ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 399 การต่อสู้ลับ (1)
บทที่ 399 การต่อสู้ลับ (1)
“ถ้าหากเจ้าเชื่อข้า…ข้าจะจัดการเอง” กระบี่ธารธารากล่าวอย่างช้าๆ
“เจ้าหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา แม้กระบี่ธารธาราจะเป็นอาวุธเทพระดับรองที่เขาควบคุมในมือ แต่เขาก็ไม่ได้เชื่อใจกระบี่เล่มนี้
“ช่างเถอะ ข้าจะจัดการเอง การตามหาไส้ศึกมีวิธีไม่กี่วิธีหรอก” เขาไม่ใช่คนธรรมดาที่ข่าวสารถูกปิดกั้น บนโลกในชาติก่อนมีสิ่งใดในอินเทอร์เน็ตที่ไม่เคยแตะต้องมาก่อนบ้าง ด้วยความปราดเปรียวทางความคิดของเขาในตอนนี้ การตามหาไส้ศึกสักคนถือว่าง่ายดาย
“…ก็ได้…แต่ว่าตามความเห็นของข้า ฝีมือของอีกฝ่ายหยาบกระด้าง ไม่แน่ว่าจะไม่มีความคิดลงมือโดยตรง ลู่เซิ่งเจ้าควรวางแผนไว้เนิ่นๆ จะดีกว่า” กระบี่ธารธาราเตือนเบาๆ
ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่ากระบี่ธารธาราคิดอะไรในใจ แต่ลู่เซิ่งย่อมไม่คิดว่าเพียงแต่จัดการไส้ศึกแล้วจะจบเรื่อง
หลายวันต่อมา ลู่เซิ่งคอยคุ้มครองครอบครัว และเริ่มตรวจสอบปัญหาร่างกายของคนภายในทั้งหมด โดยอ้างเรื่องความปลอดภัยของลู่เฉวียนอันผู้เป็นบิดา ด้วยชื่อเสียงของของเขาในเวลานี้ บวกกับสถานะประมุขตระกูลลู่ คำสั่งเพิ่งถ่ายทอดไปได้ไม่นาน คนของตระกูลลู่ สำนักมารกำเนิด และสำนักอาทิตย์ชาดก็ทยอยมาถึง
ลู่เซิ่งจัดตั้งโถงเล็กแห่งหนึ่ง แล้วให้คนเข้าไปไปโถงเล็กทีละห้าคน เพื่อให้เขายืนยันตัวและวางข่ายกระเรียนหยิน
จักรพรรดิมารเหวยลากดดันอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขาไม่ได้ติดต่อกับระดับสุดยอดของสามสำนักอย่างแท้จริง อีกทั้งเบื้องหลังยังไม่มีเจ้าแห่งอาวุธคุ้มครอง อย่างไรก็มีความกังวลอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งส่งข่ายกระเรียนหยินเข้าไปในร่างของคนในครอบครัวและคนในสำนัก พร้อมทั้งสำรวจปฏิกิริยาของคนทุกคน
ยามบ่าย ใช้เวลาไปสองชั่วยามกว่าๆ เขาก็พบกับเป้าหมายหลักระดับสูงทั้งหมดสามคน
เจอไส้ศึกสามคนที่ไม่ทราบเป็นของขุมกำลังใด
สามคนนี้ส่งข่าวให้ขุมกำลังของตัวเองอย่างอดรนทนไม่ไหว หลังจากออกจากห้อง ผลสุดท้ายก็ถูกข่ายกระเรียนหยินตรวจพบ ถูกลู่เซิ่งเจอตัวอย่างง่ายดาย
แต่ว่าหลังจากตรวจสอบสถานะของคนหนึ่งในนี้ ลู่เซิ่งก็แจ้งลู่เฉวียนอันผู้เป็นบิดาในทันที ทั้งยังให้คนของตระกูลลู่ทุกคนมารวมตัวกัน
“ไส้ศึกหรือ” ลู่เฉวียนอันมองลู่เทียนหยานที่วิงวอนขอความปรานีอยู่เบื้องหน้า รู้สึกคับข้องใจจนแทบกระอักเลือดออกมา
ตอนนี้ตระกูลลู่เดินทางไกลพันลี้มาถึงต้าอิน ยังไม่ทันได้ตั้งหลักดี เด็กน้อยผู้นี้กลับเป็นหนอนบ่อนไส้ กลายเป็นเส้นสายให้กับคนอื่นหรือนี่
“ว่ามา! เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?” ลู่เฉวียนอันโกรธจนตัวสั่น ชี้ลู่เทียนหยางพลางตวาดก้อง
ลู่เทียนหยางตัวสั่นเทา หน้าตาเหยเก ในที่สุดก็เล่าความลับของตนออกมา
“ท่านพ่อ…ข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน…พวกเขาขู่ข้า…ข้าหาทางออกไม่เจอ จึง…จึง…” เขาเล่าเรื่องราวที่ว่าเหตุใดตนจึงเป็นเส้นสายอย่างตะกุกตะกัก
เขาก็แค่มีเรื่องลับๆ กับผู้อาวุโสคนหนึ่งในบ้าน นึกไม่ถึงว่าเพียงแค่ครั้งเดียวก็ถูกพบความจริง เขากับผู้อาวุโสท่านนั้นถูกกำจุดอ่อนไว้ ตอนนี้เขาก็แค่ใส่ยาปลุกกำหนัดทั่วไปในชาของลู่เฉวียนอันเท่านั้น แต่ผู้อาวุโสท่านนั้นถูกพวกเขาสั่งให้ทำอะไรก็ไม่รู้แล้ว
ลู่เทียนหยางตกใจเช่นกัน สิ่งที่เขานึกว่าเป็นยาปลุกกำหนัดกลับเป็นพิษที่ร้ายแรงสุดเปรียบปาน เห็นได้ชัดมากว่าอีกฝ่ายหลอกลวงเขา และอีกคนหนึ่งนั้น…
“มันเป็นใคร! บอกมา!” ลู่เฉวียนอันสิ้นหวังในตัวลูกชายผู้นี้โดยสิ้นเชิงแล้ว ตอนนี้ยิ่งเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้า[1] จึงชี้ลู่เทียนหยางพลางกล่าวเสียงสั่น
“เป็น…เป็นมารดาอวี่…” ลู่เทียนหยางก้มหน้า พร้อมทั้งเหลือบมองลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าซีดขาว สุดท้ายก็บอกชื่อคนที่แอบได้เสียกับเขา
“ใครนะ!?” อยู่ๆ คนที่อยู่รอบๆ ก็ปั่นป่วน คนสายตรงของตระกูลลู่พากันลุกพรวดด้วยความตกใจ
มารดาอวี่ก็คือหวังเหยียนอวี่ หรือก็คืออนุคนที่สามของลู่เฉวียนอัน ลู่เซิ่งยังต้องเรียว่ามารดาสาม นับตั้งแต่ลูกชายนางตายไป ก็คลุ้มๆ คลั่งๆ กลายเป็นเงียบขรึม นึกไม่ถึง…นึกไม่ถึงว่า…
“หวังเหยียนอวี่เล่า” ลู่เฉวียนอันพูดเสียงเฉียบขาด สายตากวาดมองสตรีที่อยู่รอบๆ ถึงกับมองไม่เห็นหญิงงามที่น่าสะอิดสะเอียนผู้นั้น
“ก่อนหน้านี้พามารดารองของลุงใหญ่ไปไหว้พระที่วัดเจ้าค่ะ ตอนนี้ยังไม่กลับมา” ลู่อีอีก้าวออกมากล่าวเสียงเร่งร้อน
“อวี้เหนียงก็ไปด้วยเหมือนกันหรือ” ลู่เฉวียนอันสีหน้าผกผัน
ลู่เซิ่งสีหน้าเย็นชาขึ้นเช่นกัน มีใครไม่รู้บ้างว่าคนที่เขารักมากที่สุดก็คือมารดารองหลิวชุ่ยอวี้ ตอนนี้อีกฝ่ายลงมือกับมารดารองโดยตรงแล้ว
“ช่างเถอะ ข้าจะไปเอง พวกท่านอยู่ที่บ้าน” เขาลุกขึ้น รู้ว่าครั้งนี้ถูกลอบเล่นงานก่อน แผนการอีกฝ่ายไม่นับว่าดี แต่ให้ความสำคัญกับความเร็ว หากเร็วพอความก็จะไม่แตก และต่อให้ความแตก ก็จะปิดบังได้อย่างรวดเร็ว
“เจ้าเซิ่ง…” ลู่เฉวียนอันเป็นห่วงเล็กน้อย
“ไม่ต้องห่วง ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ” ลู่เซิ่งปลอบ ตั้งแต่เดินในวิถีนี้ เขาก็เป็นฝ่ายครองความได้เปรียบและใช้ความเข้มแข็งโจมตีอ่อนแอมาโดยตลอด ตอนนี้กลับถูกคนล่อเข้ากับดักเป็นครั้งแรก
“ระวังตัวด้วย ถ้าไม่ไหวจริงๆ…ก็จงอย่าลังเล ความปลอดภัยของเจ้า…เป็นอันดับแรก” ลู่เฉวียนอันอดเตือนเบาๆ ไม่ได้ นึกถึงความผูกพันธ์ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมากับหลิวชุ่ยอวี้ ขอบตาก็เปียกชื้นขึ้น
“ข้าเข้าใจ พวกท่านพ่อรออย่างวางใจเถอะ” ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าสงบนิ่ง
เขาลุกขึ้นแล้วกวาดตามองทุกคนอย่างเงียบๆ รอบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากโถงเล็ก
“ผู้เฒ่าสือ ผู้เฒ่าอิ่ง ตามข้ามา”
“ขอรับ” ผู้เฒ่าสือกับราชาเงามืดขานรับพร้อมกัน
“วัดที่อยู่ใกล้ที่นี่ที่สุดมีแค่แห่งเดียวคือวัดจินถั่ว สวีชุย เรียกคนไปล้อมวัดจินถั่วเอาไว้ นอกจากนั้นให้ส่งคนไปแจ้งสำนักพันอาทิตย์ด้วย แค่บอกสถานที่กับผู้ส่งสารก็พอ”
“รับทราบ” สวีชุยรีบตอบ
ลู่เซิ่งสั่งการออกไปหลายๆ ด้านพร้อมกัน ให้คนของพรรคอาทิตย์ชาดและสำนักมารกำเนิดที่เพิ่งหยั่งรากในเขตจันทราสารททำงานเหมือนเครื่องจักรที่เรียบง่ายแต่รวดเร็ว
หลังจากสั่งการหน้าที่ทั้งหมด ลู่เซิ่งยังไม่ได้ไปวัดจินถั่วในทันที แต่กลับห้องนอนตัวเอง แล้วนั่งขัดสมาธิบนตั่งพร้อมกับหลับตา
ไม่นานร่างเขาก็กระเพื่อมเหมือนกับระลอกน้ำ แล้วหายไปจากที่เดิม
…
เขตถ่ายทอดความลับ
ใต้อาทิตย์อัสดง กลางป่าต้นเฟิง[2]สีแดงเลือดผืนใหญ่ ลู่เซิ่งเห็นคนสองคนที่เขานัดไว้ก่อนหน้า
สตรีคลุมหน้าสองคนที่สวมชุดคลุมยาวสีดำ ตรงขอบเสื้อคลุมมีลวดลายเส้นสายโลหิต
“ประมุขคฤหาสน์ลู่ คำสั่งเร่งด่วนใช้ได้แค่ปีละครั้ง ท่านรีบใช้แบบนี้ ถ้าหากไม่มีเรื่องสำคัญถึงขีดสุด จะได้รับการลงโทษลดตำแหน่งจากจอมอาวุโสทุกคน ท่านคิดให้ดี” สตรีคลุมหน้าคนหนึ่งในนี้ยังคงไม่ได้แสดงความเคารพต่อลู่เซิ่งแม้แต่น้อย
“ข้ายืนยันจะใช้คำสั่งเร่งด่วนในฐานะเจ้าสำนักกิตติมศักดิ์หนึ่งครั้ง” ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าราบเรียบ จักรพรรดิมารเหวยลารุกคืบทีละก้าวๆ เขาย่อมไม่ต่อสู้ด้วยตัวเองอย่างโง่เง่า
“ก็ได้ ท่านรู้ผลที่ตามมาก็ดีแล้ว” สตรีคลุมหน้าอีกคนพยักหน้า “พวกเราจะทำการติดต่อให้ท่าน”
“ขอบคุณท่านทูตทั้งสอง” ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะผ่านด่านง่ายขนาดนี้
…
เขตจันทราสารท วัดจินถั่ว
วัดที่ใหญ่ที่สุดในอาณาเขตใกล้ๆ พระซินหยวนซึ่งเป็นเจ้าอาวาสที่อยู่ด้านในเข้าใจพระธรรมปรุโปร่ง มีพลังฝึกปรือน่าตกตะลึง ถือว่ามีชื่อเสียงในเขตเช่นกัน
แต่ว่ายามบ่ายในเวลานี้ ศิษย์สำนักพันอาทิตย์กลุ่มใหญ่กับคนสวมอาภรณ์ดำที่ไม่รู้จักชื่ออีกกลุ่มได้ขวางอยู่หน้าประตูหลักสำหรับขึ้นลงเขาของวัดจินถั่วเอาไว้
คนทั้งสองกลุ่มแบ่งแยกกันชัดเจน แต่ก็ร่วมมืออย่างรู้กัน
เวลานี้ลู่เซิ่งกับเฉินจิ้งจือยืนอยู่บนบันไดหินคดเคี้ยวอันเก่าแก่ตรงใต้ตีนเขาคชทองของวัดจินถั่ว ยังมีเจ้าสำนักสองคนจากสำนักผูกวิญญาณและสำนักซ่อนธาตุอยู่ด้วย
ผู้นำของขุมกำลังที่ใหญ่ที่สุดของเขตจันทราสารทมามากกว่าครึ่งเป็นอย่างน้อย
“ประมุขคฤหาสน์ลู่ ท่านเรียกสำนักระดับเขตเช่นพวกเรามาอย่างเร่งด่วน ไม่ทราบว่ามีภารกิจอะไรหรือ” เจ้าสำนักซ่อนธาตุเป็นชายชราไว้เคราขาวที่ร่างกายผอมแห้ง ตอนแรกกำลังสร้างรูปค่ายกลลูกโซ่อยู่ในอารามของสำนัก ตอนนี้ถูกลู่เซิ่งเรียกมา จิตใจข่มความโกรธเอาไว้
วงค่ายกลนั้นขาดอีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว นึกไม่ถึงว่าพอถูกลู่เซิ่งเรียกมา ความพยายามมากกว่าครึ่งเดือนก็สูญสลายในพริบตา
“เจ้าสำนักว่านไม่ต้องรีบ อีกไม่นาน…อีกไม่นานจะมีการเคลื่อนไหวแล้ว หลังผู้แซ่ลู่ขึ้นเขา จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในครึ่งชั่วยามแน่ พวกท่านอย่าลืมส่งข่าวให้ทันเวลา” ลู่เซิ่งกำชับอย่างเรียบง่าย
คนอื่นต่างมองหน้ากัน ถ้าหากเป็นการต่อสู้ของระดับที่สูงยิ่งกว่าจริงๆ พวกเขามาก็ไม่มีประโยชน์ การเข่นฆ่าของระดับสูงขึ้นอยู่กับจำนวน ประสบการณ์ และทักษะของยอดฝีมือในระดับเดียวกัน ไม่ใช่จำนวนคน
คล้ายมองความไม่สบายใจของคนทั้งสองออก แต่ลู่เซิ่งก็ไม่อธิบาย ตอนนี้เขาเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของเขตจันทราสารท ที่นี่ไม่มีใครกล้าไม่ฟังคำสั่งของเขา
“เอาล่ะ ผู้แซ่ลู่ขึ้นเขาไปก่อน ขอให้ทุกท่านอย่าลืมการตกลงกันเมื่อก่อนหน้า” เขามองท้องฟ้า ไม่ถ่วงเวลาอีกต่อไป ก้าวเท้าขึ้นบันไดสีขาวอมเทาไปยังยอดเขาทีละก้าวๆ ทันที
พร้อมกับที่ฝีเท้าเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเร็วของลู่เซิ่งก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ต้นสนบนเขาส่งเสียงซ่าๆ เป็นระยะ เสียงลมกรีดอากาศ กิ่งใบกลุ่มใหญ่ใต้อาทิตย์อัสดงถูกฟัดจนส่งเสียงเสียดสีดังซู่ซ่า สองฟากข้างของบันไดหินเงียบสงัด ไม่มีเสียงร้องของนกและแมลง เหมือนกับฟ้าดินมีแค่เสียงฝีเท้าของลู่เซิ่งคนเดียวที่ดังสะท้อน
ตอนที่เดินตามบันไดหินที่คดเคี้ยวจนใกล้จะถึงสันเขา ลู่เซิ่งก็ชะงักฝีเท้าหยุดอยู่บนบันไดหินอย่างกะทันหัน ก่อนจะยกศีรษะมองไปด้านหน้า
ยามนี้บนบันไดที่อยู่สูงกว่าเขาเล็กน้อยมีบุรุษวัยกลางคนบุคลิกสุภาพ และมีจอนผมเป็นสีขาวคนหนึ่งยืนหันหลังให้เขา
“ท่านเป็นใครถึงจับครอบครัวของข้าและล่อข้ามาทีนี่ มีเป้าหมายอะไรกันแน่” ลู่เซิ่งไม่ได้ขู่ให้ปล่อยคน ในเมื่ออีกฝ่ายทราบถึงสถานะของเขา แต่ยังกล้าลงมือ มิหนำซ้ำยังวางแผนลงมือ เห็นได้ว่าสถานะเบื้องหลังไม่มีความสำคัญอะไร
เสื้อคลุมของบุรุษวัยกลางคนถูกลมพัดเบาๆ ไปทางขวา
“ลู่เซิ่งจากสำนักพันอาทิตย์หรือ ท่านรู้ไหมว่าภัยพิบัติใหญ่ใกล้กรายศีรษะแล้ว” เขาเอ่ยปาก โดยใช้ภาษาทางการของต้าอินที่สำเนียงทุ้มหนักแปร่งหู น้ำเสียงมีความเสียดาย
“ภัยพิบัติใกล้กรายศีรษะ? คำพูดขู่ขวัญนัก ทั่วหล้าในตอนนี้ คนที่ทำให้ข้าเจอเคราะห์ภัยได้มีจำนวนไม่เกินหนึ่งฝ่ามือ” ลู่เซิ่งหัวเราะอย่างเย็นชา “แต่ในนี้ต้องไม่มีท่าน”
“มีความมั่นใจ” ในที่สุดบุรุษวัยกลางคนก็ค่อยๆ หมุนตัวมา คนผู้นี้มีหน้าตาหล่อเหลาโดดเด่น หลังวานรเอวผึ้ง สองตาแสดงความเมตตาคล้ายสงสารเวทนามนุษย์อยู่ตลอดเวลา ทว่าตรงหว่างคิ้วของเขากลับวาดรูปตะขาบมีหางสองข้างสีม่วงเอาไว้
“น่าเสียดายที่…ดูเหมือนวันนี้อัจฉริยะอันดับหนึ่งของต้าซ่งจะต้องตายด้วยมือข้าแล้ว” บุรุษค่อยๆ ยื่นฝ่ามือขวาออกมา แสงสีม่วงจุดหนึ่งเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหายไปกลางฝ่ามือ เหมือนกับพายุลูกเล็กที่หมุนด้วยความเร็วสูง สายฟ้าแลบแปลบปลาบด้านในนั้น สภาพเหมือนก้อนพายุสีม่วงกลุ่มหนึ่ง
“คุยโวไม่รู้จักอาย!” ลู่เซิ่งยกมือขึ้นเช่นกัน งูมีปีกสีแดงเข้มสว่างขึ้นกลางหว่างคิ้ว เขาทราบระดับของอีกฝ่ายแล้ว ต้องเป็นจ้าวแห่งมารจากพิภพมารแน่ อีกทั้งยังไม่ใช่จ้าวแห่งมารทั่วไป ขณะจิตใจตื่นตระหนก เขาเกิดความสนใจและตื่นเต้นมากกว่า
สำเร็จเป็นอริยะเจ้ามาได้ระยะหนึ่ง เขายังไม่มีโอกาสต่อสู้กับคนอื่นๆ ด้วยพลังทั้งหมด อีกทั้งครั้งนี้ยังถูกขวางทางกลางป่า แสดงให้เห็นว่าพิภพมารเกิดความคิดสังหารเขาแล้ว
……………………………………….
[1] ไม่อาจหลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้า หมายถึง เจ็บใจหรือเสียดายที่สิ่งที่ตนหวังไม่เป็นไปดั่งที่ต้องการ
[2] ต้นเฟิง หมายถึง ต้นเมเปิ้ล