรงหน้าเป็นใครกระมัง…”
“เป็นผู้ใด?!” เอ้อร์หยวนชินอ๋องเกิดลางสังหรณ์ร้าย แต่เขายังคงใจแข็ง ก่อนที่จะได้ยินคำตอบที่มีน้ำหนักมากพอ เขาไม่มีทางยอมศิโรราบเด็ดขาด
“คนที่ตึงมือที่สุด และโหดเหี้ยมที่สุดในสำนักพันอาทิตย์มีใครบ้าง” เทียนเหอจินหยินเอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดเฝือ
เอ้อร์หยวนชินอ๋องนิ่งอึ้ง จากนั้นคล้ายนึกอะไรได้…ร่างกายสั่นไหวทันที เขาลืมตาโพลง สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง พริบตาเดียวร่างกายก็กลายเป็นเย็นเฉียบ
‘แม้แต่ข้าก็ไม่กล้าด่าหญิงชรานางนั้นอย่างเปิดเผย…’ ลู่เซิ่งมองเอ้อร์หยวนชินอ๋องอย่างแปลกประหลาด พร้อมกับส่ายหน้าอย่างสมเพช
ด้วยความเลือดเย็นโหดเหี้ยมของสตรีอย่างซูหนิงเฟย ชินอ๋องอะไรนี่กับตระกูลของเขาคงจะไม่รอดแล้ว
เขาไม่กลัวว่าซูหนิงเฟยจะสะกดราชสำนักไม่ได้ พูดถึงที่สุดแล้วราชสำนักมีเจ้าแห่งอาวุธของสามตระกูลใหญ่เป็นผู้สนับสนุน ส่วนซูหนิงเฟย…ในอดีตได้ฆ่าคนไปมากกว่าสิบล้านคนด้วยตัวคนเดียว แต่ก็แค่ถูกขังคุกให้สำนึกตัวและดัดนิสัยเท่านั้น…
หลังจากลู่เซิ่งเข้าใจภูมิหลังของอาจารย์ผู้นี้อย่างล้ำลึก จึงค่อยทราบว่าเหตุใดซูหนิงเฟยจึงไม่เกรงกลัวผู้ใด
สตรีนางนี้มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าแห่งอาวุธหลายคนอย่างล้ำลึกทั้งในที่ลับและที่แจ้ง บวกกับตัวนางขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะไปถึงระดับเจ้าแห่งอาวุธแล้วเช่นกัน
คนที่ตึงมือและเป็นปัญหามากกว่านางในสามสำนักสามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว
แม้แต่เจ้านายลู่อย่างเขายังต้องระมัดระวัง รอภายหลังค่อยหาโอกาสแก้แค้น ทว่าคนระดับสามขั้นบนขอบเขตปฐมปฐพีตัวเล็กๆ กลับต้องการสังหารศิษย์ของซูหนิงเฟย และต้องการสังหารอริยะเจ้านิทรานิรันดร์ต่อหน้าคนจำนวนมากในเรือนด้านในของสำนักพันอาทิตย์ แถมยังจะให้เป็นนางคณิกาเป็นทาสอะไรอีก…เหอะๆ
“จินหยิน พวกท่านถอยไปก่อนดีกว่า” ลู่เซิ่งโบกมือพลางส่ายหน้าให้เทียนเหอจินหยิน เตือนว่า “ครั้งนี้ต่อให้อง์รัชทายาทมาอยู่ที่นี่ จะรอดได้หรือไม่ ก็ยังไม่ทราบ…ท่านรีบหลบเลี่ยงมรสุมดีกว่า อาจารย์ของข้าขึ้นชื่อเรื่องชอบจัดการคนที่เกี่ยวข้องด้วย”
“นอกจากนี้ อย่าลืมจัดเรียงต้นสายปลายเหตุแล้วส่งรายงานให้ราชสำนัก ข้าเกรงว่าอาจารย์จะข่มความกระหายเลือดไม่ไหว หากคนตายมากเกินไปจะส่งผลกระทบไม่ดี”
ทุกครั้งที่เขาพูดหนึ่งประโยค ใบหน้าของเอ้อร์หยวนชินอ๋องจะซีดขาวขึ้นหนึ่งส่วน
รอจนเขาพูดจบ เอ้อร์หยวนชินอ๋องก็ล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น ใบหน้าขาวซีด หายใจถี่กระชั้นเหมือนถูกงมขึ้นมาจากน้ำ
“ข้า…ข้า…” เขายังพูดไม่ทันจบ ลมหายใจก็ขาดห้วง สองตาเหลือกขาว สลบไสลไป
เทียนเหอจินหยินไม่กล้าเข้าไปประคองจริงๆ
ไม่ใช่ว่าเขาขี้ขลาดเกินไป แต่ว่าทุกคนที่อยู่ในอาณาเขตที่ค่ายกลใหญ่ของเรือนด้านในสำนักพันอาทิตย์ครอบคลุมอยู่ต่างรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
เหมือนกับมีสายตาจับจ้องทุกคนอย่างเงียบๆ ในที่ที่มองไม่เห็น
ลู่เซิ่งรู้ว่านี่ไม่ใช่ความรู้สึกหลอนของพวกเขา หากแต่อาจารย์จอมเอาเปรียบของเขามาแล้วจริงๆ…
……………………………………….
[1] ชินอ๋อง เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ชายของจีน ปกติแล้วมักจะเป็นพี่ชาย น้องชาย หรือโอรสของกษัตริย์
[2] จมูกโค เป็นคำที่ใช้ด่านักพรต