ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 387 อนาคต (1)
บทที่ 387 อนาคต (1)
เพล้ง!
พอตัวดาบถูกกัด รอยแตกนับไม่ถ้วนก็กระจายไปทั่วในทันที เริ่มตั้งแต่ช่องเล็กๆ ที่ลู่เซิ่งกัดขย้ำ แล้วแผ่ลามไปถึงตัวดาบทั้งหมด
“ไม่!” ดาบแสงจรัสส่งเสียงร้องของเด็กผู้หญิงที่น่าสงสารออกมา ตัวดาบเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง คิดจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของลู่เซิ่ง
“อ๊ากกก!” พร้อมกับที่ดีปบลูยกระดับกายเนื้ออย่างต่อเนื่อง ลู่เซิ่งรู้สึกเหมือนแช่อยู่ในน้ำเดือด ทั้งร่างร้อนลวกและเจ็บปวด
เวลานี้พละกำลังทางกายเนื้อที่เดิมอยู่ในระดับจ้าวแห่งมารกำลังไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปถึงขั้นที่น่าเหลือเชื่อ
เขากัดขย้ำตัวดาบด้วยฟันแหลมสามแถวอย่างบ้าคลั่งสุดกำลัง พร้อมทั้งเสียดสีอย่างรุนแรงราวกับใบเลื่อย
“ไม่!!” ดาบแสงจรัสสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง รอยแตกกระจายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็เกิดเสียงดังกังวานใส
เพล้ง…!
ดาบหยุดชะงัก จากนั้นก็ระเบิดอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นทันที
ฟ้าวๆๆๆ! ชิ้นส่วนอาวุธเทพจำนวนมาก หมายจะพุ่งกระจายไปยังสี่ทิศแปดทาง แต่ก็ถูกมือเปลวไฟสีดำสามคู่ที่ปรากฏขึ้นด้านหลังลู่เซิ่งรับไว้ดุจสายฟ้าแลบ
กร้วมๆๆ…
ลู่เซิ่งเคี้ยวชิ้นส่วนดาบแสงจรัสในปากคำโต ชิ้นส่วนโลหะคมกริบอยู่ในปากของเขา ไม่ต่างอะไรกับการกินข้าวโพดคั่ว อย่างมากสุดก็เพียงแค่เคี้ยวยากไปนิดหน่อยเท่านั้น
อึก
เมื่อกลืนลงไป ลู่เซิ่งก็รู้สึกเหมือนกลืนกระแสความร้อนกลุ่มหนึ่ง ชิ้นส่วนดาบแสงจรัสเพิ่งลงท้อง แก่นมาร ปราณเหลว และปราณจริงแท้นับไม่ถ้วนก็เริ่มรวมตัวและโคจรในส่วนกระเพาะอย่างบ้าคลั่งทันที พลังทั้งหมดทั่วร่างเริ่มรวมอยู่ที่จุดเดียวเพื่อย่อยสลายชิ้นส่วนของดาบแสงจรัส
ชิ้นส่วนอาวุธเทพระดับใบไม้ทองคำแฝงซ่อนพลังงานไว้มากมายขนาดไหน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
อาวุธเทพศัสตรามารเป็นวัตถุที่น่าอัศจรรย์อยู่แล้ว เนื่องจากความสามารถที่แตกต่างกัน อาวุธเทพบางส่วนอาจมีคุณภาพไม่สูงนัก แต่กลับแฝงซ่อนพลังงานไว้มหาศาล และแม้อาวุธเทพศัสตรามารบางส่วนจะมีคุณภาพสูง แต่เป็นเพราะคุณสมบัติความสามารถ พลังงานที่ซ่อนแฝงกักเก็บไว้จึงมีไม่มากเท่าไหร่
ดาบแสงจรัสเป็นอย่างหลัง พลังงานและความสามารถของมันอยู่ในด้านส่งผลต่อความคิดและควบคุมจิตใจเป็นส่วนใหญ่ ความสามารถและพลังงานที่ซ่อนแฝงอยู่ด้านในจึงมีปริมาณไม่มาก แค่คุณสมบัติกลับสูงสุดขีด
“อย่านะ…” ดาบแสงจรัสวิงวอน ส่งเสียงร้องน่าสงสาร เงาร่างของเด็กผู้หญิงผมดำที่เลือนรางปรากฏขึ้นด้านข้างตัวดาบรำไร
เห็นได้ชัดว่าเงาอ่อนแอลงมาก ถึงขั้นที่เหมือนส่ายไหวไม่เสถียร แสดงให้เห็นว่าการกินของลู่เซิ่งเมื่อครู่สร้างความตกใจให้นางอย่างแท้จริง
นางรู้สึกได้ว่าส่วนหนึ่งของตัวเองกำลังถูกย่อยสลายด้วยความเร็วสูงในร่างของลู่เซิ่ง ถูกย่อยสลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของเขา ความรู้สึกนี้ไม่เหมือนถูกสัตว์ประหลาดกลืนกิน แต่เหมือนกับถูกอาวุธเทพที่แข็งแกร่งกว่าอีกชิ้นกลืนกินดูดซับมากกว่า
ตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ๆ จำนวนมากมีวิธีการที่คล้ายกัน โดยจะมอบอาวุธเทพที่อ่อนแอให้อาวุธเทพที่แข็งแกร่งดูดซับ ดาบแสงจรัสเคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน นางเคยดูดซับอาวุธเทพศัสตรามารมาแล้วหลายชิ้น
ทว่านางนึกไม่ถึงเลยว่าตนเองจะมีวันนี้เช่นกัน
สิ่งที่น่าเสียดายมากก็คือนางกล่าวคำพูดนี้ช้าไปแล้ว
สองตาของลู่เซิ่งเปล่งประกายละโมบ หลังจากเขากัดกินและกลืนชิ้นส่วนอาวุธเทพที่แหลกเป็นชิ้นๆ ลงไป สิ่งที่ได้กลับมา เหนือกว่าสิ่งที่เขาจินตนาการเอาไว้
ชิ้นส่วนอาวุธเทพมอบพลังอาวรณ์อย่างน้อยหนึ่งพันหน่วยให้เขาในรวดเดียว!
“พับผ่า…ทำไมถึงไม่พบให้เร็วกว่านี้นะ…” ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก ลิ้นของเขาในตอนนี้กลายเป็นสีดำสนิท ทั้งยังเต็มไปด้วยหนามโค้ง ปลายลิ้นยังแยกออกเป็นสามแฉก
“ข้า…ไม่กล้าแล้ว…ไม่กล้าอีกแล้ว…” ดาบแสงจรัสวิงวอนพลางสะอึกสะอื้น
“เจ้ามันไม่ซื่อสัตย์! ภูเขาแม่น้ำเปลี่ยนง่ายแต่สันดานนั้นเปลี่ยนยาก! กล้าลอบเล่นงานข้าในเวลาสำคัญ ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าภายหลังเจ้าจะหาโอกาสกระทำอีกหรือไม่! กินให้หมดเลยง่ายกว่า!” ลู่เซิ่งคลุกเคล้าชิ้นส่วนอาวุธเทพกองใหญ่ในมือเข้าด้วยกันก่อนจะยัดเข้าปาก เคี้ยวสองสามคำแล้วกลืนลงไปอีกรอบ ไม่สนใจคำวิงวอนของดาบแสงจรัสแม้แต่น้อย
“บ่าวไม่กล้าแล้ว…ไม่กล้าอีกแล้ว…!” เสียงของดาบแสงจรัสเบาลงเรื่อยๆ และกระวนกระวายขึ้นเรื่อยๆ
ลู่เซิ่งกลับไม่สนใจ กินตัวดาบไปสี่ในห้าส่วนจนเหลือแค่ซากเล็กๆ ของด้ามดาบ จึงค่อยหยุดลงอย่างเสียไม่ได้
ความจริงเขาอยากจะหาข้ออ้างกินเพิ่มสักสองคำ อาวุธเทพระดับใบไม้ทองคำนี้ พอกินลงไปกลับมอบพลังอาวรณ์จำนวนมากมายให้กับเขา นี่เป็นเรื่องที่ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิง
เขากินไปทั้งหมดสี่คำ ได้พลังอาวรณ์มาเกือบห้าพันหน่วย
นี่ยังเป็นแค่อาวุธเทพศัสตรามารระดับใบไม้ทองคำเท่านั้น
‘โลกใบนี้มีอาวุธเทพตั้งมากมาย ถ้าหากเรากินจนหมดทุกชิ้น ไม่รู้ว่าจะไปถึงขอบเขตที่น่ากลัวขนาดไหน’
ลู่เซิ่งเกิดความโลภมากกว่าเดิม
ตอนนี้ดาบแสงจรัสยังไม่ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็เป็นอาวุธเทพที่ซูหนิงเฟยมอบให้ สุดท้ายก็จำเป็นต้องวางท่าเสียหน่อย
ลู่เซิ่งเสียบด้ามดาบแสงจรัสกลับไปในฝัก จากนั้นค่อยนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังมีกระบี่ธารธาราอีกเล่มที่ยังไม่ได้จัดการ
ครั้งนี้กระบี่ธารธาราคงได้เห็นสภาพพลังที่แท้จริงของเขาแล้วเช่นกัน แต่นั่นจะอย่างไร ขอแค่ไม่เป็นอุปสรรคต่อพลังของเขา เขาล้วนรับไว้ได้หมด
ลู่เซิ่งกวาดตามองพื้นที่เละเทะรอบๆ แล้วมองดูเสื้อคลุมที่ขาดกะรุ่งกะริ่งบนตัว อยู่ๆ ปราณจริงแท้ก็ปรากฏบนร่าง ก่อนจะกลายเป็นรังสีแสงสีทองอ่อนครอบคลุมร่างเอาไว้ จากนั้นก็สะกิดเท้าเบาๆ กระโจนร่างขึ้น พร้อมกับพุ่งไปยังที่ไกล
ดาบแสงจรัสที่ถูกกินไปมากกว่าครึ่งเหลือแค่ส่วนเล็กๆ ที่ไม่ควรค่าให้กังวลอีกแล้ว จิตของอาวุธเทพในตัวดาบถูกกินจนแทบสูญสลาย อีกทั้งลู่เซิ่งยังได้ระบายโทสะเล็กน้อยเช่นกัน
แต่เขายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมจักรพรรดิมารเหวยลาที่เปิดศึกกับต้าอินมาโดยตลอดจึงส่งคนมาจับเขากลับไปคนเดียว เป็นเพราะเขาทำลายผนึกในหุบเหวมารแล้วปล่อยบางอย่างออกมาหรือ
แล้วซั่งหยางเฟยคิดอะไรอยู่กันแน่ รีบเร่งเดินทางมาไกลขนาดนี้ ก็เพื่อต้องการหยุดเขาเพราะเรื่องเล็กๆ นี้หรือ นางพบเจออะไรในภัยพิบัติมารทางต้าซ่งจึงมีสารรูปอย่างในปัจจุบัน
เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นข้อสงสัย เป็นส่วนที่ลู่เซิ่งไม่เข้าใจ
แต่สุดท้ายเขาก็ได้รับผลประโยชน์ ทั้งได้จัดการอาวุธเทพที่อาจทรยศได้ตลอดเวลาอย่างดาบแสงจรัส ทั้งได้ทราบถึงภารกิจเฉพาะเจาะจงที่จักรพรรดิเหวยลามอบหมายให้ซั่งหยางเฟย
ความคิดของลู่เซิ่งที่ต้องการตั้งตัวเป็นเอกเทศในต้าอิน เพื่อออกห่างจากศึกสงครามของสองโลกมาโดยตลอด ในที่สุดก็เริ่มเกิดความลังเลแล้ว
เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับเขา ทว่าปัจจุบันจักรพรรดิมารเหวยลาส่งคนมาไล่ฆ่าเขาอย่างไม่มีสาเหตุ เมื่อมีบุญคุณความแค้น ก็อย่าโทษที่เขาเข้าร่วมศึกใหญ่ในการโจมตีพิภพมารอย่างเป็นทางการก็แล้วกัน
ลู่เซิ่งผละจากอาณาเขตที่สู้กับซั่งหยางเฟย แล้วบินตรงดิ่งไปยังเขตจันทราสารท
ในตอนที่ข้ามเทือกเขา ด้านล่างมีการเคลื่อนไหวของปราณที่คมกล้าหลายสายส่งมาอย่างฉับพลัน คล้ายกับมีลูกศรหน้าไม้ที่ทรงอานุภาพเล็งเขาอยู่
“ใครกัน!?” ท่ามกลางป่ารกชัฏผืนใหญ่ตรงสันเขาด้านล่าง บุรุษสตรีสวมชุดทะมัดทะแมงแนบเนื้อสีเขียวหลายคนกำลังถือปลายดาบและเกาทัณฑ์เดินทางอยู่ในป่า พอได้ยินเสียงแหวกลมที่ดังมาจากด้านบน สองคนในนี้ก็รีบยกมือขึ้นแล้วเล็งลู่เซิ่งที่เพิ่งบินมาถึงทันที
“ข้าคือลู่เซิ่ง เจ้าสำนักกิตติมศักดิ์สำนักพันอาทิตย์แห่งจังหวัดไร้เหมันต์ เมื่อครู่ถูกไส้ศึกจากพิภพมารลอบโจมตีกลางทาง มันถูกข้าสังหารไปแล้ว ตอนนี้พวกท่านรีบไปตรวจสอบสภาพที่เกิดเหตุได้” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างฉะฉาน
“สำนักพันอาทิตย์?” พอได้ยินว่าเป็นหนึ่งในสามสำนัก คนของราชสำนักกลุ่มนี้ก็ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว
“ขอให้แสดงเครื่องหมายของสำนักพันอาทิตย์ด้วย” บุรุษที่เป็นผู้นำเงยหน้าหยิบป้ายอาญาสีดำอมม่วงชิ้นหนึ่งออกมา ป้ายอาญาปรากฏคลื่น คล้ายจะเป็นคลื่นของกองทัพอาทิตย์เจิดจ้าซึ่งลู่เซิ่งเคยสัมผัสที่เขตจันทราสารทมาก่อน
เขาแสดงหยกแขวนสีม่วงที่สลักลวดลายหงส์สีทอง สมบัติลับอันเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าสำนักกิตติมศักดิ์สำนักพันอาทิตย์บนร่าง
ครั้นบุรุษผู้นั้นเห็นหยกแขวนก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของสำนักพันอาทิตย์จริงๆ เพียงแต่ไม่เคยได้ยินตำแหน่งเจ้าสำนักกิตติมศักดิ์มาก่อน ทว่าท่าทางนั้นกลับไม่ใช่ของปลอม นอกจากบุคคลยิ่งใหญ่ที่พลังไปถึงขั้นที่สุดจินตนาการ ผู้ใดกล้าบินด้วยความเร็วสูงอย่างเปิดเผยบนป่าเขาแบบนี้บ้าง
“คารวะใต้เท้า” ทุกคนรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับทักทายเสียงกังวาน
“ไม่เป็นไร ล้วนทำตามหน้าที่” ลู่เซิ่งเข้าใจดีว่า จะต้องเป็นเพราะทัพอักขระมืดกับกรมสังข์เขียวสังเกตเห็นการต่อสู้ของเขากับซั่งหยางเฟยแน่ จึงส่งคนมาตรวจสอบสถานการณ์
คนพวกนี้มีพลังฝึกปรือไม่ธรรมดา คลื่นบนร่างของผู้นำกลุ่มคลุมเครือ ยากจะแยกแยะพลังที่เป็นรูปธรรม แต่ว่าอย่างน้อยก็มีระดับสามขั้นล่างของขอบเขตปฐมปฐพี แสดงให้เห็นว่าล้วนเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดในกองทัพ เกรงว่าจะเป็นแม่ทัพในกองทัพของทางด้านเขตจันทราสารทนั่นเอง
ลู่เซิ่งเรียบเรียงคำพูดเล็กน้อย “การต่อสู้เมื่อครู่เกิดขึ้นเพราะข้าพบไส้ศึกของพิภพมาร ศึกใหญ่ส่งผลกระทบต่ออาณาเขตรอบๆ ถ้ามีเรื่องราวใด ให้ไปหาข้าที่สำนักพันอาทิตย์ในเขตจันทราสารท” เขาทิ้งคำพูดไว้ ก่อนจะบินไปยังเขตจันทราสารทต่อ
ยอดฝีมือหลายคนจากทัพอาทิตย์เจิดจ้าในป่าเขาด้านล่างรอจนเขาบินจากไป จึงค่อยๆ ลุกขึ้น
“เมื่อครู่เสียงดังมาก เครือข่ายสังเกตการณ์ที่อยู่ใกล้ๆ ถูกฉีกแหลก ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เกรงว่าคนผู้นี้จะเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่มีสถานะและตำแหน่งสูงสุดขีดในจังหวัดไร้เหมันต์เช่นกัน” บุรุษวัยกลางคนที่เป็นผู้นำกลุ่มกล่าวเสียงทุ้ม
“คนผู้นี้บอกว่าตัวเองเป็นเจ้าสำนักกิตติมศักดิ์ของสำนักพันอาทิตย์ ตำแหน่งเจ้าสำนักกิตติมศักดิ์ของจังหวัดไร้เหมันต์ว่างมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ เหตุใด…” อีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างสงสัย
“คงจะเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้” บุรุษวัยกลางคนส่ายหน้า “เรื่องของบุคคลยิ่งใหญ่เหล่านี้ไม่ได้อยู่ในการดูแลของพวกเรา ข้าเห็นหยกแขวนเมื่อครู่แล้ว เป็นสัญลักษณ์ของสำนักพันอาทิตย์ในจังหวัดไร้เหมันต์แน่ มิหนำซ้ำยังมีแค่บุคคลยิ่งใหญ่เท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์พกพา อีกประเดี๋ยวสอบถามสำนักพันอาทิตย์ดู เดี๋ยวก็รู้ว่าเป็นจริงหรือปลอม ไปเถอะ ไปดูที่เกิดเหตุก่อน”
“ฮ่า พอดีทีเดียว ข้อมูลที่กรมสังข์เขียวประกาศเป็นการเร่งด่วนบอกว่า ที่นี่เกิดปฏิกิริยาการปะทะกันของพลังที่ยิ่งใหญ่ในระดับปฐมปฐพีขึ้นไป ซึ่งอย่างน้อยก็อยู่ในระดับผู้ถืออาวุธ ข้าเหล่าจงอายุปูนนี้ ยังไม่เคยเห็นสถานที่เข่นฆ่ากันของระดับผู้ถืออาวุธมาก่อน ครั้งนี้ต้องตั้งใจชมหน่อยแล้ว”
“ไปได้แล้ว อย่าพูดมาก!”
พวกเขาจากไปอย่างรวดเร็ว ตรงดิ่งไปยังอาณาเขตที่ลู่เซิ่งสู้กับซั่งหยางเฟย
…
พิภพมาร ต้นมารดาเสมอเมฆา
ต้นมารดาเสมอเมฆาที่มหึมาสุดเปรียบปาน เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิเหวยลาถือกำเนิด รอบๆ ต้นมารดาที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างใหญ่หลายพันหมี่มืดมิด รากไม้สีดำนับไม่ถ้วนงอกขึ้นบนพื้นที่อยู่ใกล้ๆ ปรากฏให้เห็นบนผิวดิน รากไม้มีไข่สีดำรูปแบบต่างๆ ที่มีขนาดไม่เท่ากันติดอยู่เต็มไปหมด
อาณาเขตหนึ่งในนี้ที่อยู่ห่างจากต้นมารดาสามรากไม้ ไข่สีดำทรงรีสูงเท่าหนึ่งคนครึ่งใบหนึ่งโยกไหวก่อนจะดิ้นหลุดจากรากไม้ แล้วกลิ้งไปด้านข้าง ผิวไข่สีดำแตกเป็นช่องเล็กๆ อย่างช้าๆ
พรวด
มือที่มีเล็บแหลมข้างหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านใน แทงทะลุผิวไข่สีดำทั้งใบ
เป็นมือขาวผ่องนวลเนียน ไม่ใช่โครงสร้างหยาบๆ ของสิ่งมีชีวิตในพิภพมาร แต่เหมือนสตรีชาวมนุษย์มากกว่า
เสียงแคว่กดังขึ้นเมื่อไข่สีดำแยกออกไปสองด้านและฉีกขาดโดยสมบูรณ์ ของเหลวกึ่งโปร่งแสงจำนวนมากด้านในไหลซึมออกไปรอบๆ ก่อนจะเจิ่งนองอยู่บนพื้น ไม่นานก็ถูกดินสีดำอันอุดมสมบูรณ์ที่อยู่ในพุ่มหญ้าดูดซับเข้าไปอย่างรวดเร็ว
……………………………………….