ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 402 ติดต่อ (2)
บทที่ 402 ติดต่อ (2)
“ผู้อาวุโส…เขตตะวันฉายอยู่ห่างจากเขตจันทราสารทของเราไม่ไกล น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า พวกเขาเจอภัยพิบัติมาร เกรงว่าที่นี่ก็คงเหลือเวลาอีกไม่นานเช่นกัน การขอความช่วยเหลือไปยังนครจังหวัดย่อมส่งไปแล้วเช่นกัน แต่ว่าขุมกำลังสนับสนุนที่รวดเร็วที่สุดได้แต่ขอจากทางเราเท่านั้น” เฉินจิ้งจือกล่าวอย่างจนใจ
“มิหนำซ้ำ ก่อนหน้านี้คุณชายเซี่ยเฉิงเซวียนแห่งตระกูลเซี่ยได้ออกเดินทางไปช่วยเหลือพี่สาวของเขา และได้ส่งข่าวกลับมาในระหว่างทางว่า มีมารเริ่มรวมตัวใกล้ๆ เขตจันทราสารทของพวกเราแล้ว”
ลู่เซิ่งรับจดหมายมากวาดตาอ่านพร้อมกับใคร่ครวญเล็กน้อย ตอนนี้เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของเขตจันทราสารท การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของจ้าวแห่งมารควบคุมจิตใจเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ถูกกรมสังข์เขียวรายงานการค้นพบก็อยู่เหนือความคาดหมายแล้ว ตอนนี้แม้แต่การปรากฏตัวของมารก็ยังเป็นคุณชายตระกูลใหญ่คนหนึ่งพบโดยบังเอิญ นี่มีความหมายลึกซึ้งแล้ว… “ความหมายของจิ้งจือคืออะไร…”
เฉินจิ้งจือผุดสีหน้าเคร่งขรึม “เกรงว่ากรมหยินหยางกับกรมสังข์เขียวจะเกิดปัญหาแล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้กลับไม่มีการส่งข่าวแม้แต่น้อย จิ้งจือบังอาจขอให้เจ้าสำนักลู่ไปยังเขตถ่ายทอดความลับเพื่อแจ้งสาขาใหญ่ให้ช่วยเหลือประชาชนหลายสิบหมื่นคนทั่วทั้งเขตจันทราสารทจากภัยพิบัติด้วย!”
เขาพูดพลางยกมือขึ้นสูงแล้วโค้งตัวลงต่ำ
ภัยพิบัติมาร!?
ลู่เซิ่งพลันฉุกใจได้ หมอกในใจสลายไปอย่างรวดเร็ว เขาค่อยทราบว่าเหตุใดเซียวจื่อจู๋จึงเพียงส่งร่างหยินมาแค่ร่างเดียว คงเพราะต้องการหยั่งเชิงเท่านั้น เกรงว่าแผนการลับที่แท้จริงจะเป็นภัยพิบัติมารในครั้งนี้
ไม่เพียงทำลายเขาเท่านั้น ยังต้องการทำลายเขตจันทราสารทกับเขตตะวันฉายเพื่อขยายอาณาเขตของขุมกำลังทัพมารออกไปในเวลาเดียวกัน
“ข้าจะลองไปดู” ในเมื่ออีกฝ่ายมีแผนการแบบนี้ ลู่เซิ่งก็เกิดลางสังหรณ์ร้าย หรือว่าพิภพมารจะไม่มีวิธีโจมตีเส้นทางของเขตถ่ายทอดความลับ
“ขอบคุณเจ้าสำนักลู่!” เฉินจิ้งจือลุกขึ้นเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ลู่เซิ่งปิดประตูอย่างรวดเร็ว แล้วนั่งขัดสมาธิบนพื้น หลับตาลงแล้วเริ่มท่องนามของอาจารย์
หลังจากท่องไปหลายสิบรอบ ร่างกายของเขาก็เริ่มพร่ามัว ในตอนที่กำลังจะหายเข้าไปในเขตถ่ายทอดความลับ ก็เกิดเสียงดังพรวด เงาดำกึ่งโปร่งแสงกลุ่มหนึ่งระเบิดขึ้นตรงหน้า ก่อนจะรวมตัวกันเป็นกระทิงดำที่มีปีกงอกที่หูทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว
กะทิงดำส่งเสียงร้องมอออกมา จากนั้นก็ระเบิดและสลายไป
ร่างของลู่เซิ่งรวมตัวด้วยความเร็วสูง กลับเป็นแบบเดิมอีกครั้ง
เขาลืมตาขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม
‘ไม่อาจเข้าไปในเขตถ่ายทอดความลับได้ชั่วคราว…ดูเหมือนเป้าหมายหลักร่างหยินของเซียวจื่อจู๋ นอกจากการฆ่าเราแล้ว ก็คือการถ่วงเวลา ป้องกันไม่ให้เราหนีไปจากเขตถ่ายทอดคามลับ เหอะ! วางแผนได้ดีนัก!’ เขาพลันทบทวนถึงพวกสหายกุ่ยเมื่อก่อนหน้าซึ่งเชื่องช้ามากในตอนที่เข้าสู่เขตถ่ายทอดความลับ แสดงให้เห็นว่าได้รับการรบกวนเช่นกัน
ลู่เซิ่งเข้าใจแผนการของเซียวจื่อจู๋โดยสมบูรณ์ “มิน่าจึงส่งร่างหยินมาร่างเดียว เกรงว่าร่างหลักคงจะกำลังควบคุมค่ายกลใหญ่ที่ผนึกเขตถ่ายทอดความลับเอาไว้อยู่ บวกกับให้ทัพมารเคลื่อนทัพโอบล้อม หากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็จะเรียกกองทัพมารุมจัดการเรา…”
เขาจิตใจเย็นเยียบเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรก เป็นครั้งแรกที่ได้เจอสถานการณ์จนตรอกแบบนี้ ที่แล้วมาเขาทำทุกอย่างอย่างราบรื่นมาโดยตลอด กลับนึกไม่ถึงว่าพิภพมารจะยังมีคนที่อำมหิตเหี้ยมเกรียมขนาดนี้อยู่ด้วย
‘จะแก้ไขสถานการณ์อย่างไรดี!?’ สิ่งที่เผชิญหน้าในตอนนี้คือปัญหานี้ ลู่เซิ่งมองแผนการของอีกฝ่ายออกแล้ว แต่ว่านี่เป็นแผนเปิดเผย ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ เขาจะไม่ทิ้งครอบครัวตัวเองแล้วหนีไป อีกฝ่ายสะกดเขตถ่ายทอดความลับที่อาจส่งทัพสนับสนุนมาไว้ เพื่อบังคับให้เขาตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้
ในสถานการณ์ที่ใช้ทัพใหญ่สะกดเขตแดน และพลังส่วนตัวมีความได้เปรียบ การบดขยี้จึงเป็นแผนการที่แท้จริงของเซียวจื่อจู๋
หลังจากเข้าใจปรุโปร่งแล้ว ลู่เซิ่งก็นั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ที่เดิม ความคิดทำงานอย่างรวดเร็ว
‘ตอนนี้เราสำเร็จเป็นอริยะเจ้าแล้ว แต่เป็นเพราะซูหนิงเฟยไม่ได้ให้วิชาจริงแท้สำหรับฝึกฝนที่เหมาะกับเรามา วิธีการต่อสู้ในระดับอริยะเจ้าเลยยังหยุดอยู่ในระดับผู้ถืออาวุธ นี่จึงเป็นระยะห่างที่กว้างที่สุดของเรากับเซียวจื่อจู๋ แม้หยินหยางรวมเป็นหนึ่งซึ่งเป็นสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดของเราจะแข็งแกร่งกว่าสภาพหยางโชติช่วงไม่น้อย แต่ก็เอาชนะเซียวจื่อจู๋ร่างหลักไม่ได้อยู่ดี ถึงขั้นห่างชั้นกันมาก ในเวลาสั้นๆ ไม่มีทางเติมเต็มช่องว่างนี้ได้ อย่างนั้นวิธีแก้ไขสถานการณ์เพียงหนึ่งเดียวก็คือ…’
สายตาลู่เซิ่งปรากฏความเด็ดเดี่ยว
‘พวกเจ้าบังคับข้าเองนะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็อย่าโทษว่าข้าไม่เลือกวิธีการก็แล้วกัน!’
“ดีปบลู” เรื่องราวมาถึงตอนนี้ เก็บพลังอาวรณ์ไว้ก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ต้องรีบยกระดับพลังให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งได้พลังอาวรณ์เกือบห้าพันหน่วยมาจากอาวุธชั่วร้าย ตอนนี้ยังได้อาชาน้ำแข็งที่เป็นธาตุน้ำมาอีก
ลู่เซิ่งหยิบอาวุธเทพอาชาน้ำแข็งออกมาจากด้านหลัง มองมันแวบหนึ่ง ลักษณะภายนอกดูเหมือนกระบี่ไม้ที่ถือว่าคมเล่มหนึ่ง เพียงแต่ด้ามกระบี่ผุเปื่อยเล็กน้อย ดูแล้วก็ไม่ต่างจากกระบี่ไม้สำหรับฝึกฝนที่ถูกคนทอดทิ้งเท่าไหร่
ทว่าเมื่อเขาถืออาชาน้ำแข็งไว้ จึงค่อยรู้สึกได้ถึงพลังงานอันยิ่งใหญ่ที่กระเพื่อมอยู่ด้านในอย่างต่อเนื่อง
ความจริงแล้วอาวุธเทพระดับใบไม้ทองคำทุกชิ้นมีศักยภาพสูงสุดขีด พวกมันจะกลายเป็นอาวุธเทพคลั่ง หรือเป็นระดับอริยะมารหรืออริยะเจ้าได้ก็ต่อเมื่อพัฒนาศักยภาพของตนโดยสมบูรณ์เท่านั้น
สำหรับตัวลู่เซิ่ง อาวุธเทพทุกชิ้นล้วนเป็นถุงของขวัญบรรจุพลังอาวรณ์ที่อุดมสมบูรณ์ถึงขีดสุด
เขาตรวจสอบร่างหลักของอาชาน้ำแข็ง จากนั้นก็ยัดมันเข้าไปในปาก
กร้วม
เสียงร้องโหยหวนที่ล่องลอยพลันดังขึ้น
ตัวกระบี่ระเบิดระลอกคลื่นสีขาวผืนใหญ่ออกมา แต่ก็ถูกแสงสีทองที่ลอยขึ้นรอบๆ ตัวลู่เซิ่งกันเอาไว้โดยสมบูรณ์
วิชาไร้ขอบเขตโคจรสุดกำลัง ลู่เซิ่งเคี้ยวคมกระบี่ไปสองคำไม่ต่างจากกินเหล็กธรรมดา เพียงแต่ให้ความสดชื่นเหมือนกับสะระแหน่เล็กน้อย
เขายกระบี่ขึ้นกัดอีกคำหนึ่ง ระลอกคลื่นสีขาวนั้นบิดตัวอย่างบ้าคลั่ง พลังเย็นสุดขั้วหลายสายที่กระเพื่อมออกมาสร้างชั้นน้ำแข็งหนาชั้นหนึ่งปกคลุมทั่วทั้งตัวของมัน
ทว่าก็เพียงแค่นี้เท่านั้น อย่างมากสุดอาชาน้ำแข็งก็แค่แสดงอานุภาพระดับผู้ถืออาวุธ เมื่อเผชิญกับอริยะเจ้าอย่างลู่เซิ่ง กอปรกับยังอยู่ในสภาพหลับไหลอยู่ เมื่อตื่นขึ้นมากะทันหันจิตจึงยังไม่ตื่นโดยสมบูรณ์
กร้วม
ลู่เซิ่งกัดเป็นครั้งที่สาม เคี้ยวตัวกระบี่จนเหลือแค่ครึ่งเดียว อักขระสีฟ้ามากมายสว่างบนตัวอาชาน้ำแข็ง สัญลักษณ์ของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ซึ่งก็คือสามเหลี่ยมขนาดเล็กหมุนวนบนด้ามกระบี่ดย่างรวดเร็ว พลังอาวุธเทพในตัวกระบี่ขยายตัวด้วยความเร็วสูง คล้ายตั้งใจจะระเบิดฆ่าตัวตาย
กร้วม
ลู่เซิ่งยัดคมกระบี่เข้าปากเป็นครั้งสุดท้าย เคี้ยวคำโตอยู่พักหนึ่ง จากนั้นพลังอาวรณ์จำนวนมากก็ทะลักเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง
หนึ่งร้อย สองร้อย ห้าร้อย หนึ่งพัน…
พลังอาวรณ์นับไม่ถ้วนไหลเชี่ยวเข้าสู่ดีปบลู ไหลเชี่ยวเข้าสู่ช่องว่างระหว่างทรวงอกกับช่องท้องของลู่เซิ่งเหมือนกับสายธาร
เขายัดด้ามกระบี่ใส่ปาก เคี้ยวสองสามคำ ก่อนจะกลืนลงไป จากนั้นก็กวาดตามองกรอบเพียงหนึ่งเดียวบนดีปบลู
เป็นอย่างที่คาดไว้ เงื่อนไขการยกระดับต่อไปของวิชาไร้ขอบเขตสมบูรณ์โดยสิ้นเชิงแล้ว
ตอนที่พลังอาวรณ์จำนวนมากไหลเข้ามา ในที่สุดขอบเขตรวบรวมยอดศัสตราของวิชาไร้ขอบเขตหรือก็คือพลังฝึกปรือขอบเขตอริยะเจ้าก็ยกระดับได้โดยตรงแล้ว
เขากดปุ่มปรับเปลี่ยนด้านล่างสุดของเครื่องมือปรับเปลี่ยนอย่างคุ้นเคย กรอบดีปบลูสั่นไหวในทันที จากนั้นก็ชัดขึ้นด้วยความเร็วสูง
ด้านหลังวิชาไร้ขอบเขตมีปุ่มเรียนรู้เพิ่มขึ้นมา
‘นี่แหละ!’ ลู่เซิ่งแสยะยิ้ม พร้อมกับเพ่งความคิดกดลงไป
ปุบ
ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เพียงแต่กรอบของวิชาไร้ขอบเขตค่อยๆ จางลง จากนั้นก็ชัดขึ้นช้าๆ
ระดับที่หนึ่งของการรวบรวมยอดศัสตรากลายเป็นระดับที่สอง ด้านหลังยังคงมีผลพิเศษที่ยาวเป็นพรวนเพิ่มขึ้นมา
ลู่เซิ่งกำลังจะตรวจสอบว่ามีผลพิเศษใดในนี้ที่ได้รับการเลื่อนระดับเพิ่มความแข็งแกร่งบ้าง อยู่ๆ ก็หน้ามืด เกิดความรู้สึกมึนศีรษะขึ้น
ชั่วพริบตานั้นเนื้อหาความรู้แต่ละอย่างซึ่งเรียนรู้จากระบบมรรคายุทธ์ของตัวเขาเองที่ทั้งซับซ้อนและยากจะเข้าใจนับไม่ถ้วน ได้มุดเข้าสู่ห้วงสมองของเขาอย่างคลุ้มคลั่ง พลังอาวรณ์ลดลงอย่างรวดเร็วราวน้ำตก
แทบจะหายไปด้วยความเร็ววินาทีละหนึ่งพันหน่วย
ความรู้นับไม่ถ้วน วิชาจริงแท้และวิชาวรยุทธ์ที่เรียนรู้ได้และพัฒนาขึ้นอีกขั้นนับไม่ถ้วน ทะลักเข้าไปในห้วงสมองของเขาทั้งหมดในรวดเดียวเหมือนกับการยัดอาหารใส่ปากเป็ด โดยไม่สนใจว่าเขาจะรับได้หรือไม่
อริยะเจ้า อริยะมาร อาวุธเทพคลั่ง กฎเกณฑ์! พลังกำเนิด!
ดีปบลูใช้ระบบความรู้ทั้งหมดที่เขามีอยู่แล้วเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ทิศทางใหม่ ผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่าๆ ในที่สุดก็กรอกใส่หัวสมองของลู่เซิ่งเสร็จสมบูรณ์
‘กฎเกณฑ์…เดิมทีความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างอริยะเจ้ากับผู้ถืออาวุธก็อยู่ที่กฎเกณฑ์ ถ้าหากบอกว่าผู้ถืออาวุธเป็นคนที่ใช้กฎเกณฑ์ของอาวุธเทพ อย่างนั้นอริยะเจ้า อริยะมาร หรืออาวุธเทพคลั่งก็คือผู้ครอบครองที่เปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ควบคุมกฎเกณฑ์ และใช้อาวุธเทพศัสตรามารเป็นตัวนำ’
อักขระสามเหลี่ยมรูปงูมีปีกสีแดงเข้มกะพริบในดวงตาของลู่เซิ่ง
‘ไม่ว่าทิศทางการเรียนรู้ของเราจะตรงกับทิศทางของโลกใบนี้หรือไม่ การก้าวข้ามอาวุธเทพศัสตรามารเพื่อสัมผัสกับกฎเกณฑ์จะต้องไม่ผิดพลาดแน่’
‘สัมผัสกฎเกณฑ์…อย่างนั้นกฎเกณฑ์ของเราคืออะไรล่ะ’ เมื่อมาถึงตอนนี้วินาทีนี้ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของลู่เซิ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ถูกดีปบลูแกะการอำพรางออกเป็นชั้นๆ แล้วแยกออกมา
‘กฎเกณฑ์ของเรา…’ ลู่เซิ่งหวนนึกถึงความยินดีในตอนที่ค้นพบไอหยินที่มีอานุภาพน่ากลัวนั้นเป็นครั้งแรก เมื่อครั้งที่ตนอยู่ในชั้นใต้ดินของสำนักมารกำเนิด
เขายกมือขึ้น ไฟหยินลุกไหม้กลางฝ่ามือ ไฟหยินสีดำอมม่วงมีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น ตรงกลางคือดวงตาที่เกิดจากไฟสีทองดวงหนึ่ง
ไฟหยินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงตามการใช้พลังอาวรณ์
ไฟหยินสีดำอมม่วงในตอนแรกกำลังกลายเป็นสีดำสนิททีละนิดๆ ไฟสีทองค่อยๆ สว่างไสวเจิดจ้ามากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงลึกลับที่ลู่เซิ่งไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เหมือนกำลังเปลี่ยนแปลงไฟหยิน แต่เหมือนกำลังเชื่อมต่อกับจิตบางอย่างมากกว่า
เขาไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าทิศทางของตัวเองได้หลุดออกมาจากขอบเขตอริยะเจ้าหรืออริยะมารในขอบเขตความหมายดั้งเดิมแล้ว และกำลังยืดขยายไปยังทิศทางที่ไม่รู้จักทีละก้าวๆ ตามการเรียนรู้ของดีปบลู
ทันใดนั้น ในที่สุดไฟหยินกลางฝ่ามือของลู่เซิ่งก็เปลี่ยนแปลงและยกระดับไปยังขีดจำกัดใหม่ ก่อนจะระเบิดอย่างฉับพลัน
เสียงที่เหมือนเสียงร้องเพลงแหลมสูงในโรงละครที่ขับขานบทสวดพระพุทธก็ดังขึ้นในห้องลับ
ไฟหยินระเบิดขึ้นในทันที ดวงตาสีทองตรงกลางปล่อยเปลวไฟสีทองกลุ่มใหญ่ออกมาอย่างฉับพลัน เปลวไฟนั้นหลุดออกจากการควบคุมของลู่เซิ่งโดยสมบูรณ์เหมือนไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา บนตัวมันมีกลิ่นอายโบราณ ยิ่งใหญ่ และแวววาว
ลวดลายบนแท่นบูชา ดุจดั่งสัญลักษณ์ในวัด เปลวไฟเพียงแค่ถูกจับจ้อง ก็ส่งกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ซึ่งน่ากลัวและกว้างใหญ่ไพศาลดุจทะเลออกมา
ราวกับว่าสิ่งที่ทะลักออกมาด้านหน้าลู่เซิ่งไม่ใช่เปลวไฟ หากเป็นรอยแตกสีทอง สิ่งที่อยู่ด้านหลังรอยแตกเป็นการดำรงอยู่อันน่าพรั่นพรึงที่ทั้งศักดิ์สิทธิ์และลึกลับ
‘นี่คืออะไร…!?’ ลู่เซิ่งลืมตาโต ร่างถูกพลังอันยิ่งใหญ่ที่อธิบายไม่ได้ยึดไว้กับที่
หัวใจของเขาเต้นอย่างรุนแรงด้วยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อน พลังทั่วร่างปั่นป่วนบ้าคลั่ง หมายจะเปลี่ยนร่างเพื่อสลัดให้หลุดจากพันธนาการ แต่ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
พลังของไฟสีทองเหมือนกับไร้ที่สิ้นสุด หลุดออกจากขอบเขตพลังอาวรณ์อันน้อยนิดที่เขามอบให้โดยสมบูรณ์ ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แม้แต่การเรียนรู้ของดีปบลูก็ถูกบังคับให้หยุดลงเช่นกัน วิชาไร้ขอบเขตที่เรียนรู้ไปมากกว่าครึ่งทำให้ไฟหยินเชื่อมต่อกับจิตสำนึกอันน่ากลัวที่ไม่รู้จักบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ
‘นั่นคืออะไร…!?’ ชั่วขณะที่ลางเลือน ลู่เซิ่งคล้ายเห็นภาพเสมือนที่อธิบายไม่ถูกผ่านเปลวไฟสีทอง
นั่นเป็นสัตว์ยักษ์น่ากลัวที่ใหญ่โตจนไม่อาจบรรยาย มันมีศีรษะเป็นนกอินทรีขนาดยักษ์แปดหัว ขนสีขาวราวหิมะปกคลุมทั่วทั้งตัว ร่างกายที่แข็งแกร่งดั่งสิงโต เยื้องย่างอยู่ในส่วนลึกของจักรวาลอันมืดมิดอย่างผ่อนคลาย ดวงดาวรอบๆ ที่มันเดินผ่านพากันลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีทอง
‘อสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียร…สัตว์เทพที่ว่ากันว่ากลืนกินดวงอาทิตย์ได้ ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษที่ให้กำเนิดธาตุหยางของส่ำสัตว์ ไม่ว่าผ่านไปที่ใด ความแห้งแล้งร้อนจัดจะตามมาพร้อมกับความเจริญงอกงาม ’
ลู่เซิ่งตัวสั่นดุจถูกสายฟ้าฟาดใส่ เขาเชื่อมต่อกับจิตของอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรเข้าแล้ว!
แม้อีกฝ่ายคล้ายจะยังไม่พบเขา เพียงบินไปยังที่ไกลโดยหันหลังให้ ทว่าแค่มองดูเงาหลังของสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวนี้ ลู่เซิ่งก็คล้ายเข้าใจสัจธรรมเกี่ยวกับเปลวไฟจำนวนนับไม่ถ้วนนี้แล้ว
……………………………………….