ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 39 ล้อเล่นกับความรู้สึก (3)
ลู่เซิ่งเดินไปยังห้องที่เคยไปก่อนหน้าตามความทรงจำ
เข้าโถงใหญ่ ขึ้นด้านบนจากบันไดไม้ซ้ายมือ
เดินถึงประตูห้อง มองโคมไฟแดงด้านบน รู้สึกขนลุกเล็กน้อย
ฟิ้ว…
ทันใดนั้นลมเย็นหอบหนึ่งพัดผ่าน ลู่เซิ่งพลันหันหลังกลับ เหมือนสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างลอยผ่านหลังตัวเองไป
‘จวนม้วนมนุษย์ในเมื่อพินาศแล้ว ตามเหตุผลไม่สมควรมีภูตผีมาตามหาเราอีก หรือว่าเป็นเราประสาทไปเอง’ ลู่เซิ่งไม่เห็นสิ่งใด จิตใจสงบลงเล็กน้อย หมุนตัวกลับมายื่นมือผลักประตูห้องด้านหน้า
เอี๊ยด
ประตูห้องค่อยๆ เปิด แสงสีแดงด้านในสว่างไสวเพราะด้านในแขวนโคมไฟแดงสองใบไว้
“มีคนหรือไม่” ลู่เซิ่งเรียกอีกครั้ง ค่อยๆ เดินเข้าไป…
“มี…”
ทันนั้นมีเสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังลู่เซิ่ง
เขาหมุนตัวกลับ เห็นหญิงชรานางหนึ่งถือโคมสีไฟขาวกำลังลืมตาโตยืนนิ่งอยู่ที่ประตูห้อง
รอยย่นบนใบหน้าของหญิงชราผู้นี้เหมือนกับเปลือกไม้แก่ ทับกันเป็นชั้นๆ ขณะที่ถือโคมไฟ ดวงตาชราฝ้าฟางของนางมองมาที่ลู่เซิ่ง
“น้องชาย ท่านไม่ควรขึ้นเรือมาเวลานี้”
“ข้าทำของหล่นไว้ที่นี่ เป็นถุงข้างเอว จึงกลับมาหา” ลู่เซิ่งฝืนยิ้ม
“แบบนี้เอง… งั้นท่านเข้ามาหาเถอะ หาดีๆ” หญิงชราใบหน้าไร้อารมณ์ หมุนตัวถือโคมไฟเดินไปยังห้องอื่นอย่างไร้สุ้มเสียง
ลู่เซิ่งมองส่งนางจากไป จนกระทั่งหญิงชราหายไปจากประตูห้อง ค่อยเดินไปปิดประตู
เขาหันกลับไปดูของตกแต่งภายในห้อง
โคมไฟแดงขนาดใหญ่สองใบที่ก่อนหน้านี้ไม่มี แขวนอยู่บนกำแพงด้านหนึ่งของห้อง แสงสว่างสีแดงเจิดจ้าย้อมห้องเป็นสีแดงสด
ลู่เซิ่งลองค้นหาตรงตำแหน่งที่ตนเคยนั่ง เจอถุงข้างเอวที่หล่นอยู่ตรงร่องแยกข้างเบาะนั่งจริงๆ
เขาเปิดถุงข้างเอวออกดู ในถุงหนังสีน้ำตาลเข้ม ตั๋วทอง ตั๋วเงิน และห่อกระดาษเล็กห่อผงที่ผีล่อลวงทิ้งไว้ล้วนอยู่ครบ
ปิดถุงข้างเอว มันไว้ที่เอวอีกครั้ง ก็ลุกขึ้นมามองดูในห้องอีกหน แสงในโคมไฟนั้นคล้ายแดงกว่าเดิมเล็กน้อย
ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่งพรั่งพรูออกมาจากส่วนลึกของจิตใจอย่างเงียบเชียบ
‘ต้องไปแล้ว’ ลู่เซิ่งสาวเท้าไปถึงประตู ยื่นมือไปดึงประตูห้องออก
แต่ประตูถึงกับไม่ขยับแม้แต่น้อย!
ลู่เซิ่งแตกตื่น เพิ่มแรงมือ ประตูห้องที่เดิมทีออกแรงเบาๆ ก็ดึงได้ ตอนนี้เหมือนมีของที่หนักมากบางอย่างขวางไว้ แม้เป็นแรงของลู่เซิ่งในตอนนี้ ได้แต่ค่อยๆ ฝืนดึงออกเป็นร่องแยกสายหนึ่ง
‘ไม่ถูกต้อง!’ กระดิ่งเตือนภัยดังขึ้นในใจของลู่เซิ่ง ภายใต้การโคจรปราณภายใน จึงออกแรงอย่างดุดัน
ปัง!
ประตูถูกดึงเปิดออกโดยแรง มือจับที่เป็นไม้ถูกดึงจนหักออก ลู่เซิ่งพุ่งออกมาดุจเกาทัณฑ์ วิ่งลงจากเรือไปตามระเบียงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก้าวเท้าสองสามก้าวถลันออกจากทางที่คดเคี้ยว
ฟิ้ว
เขาสะกิดปลายเท้า ยืมแรงจากเชือกป่านหลายม้วนที่ร้อยผ่านเรือสำราญ พุ่งตัวลงบนริมแม่น้ำ
ถึงเขาจะไม่เคยฝึกวิชาตัวเบามาก่อน แต่ว่าดาบพยัคฆ์ดำกับดาบนางแอ่นถลาลมต่างมีท่าเท้าอันเป็นพื้นฐาน จึงเร็วกว่าคนทั่วไปไม่น้อย
ลงจากเรือแล้ว ลู่เซิ่งหันกลับไปมองเรือสำราญอีกครั้ง
เรือสำราญยังเป็นเรือสำราญลำนั้น ด้านบนยังคงไร้ผู้คน แต่ว่ากระดิ่งเตือนภัยในใจของลู่เซิ่งกลับเหมือนลดธงหยุดกลอง แสดงว่าสัมผัสถึงการคุกคามไม่ได้แล้ว
เขามองเรือสำราญอย่างล้ำลึก หมุนตัววิ่งตะบึงเข้าไปในเมือง
อึดใจเดียวก็กลับมาถึงบ้าน ลู่เซิ่งเปิดประตู พลิกมือลั่นดาล ในห้องมืดมิดเย็นเยียบ ไม่มีกลิ่นอายผู้คน
เขาค่อยๆ เดินไปถึงหน้าโต๊ะหนังสือ หยิบหินเหล็กไฟออกมาเคาะแกร่กๆ จนเกิดสะเก็ดไฟ จุดเทียนให้สว่าง
แสงเทียนเหลืองมัวซัวส่องใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาจนอึมครึมไม่ชัดเจน
‘เรือสำราญลำนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับภูตผี คิดไม่ถึงจวนม้วนมนุษย์จากไปแล้ว จะเจอเรือสำราญแดงอีกลำหนึ่ง ตอนแรกนึกว่าจะพักผ่อนให้สบายๆ สักสองวัน ค่อยเริ่มฝึกกำลังภายในใหม่ ตอนนี้ดูแล้วไม่จำเป็นต้องรออีก ต้องเตรียมตัวทุกอย่างเท่าที่ทำได้ก่อน’
ลู่เซิ่งออกห่างโต๊ะหนังสือมาถึงเตียงภายในห้อง ลากหีบเหล็กที่หนักอึ้งใบหนึ่งออกมาจากใต้เตียง หีบเหล็กถูกยึดกับพื้นด้วยรางเหล็ก คนทั่วไปยากโยกย้าย
เขาหยิบกุญแจเล็กๆ ออกมาจากถุงข้างเอว เสียบเข้าตัวหีบแล้วบิด เสียงแกร่กดังขึ้นเมื่อเปิดมันออก
ภายในหีบวางหนังสือเล่มเล็กห่อด้วยผ้าสีน้ำตาลอ่อนสองเล่ม
ลู่เซิ่งหยิบออกมาถือไว้ในมือเล่มหนึ่ง แล้วปิดหีบลงสลักไว้
‘เคล็ดสนหนึ่งสำนึก’
บนหนังสือเขียนอักษรตัวใหญ่ดั่งมังกรเหิน หงส์เริงระบำอย่างชัดเจนไว้ห้าตัว
ลู่เซิ่งพลิกเปิดหน้าแรกเบาๆ หลังจากโครงหลักท่อนนั้นที่อ่านก่อนหน้านี้ ก็เป็นภาพต้นสนงอกบนหน้าผา
เขาเพ่งมองภาพนั้นอย่างละเอียดสักพักหนึ่ง ก็ปิดหนังสือเบาๆ ขึ้นเตียงนั่งขัดสมาธิ เริ่มตั้งสมาธิ
วิชาหล่อเลี้ยงชีวิตที่ฝึกฝนติดต่อกันมานานขนาดนี้ อาจเป็นเพราะวิชากำลังภายในที่เขาฝึกก่อนหน้ามีความขัดแย้งกัน ทุกๆ ครั้งที่รู้สึกว่าจะสร้างความรู้สึกถึงปราณออกมาได้ ก็จะถูกวิชากระเรียนหยกกลืนกินไปในพริบตา
ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ทันไรวิชากระเรียนหยกก็เร่งความเร็วการโคจรขึ้นมาทำลายสภาพของเคล็ดสนหนึ่งสำนึกทิ้งอย่างรวดเร็ว กระเรียนเซียนที่กระพือปีกกำลังบินเหมือนกับส่งเสียงร้องยาวในร่างกายเขา
“เฮ้อ…” ลู่เซิ่งลืมตาขึ้น ‘วิชากำลังภายในขัดแย้งกัน หรือว่าจะติดขัดแบบนี้ ไม่อาจมีการพัฒนาใดๆ ได้อีก’
ภายใต้ความหงุดหงิดในใจ เขาคว้าถุงข้างเอวมาบีบเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว ตอนนิ้วบีบโดนห่อกระดาษที่ห่อผงใบนั้นก็พลันสับสนเล็กน้อย
‘ห่อกระดาษนี้… ที่ห่อไว้คือผงส่วนหนึ่งที่ผีล่อลวงตัวก่อนหน้าเหลือไว้กระมัง’
เขาเปิดห่อกระดาษใบนั้นออกเบาๆ ด้านในถึงกับเป็นผงสีดำหย่อมหนึ่ง แต่เขาคล้ายจำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่สีนี้
‘ตอนแรกที่เราเปิดความสามารถได้ มีความเกี่ยวข้องกับหินหรือหินไข่ห่านที่ผีน้ำเหลือไว้ก้อนนั้น ดูแล้ว หรือว่าเรา…’ ลู่เซิ่งมองผง ในใจเกิดความคิดแปลกใจสายหนึ่งเลือนราง
‘ดีปบลู!’
เขานึกเงียบๆ
ฟุ่บ!
กรอบสีน้ำเงินเข้มโผล่ขึ้นมาตรงหน้าเขาทันที
ลู่เซิ่งมองกรอบเครื่องมือปรับเปลี่ยน ด้านในยังคงไม่มีตัวเลือกเคล็ดสนหนึ่งสำนึก ลังเลเล็กน้อย แล้วมองผงนั้นอีก
เขายื่นมือเอียงห่อกระดาษ เทผงด้านในไว้กลางฝ่ามือตัวเองจนหมด
ตั้งแต่ได้ผงนี้มา เขาก็ไม่กล้าให้มันสัมผัสผิวของตัวเองมาโดยตลอด เพื่อป้องกันคุณสมบัติกัดกร่อนหรือพิษอันใด แต่ตอนนี้ในเมื่อไร้แผนการให้ใช้ ทดลองสักหน่อยก็ไม่เป็นไร อย่างมากสุดเกิดเรื่องก็รีบเอามันไปทิ้ง
จากนั้นเขาก็กัดนิ้วชี้อีกข้างหนึ่งอย่าแรง ทำให้ปลายนิ้วเป็นแผล บีบเลือดหยดหนึ่งลงบนผงนั้น
ซี่…!
เป็นอย่างที่คาด หยดเลือดนั้นเพิ่งสัมผัสผง ก็มีควันขาวหลายสายลอยขึ้นมา ไม่ทันไร ผงสีดำก็กลายเป็นผงสีขาว เหมือนกับสีลอกออก
ลู่เซิ่งรู้สึกว่ามีลมปราณเย็นๆ หลายสายเริ่มไหลจากฝ่ามือเข้าไปในร่าง
‘จะมีผลทำให้การเรียนรู้วรยุทธ์ลดลงหรือไม่’
ทันใดนั้น แทบเป็นในเวลาเดียวกัน ลมปราณเย็นเยียบสายนั้นก็ถูกอะไรบางอย่างในร่างกายดูดจนหายไปในชั่วพริบตา บนเครื่องมือปรับเปลี่ยนปรากฏกรอบข้อความขึ้นมา
‘ว่าแล้ว!’ ลู่เซิ่งยินดี ความสามารถนี้ปรากฏขึ้นจริงๆ
ตอนพบว่าวิชาดาบพยัคฆ์ดำปรากฏระดับที่สี่ก่อนหน้านี้ ก็มีความสงสัยอยู่บางส่วนแล้ว เครื่องมือปรับเปลี่ยนนี้อาจเรียนรู้วิชาผ่านคลังความรู้ในสมองของเขา ดังนั้นจึงบังเกิดระดับที่สี่ของดาบพยัคฆ์ดำ
แต่ภายหลังไม่ว่าเขาเรียนวิชาใดๆ ก็ไม่เคยปรากฏสถานการณ์อย่างดาบพยัคฆ์ดำอีก จึงเคลือบแคลงอยู่ในใจ
ตอนนี้ดูแล้ว อาจเป็นเพราะขาดของเหลือจากภูตผี เขาจึงไม่มีวิธีเรียนรู้วรยุทธ์ไประดับที่สูงกว่า
‘ตอนแรกอาศัยหินไข่ห่านที่พบครั้งตระกูลสวีถูกล้างก้อนนั้นเปิดเครื่องมือปรับเปลี่ยน ครั้งนี้อาศัยผงที่ผีล่อลวงตายแล้วเหลือทิ้งไว้ ดูเหมือนความสามารถของเราจะแยกความเกี่ยวข้องกับภูตผีไม่ได้จริงๆ’ ลู่เซิ่งหัวเราะฝาดในใจ
ขณะมองดูกรอบข้อความที่โผล่ขึ้นด้านหน้าตัวเอง ลู่เซิ่งสงบใจ
‘ดำเนินการเรียนรู้วรยุทธ์หรือไม่’
‘ใช่’
หลังจากยืนยันตัวเลือก ลู่เซิ่งก็มีความรู้สึกอัศจรรย์อย่างรวดเร็ว เหมือนกับความสามารถที่ร่ำเรียนทั้งหมดในเครื่องมือปรับเปลี่ยนล้วนดำเนินการเรียนรู้และหลอมรวมได้
ความสามารถของวรยุทธ์เหล่านี้ต่างเป็นความรู้ที่เขาครอบครองเองสัมผัสเอง เหมือนกับการจัดคลังความรู้ในห้วงสมองของตัวเองให้เป็นระบบระเบียบ จากนั้นจึงเลือกแกนกลางที่แตกต่างกันมาสร้างวรยุทธ์ใหม่
เหมือนกับการใช้ไม้ก่อสร้างบ้าน เขามีตัวเลือกแบบบ้านที่แตกต่างกันหลายแบบ
ด้านหลังรายชื่อวรยุทธ์บนเครื่องมือปรับเปลี่ยนปรากฏปุ่มกดที่เลือกได้หลายปุ่ม
วิชาไหนเรียนรู้ได้ วิชาไหนไม่ได้ ชัดเจนยิ่ง
ลู่เซิ่งมองจากบนลงล่างอย่างละเอียด
‘ถ้าหากใช้วิชาทมิฬพิฆาตเป็นหลักคอยดูดซับระบบอื่นได้ นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด… และสามารถใช้วิชากระเรียนหยกเป็นองค์ประกอบหลัก ยังใช้ดาบพยัคฆ์ดำเป็นหลักได้… ฝ่ามือทำลายใจก็ไม่เลวเช่นกัน’ ลู่เซิ่งลังเลอยู่บ้าง แต่ว่าไม่ทันไรก็จนปัญญาเล็กน้อย ‘น่าเสียดาย จำนวนผงนั่นน้อยไปแล้ว สิ่งที่เลือกได้มีแค่ไม่กี่ตัวเลือกนี้’
เขามองเครื่องมือปรับเปลี่ยน มีแค่วิชากระเรียนหยกกับวิชาดาบพยัคฆ์ดำที่เลือกปุ่มกดได้
‘ได้แต่เลือกสองวิชานี้หรือ…’
เขาใช้ความคิด กดลงบนปุ่มด้านหลังวิชากระเรียนหยก
‘วิชากำลังภายในจึงเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด’
หลังจากเลือกแล้ว ปุ่มทั้งหมดก็หายไป เครื่องมือปรับเปลี่ยนเริ่มค่อยๆ พร่ามัว ลู่เซิ่งรู้สึกว่าความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับวิชากระเรียนหยกจำนวนมากในห้วงสมองเคลื่อนไหวขึ้นมา ประสานกับเนื้อหาคัมภีร์ที่จดจำไว้ในความทรงจำ เริ่มเสียดสีกระแทกกันอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็เกิดแรงบัลดาลใจใหม่ๆ ขึ้นมานับไม่ถ้วน
ช่วงเวลาสิบลมหายใจสั้นๆ
ลู่เซิ่งหลับตาลง แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาใหม่ สภาวะเย็นยะเยือกสายใหม่กระจายอยู่บนร่างของเขา
วิธีการใช้พลังของวิชากระเรียนหยกกับดาบพยัคฆ์ดำหลอมรวมกันโดยสมบูรณ์ เครื่องมือปรับเปลี่ยนใช้คลังความรู้ของลู่เซิ่ง กระทำการเรียนรู้วิชากระเรียนหยกในระดับที่สูงกว่า หลอมรวมทักษะการใช้พลังของดาบพยัคฆ์ดำเข้าไป กลายเป็นวิชากำลังภายในชนิดระเบิดที่แข็งแกร่งกว่าวิชากระเรียหยกในตอนแรก
วิชากำลังภายในใหม่นี้ ภายใต้การรักษาพลังความอึดและพลังฟื้นตัวอันเหี้ยมหาญในตอนแรก ยังเพิ่มพลังระเบิดที่มีพลังทำลายล้างมาด้วย
‘วิชากำลังภายในใหม่นี้เรียนรู้ทักษะการใช้พลังของดาบพยัคฆ์ดำ ถึงกับเรียนรู้วิชากำลังภายในหล่อเลี้ยงชีวิตจนกลายเป็นวิชากำลังภายในชนิดต่อสู้ที่มีคุณสมบัติทำลายล้าง…การเรียนรู้นี้ร้ายกาจจริงๆ!” ลู่เซิ่งสะท้อนใจ ‘ถ้ามีผงมากกว่านี้หน่อย หรือว่ามีหินไข่ห่านซึ่งผีน้ำเหลือไว้เหมือนครั้งก่อนมากหน่อย บางทีเรายังจะสามารถเรียนรู้วิชาที่ระดับสูงกว่าเดิมอย่างวิชาทมิฬพิฆาตได้’
สัมผัสวิชากำลังภายในใหม่ คล้ายกับความสามารถฟื้นฟูในตอนแรกของวิชากระเรียนหยกก็แข็งแกร่งมากขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของพลังระเบิด
‘นี่ไม่นับว่าเป็นวิชากระเรียนหยกอีกแล้ว ในเมื่อหลอมรวมทักษะการควบคุมพลังของดาบพยัคฆ์ดำได้ ต่อจากนี้ให้ชื่อเป็นวิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยกก็แล้วกัน’
เขาคิดแบบนี้ในใจ ทันใดนั้นชื่อของวิชากระเรียนหยกที่แสดงบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนก็ค่อยๆ กลายเป็นวิชาพยัคฆ์ดำกระเรียนหยก
………………………………………….