ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 405 ความชั่วร้าย (1)
บทที่ 405 ความชั่วร้าย (1)
ณ โลกสีเทา
ท้องฟ้าเป็นสีเทา
ด้านหน้าลู่เซิ่งกับเซียวจื่อจู๋พร่ามัว สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ครั้นได้สติกลับมาอีกครั้ง ทั้งสองก็มาถึงโลกประหลาดที่ไม่รู้จักโดยสิ้นเชิงแล้ว
ท้องฟ้าเหนือศีรษะมีเมฆสีเทาเป็นก้อนๆ จำนวนนับไม่ถ้วนไหลวนเวียนอย่างรวดเร็ว เหมือนกับผิวลำธารที่เลื่อนไหล
พื้นที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เป็นดินโคลนสีเทาที่ไม่มีอะไรเลย ไม่สิ่งอื่นเช่นกัน ไม่มีมนุษย์ ไม่มีต้นไม้ ไม่มีก้อนหิน ถึงขั้นไม่มีแม้แต่อากาศ
ท้องฟ้ามีเมฆสีเทาจำนวนมากล่องลอยอย่างไร้สุ้มเสียง นี่เป็นการเคลื่อนไหวเพียงหนึ่งเดียวของโลกทั้งใบ
“เจ้าถึงกับกล้า! เปิดประตูแห่งความเจ็บปวด!” เซียวจื่อจู๋มีสีหน้าบิดเบี้ยว ดาบฟันม้าที่ถืออยู่ในมือถูกมือทั้งสี่ข้างของลู่เซิ่งจับไว้แน่น
“เจ้าเป็นคนบังคับข้าเอง และเผอิญว่าข้าอยากจะเข้ามาดูอยู่พอดีว่าโลกแห่งความเจ็บปวดในตำนานมีทัศนียภาพแบบไหนกันแน่” ตอนนี้ลู่เซิ่งกลับเยือกเย็นลง ใบหน้าปรากฏความเย็นชาสุดหยั่ง
เซียวจื่อจู๋ไม่ได้พูดอะไรอีก ในฐานะระดับสูงของเผ่ามารและหนึ่งในขุนนางดวงดาวที่แข็งแกร่งที่สุด เขาไม่ใช่ไม่เคยสัมผัสกับโลกแห่งความเจ็บปวดมาก่อน เพียงแค่ไม่เคยเข้ามาก็เท่านั้น
ว่ากันว่าคนที่เคยเข้ามา หลังจากออกไปถ้าไม่ตายก็คลุ้มคลั่ง แต่คนส่วนใหญ่จะหายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอยหลังจากเข้ามา
ไม่ว่าจะมีพลังฝึกปรือสูงขนาดไหน ไม่ว่าจะมีพลังแข็งแกร่งปานใด
ตอนนี้เขาเสียใจเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุใดต้องมาหาเรื่องลู่เซิ่งด้วย ถ้าหากจะปฏิเสธภารกิจกับฝ่าบาท ก็ไม่ใช่ไร้วิธี แต่น่าเสียดายที่มาเสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
“ยังจะสู้หรือไม่” ลู่เซิ่งสะบัดดาบฟันม้าทิ้ง เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายจริงๆ หลังจากป้องกันดาบนี้ กายเนื้อบนร่างก็มีเส้นใยกล้ามเนื้อราวห้าส่วนถูกตัดขาดไปแล้ว อย่างน้อยต้องใช้เวลาฟื้นฟูหลายสิบอึดใจ
ถ้าหากจะสู้ต่อ เซียวจื่อจู๋ไม่มีทางปล่อยให้เขาฟื้นฟูแน่
“สู้กับผายลมน่ะสิ!” เซียวจื่อจู๋ฟันดาบใส่ลู่เซิ่งพร้อมกับปราณมารจำนวนมากด้วยความเดือดดาล ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวก็คือปราณมารสีดำเพิ่งออกจากร่างส่งไปถึงตัวดาบ ก็ขาดการเชื่อมต่อกับเขาแล้วก็ถูกพลังงานลึกลับนับไม่ถ้วนในอากาศรอบๆ กลืนกินโดยสมบูรณ์ทันที
เป็นเหตุให้การฟันดาบในครั้งนี้ไม่มีการกระตุ้นแก่นมาร จึงไม่ต่างอะไรกับการฟันดาบธรรมดาออกไป
‘แม้แต่กฎเกณฑ์ก็ถูกจำกัดไว้หรือนี่’ เซียวจื่อจู๋มีสีหน้าเคร่งเครียด สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าปราณมารนรกภูมิอันเป็นกฎเกณฑ์หลักของตนเองถูกผลาญไปในพริบตา
กุญแจสำคัญที่ทำให้เขาสำเร็จเป็นอริยะเจ้าหรืออริยะมารก็คือ เมื่อหลายปีก่อน เขาได้หลอมรวมจิตวิญญาณเข้ากับแก่นมารของมารโบราณที่มีชื่อว่าปราณมารนรกภูมิซึ่งตนเองได้สร้างขึ้น จึงได้รับพลังงานที่ควบคุมแก่นมารชนิดนี้มาได้โดยสมบูรณ์
ปราณมารนรกภูมิเป็นแก่นมารต้นแบบที่มีหนึ่งไม่มีสอง หลังจากรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ ก็ถูกสกัดจนมีอานุภาพมากกว่าเดิม มีพลังทางสายเลือดที่ควบคุมแรงโน้มถ่วงได้ ถึงขั้นค่อยๆ กัดกร่อนกายเนื้อของเซียวจื่อจู๋ กลืนกลายจนกลายเป็นกิ่งก้านสาขาของปราณมารชนิดนี้ กล่าวได้ว่าตัวเขาได้กลายเป็นผู้นำสารของปราณมารนรกภูมิไปแล้ว ปราณมารนรกภูมิคือเขา เขาก็คือปราณมารนรกภูมิ
ทว่าตอนนี้วินาทีนี้ ปราณมารที่เขาปล่อยออกมากลับถูกทำลายในพริบตา
เซียวจื่อจู๋บังเกิดความตื่นตระหนก
กี่ปีแล้ว กี่ปีแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสการคุกคามแบบนี้
เงยหน้ามองมนุษย์ตรงหน้าอีกครั้ง
บนร่างลู่เซิ่งมีสีทองสว่างขึ้นเป็นจุดๆ จากนั้นสีทองก็ถูกสิ่งของไร้รูปร่างสีเทาซึ่งอยู่รอบๆ ทำลายทิ้งในทันที
“ที่นี่ใช้พลังเหนือธรรมชาติใดๆ ไม่ได้หรือนี่” ลู่เซิ่งชักมือกลับพร้อมกับถอนใจกล่าว
‘ใช้แค่กายเนื้ออย่างนั้นหรือ’ เซียวจื่อจู๋แอบมองเค้าโครงกล้ามเนื้อที่นูนขึ้นบนร่างลู่เซิ่ง สังหรณ์ไม่ดีอยู่บ้าง
แม้เขาจะมีกายเนื้อไม่เลวเช่นกัน แต่เทียบกับคนตรงหน้าแล้ว…
“ว่ากันว่าหากคิดจะออกไปจากโลกแห่งความเจ็บปวดหลังจากเข้ามาแล้ว มีความยากเย็นสุดขีด คนที่ทำสำเร็จมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ต่อให้ออกไปได้ส่วนใหญ่ก็กลายเป็นคนวิปลาส เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไร” เซียวจื่อจู๋สูดหายใจลึก ข่มกลั้นความตกใจและความโกรธไว้ ตัดสินใจสงบศึกชั่วคราว ที่นี่ลบความได้เปรียบของตนไปโดยสมบูรณ์ ต่อให้ลงมือก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้อย่างแน่นอน มิสู้ร่วมมือกัน หลังออกไปค่อยตัดสินกันอีกที
เขามาฆ่าคน ไม่ใช่หาเรื่องให้ตัวเอง แม้โลกแห่งความเจ็บปวดจะลึกลับ แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีวิธีออกไปโดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งก็ไม่รู้จักโลกแห่งความเจ็บปวดเช่นกัน ได้ยินดังนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้น
“เจ้าอยากจะพูดอะไร ตัวเจ้ามีวิธีออกไปหรือ” เขาใช้ชิ้นส่วนประตูแห่งความเจ็บปวด แล้วใช้พลังของพวกเขาสองคนกระตุ้นพร้อมกัน โดยวางแผนว่าจะโยนเซียวจื่อจู๋เข้าไปในโลกแห่งความเจ็บปวด นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะโดนลูกหลงไปด้วย
ความสำคัญในตอนนี้ไม่ใช่เจ้าตายข้ารอดอีกแล้ว หากแต่จะออกไปจากที่นี่อย่างไร
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดที่นี่จึงเรียกว่าโลกแห่งความเจ็บปวด” ซูจื่อจู๋ใช้ชีวิตมาหลายปี จึงเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังส่วนหนึ่ง
“เพราะอะไร”
“เป็นเพราะ…หากคิดจะบรรลุเป้าหมายใดๆ ในนี้ ได้แต่ทำให้ตัวเองสัมผัสความเจ็บปวดก่อน จึงจะเห็นความหวังและวิธีการ” เซียวจื่อจู๋เอ่ยเบาๆ
“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรือ” ลู่เซิ่งหัวเราะเย็นชา
“เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า” เซียวจื่อจู๋คร้านจะสนใจคนผู้นี้ สายตาเริ่มกวาดมองรอบๆ พวกเขาลอยอยู่กลางอากาศ ตอนนี้ก้มมองลงไป รอบๆ ไม่มีใครสักคน กว้างใหญ่ไพศาล
‘คิดจะสัมผัสกับความจริงของที่นี่เพื่อหาวิธีการออกไป จะต้องทำให้ตัวเองสัมผัสความเจ็บปวดก่อน’ เซียวจื่อจู๋นึกย้อนถึงประโยคหนึ่งที่ตนเคยอ่านเจอในคัมภีร์
เขาหลับตา แก่นมารในร่างเริ่มรบกวนหัวใจอย่างบ้าคลั่ง ไม่ใช่ระดับทำร้ายอวัยวะภายใน หากแต่ฉุดดึงอวัยวะภายในอย่างรุนแรงแต่ยังอยู่ในขอบเขตที่ปลอดภัย
ความเจ็บปวดทะลุจากช่องท้องกระจายไปทั่วร่างเป็นระยะ สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ ความเจ็บปวดนี้ขยายขึ้นไปตามเส้นประสาทและเส้นเลือดอย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็ไปถึงตำแหน่งศีรษะ แล้วมุดเข้าไปในดวงตาของเซียวจื่อจู๋
สองตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทเหมือนรูที่มืดมิดในทันที
ครู่ต่อมา เซียวจื่อจู๋ร่างแข็งทื่อ ก่อนจะหายไปจากตรงหน้าลู่เซิ่งโดยสมบูรณ์
ลู่เซิ่งกำลังสำรวจสภาพแวดล้อมและทิวทัศน์รอบๆ อย่างละเอียดเพื่อดูว่าจะหาเบาะแสเจอหรือไม่ อยู่ๆ เซียวจื่อจู๋ที่อยู่ตรงหน้าก็หายสาบสูญไป เขานึกถึงถ้อยคำที่เซียวจื่อจู๋กล่าวเมื่อก่อนหน้าอีกครั้ง
‘ทำให้ตัวเองเต็มไปด้วยความเจ็บปวดหรือ’ เขาคล้ายมีความคิดอันใด
กวาดตามองรอบๆ บนพื้นดินสีเทาผืนใหญ่สะท้อนเงาดำของชั้นเมฆที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเหนือศีรษะ
‘ลองดูก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งยื่นมือออกมาตั้งฝ่ามือเหมือนดาบ ก่อนจะกรีดใส่ทรวงอกตัวเอง
ฉัวะ!
รอยสีขาวจางๆ ปรากฏบนเกราะเกล็ดของเขา
‘แม้แต่ตัวเราก็ยังยากจะเจาะเกราะของตัวเอง…’ เขาขมวดคิ้ว แล้วยื่นมือไปแทงใส่ทรวงอกตัวเองอย่างแรง
ความเจ็บปวดพลันส่งเข้ามาในห้วงสมอง ลู่เซิ่งร่วมมือโดยการทำให้ผิวหนังและกล้ามเนื้อบริเวณนั้นอ่อนลงและผ่อนคลายเท่าที่จะทำได้ ทว่าพลังฟื้นตัวที่น่ากลัวและต่อเนื่องไม่ขาดสายยังคงทำให้เขาฟื้นฟูได้โดยสมบูรณ์ในเวลาไม่กี่อึดใจ
‘พลังฟื้นตัวแข็งแกร่งเกินไปก็ลำบากเหมือนกัน…’ ลู่เซิ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะหยิบถุงใบเล็กๆ ที่พันผ้าเอาไว้ออกมาจากถุงย่ามด้านหลัง แล้วสะบัดถุงสีดำไปด้านนอก ผลึกที่เหมือนกับอำพันสีทองกลมดิกกลิ้งออกมาจากด้านในทันที
นี่ก็คือเส้นขนสีทองที่ก่อนหน้านี้เขาใช้แก่นหยางห่อหุ้มไว้ เส้นขนอัคคีทองแปดเศียร
แก่นหยางมีคุณสมบัติเป็นฉนวนที่แข็งแกร่งมาก กอปรกับตัวมันมีธรรมชาติเป็นธาตุร้อนที่คล้ายๆ กัน ทั้งยังมีแหล่งกำเนิดเดียวกันกับอัคคีทองแปดเศียร ภายใต้แก่นหยางแบบใหม่ที่มีไม่ขาดสายของลู่เซิ่ง เส้นขนจึงไม่ได้เผาไหม้เสื้อผ้าจนทะลุ
ลู่เซิ่งสลายแก่นหยางเบาๆ ก่อนจะยื่นมือไปคีบเส้นขนอัคคีทองแปดเศียรไว้
ฉ่า…
ความเจ็บปวดจากการเผาไหม้ที่ชัดเจนส่งจากกลางฝ่ามือไปยังหัวใจ
ลู่เซิ่งนิ่วหน้าเล็กน้อย คีบเส้นขนไว้โดยไม่ขยับเขยื้อน เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย เขารู้สึกได้ในทันทีว่าสายตาตรงหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติบางส่วน
ในอากาศสีเทารอบๆ ที่ตอนแรกไม่มีสิ่งใด ค่อยๆ มีปลากระเบนขนาดยักษ์หางยาวหลายตัวโผล่มา
ปลากระเบนสีเทาเหล่านี้กระพือปีกสองข้างแหวกว่ายอยู่กลางอากาศอย่างช้าๆ ร่างกายของพวกมันอยู่ในสภาพกึ่งโปร่งแสง ภาพเหมือนมีความผันผวนและบิดเบี้ยวอย่างต่อเนื่องตามระดับความเจ็บปวดที่ลู่เซิ่งสัมผัสได้
ซู่…!
ปลากระเบนสีเทาขนาดยักษ์ที่ยาวหลายสิบหมี่ตัวหนึ่งในนี้ค่อยๆ ว่ายผ่านข้างตัวลู่เซิ่ง พลางส่งเสียงที่เหมือนกับเสียงสะอึกสะอื้น
ลู่เซิ่งมองปลากระเบน พบว่าช่องท้องของมันมีเลือดไหล หยดเลือดตกลงไปบนพื้นดินอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็ถูกดินโคลนสีเทาบนพื้นดูดซับจนหายไป
เซียวจื่อจู๋อยู่กลางอากาศด้านหน้าไม่ไกลออกไป สีหน้าซีดขาว โงนเงนจะล้มลง กำลังค่อยๆ ร่วงลงไปที่พื้น
ลู่เซิ่งมองทิศทางการพุ่งของเขา พลันตกใจ
บนพื้นมีเมืองที่พื้นที่ไม่เล็กตั้งอยู่ ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ตรงนั้นไม่มีอะไร
เป็นเมืองสีขาวอมเทา ภายใต้ก้อนเมฆที่ลอยไปมาในอากาศมีเงาสีดำเป็นก้อนๆ กลุ่มใหญ่เคลื่อนผ่านตลอดเวลา ด้านในไร้ผู้คน วังเวงเงียบสงัด
ลู่เซิ่งจิตใจสั่นไหว ข่มกลั้นความเจ็บปวดพร้อมกับพุ่งตามเซียวจื่อจู๋ไป
ในเมื่อมาถึงโลกแห่งความเจ็บปวดแล้ว ดูเหมือนเซียวจื่อจู๋จะรู้อะไรบางอย่าง อย่างนั้นการติดตามเขาไป อาจจะทำให้เจอวิธีออกไปที่ปลอดภัยกว่าเดิมก็ได้
แม้ว่าตัวเขาจะมีการเตรียมตัวไว้ก่อนบางส่วน ทว่าหากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ลู่เซิ่งก็ไม่อยากจะใจร้อนใช้วิธีการของตัวเอง
บินตามเซียวจื่อจู๋ไปยังเมืองแห่งนั้น ราวหลายสิบอึดใจให้หลัง ทั้งสองก็ทยอยทิ้งตัวลงพื้น ยืนอยู่หน้าปากประตูเมือง
พอเซียวจื่อจู๋ทิ้งตัวลงพื้นก็สำรวจรอบๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินเข้าไปในเมือง ไม่นานก็หายไปในบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ทางขวา
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ไม่ได้ตามติดเกินไปนัก เขากับเซียวจื่อจู๋ยังเป็นศัตรูกันอยู่ ถ้าหากอีกฝ่ายพบว่าตนตามมา อาจจะถูกเล่นงานก็ได้
เขารออยู่ด้านนอกสักพัก ไม่เห็นเซียวจื่อจู๋ออกมาก็ลังเลเล็กน้อย จึงเดินตามเข้าไปในบ้านหลังนั้น
บ้านสีเทาใช้ก้อนหินทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวหนึ่งหมี่กว่าๆ หลายก้อนก่อขึ้น รอบๆ กั้นด้วยรั้วสีเทา กลายเป็นเรือนหลังน้อยที่อยู่ด้านใน
ลู่เซิ่งผลักประตูเหล็กตรงปากประตูเบาๆ ประตูเปิดออกและส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ
ด้านหลังประตูเหล็กคือสวนดอกไม้ที่ชำรุดทรุดโทรมผืนใหญ่ กิ่งไม้ใบหญ้าสีดำแห้งเหี่ยวกลายเป็นสิ่งของดำๆ หลายกลุ่มเหมือนกับไม้พุ่ม ดูไม่เป็นมงคลถึงขีดสุด ด้านในไม้พุ่มเหมือนมีบางอย่างที่ไม่น่าสบายใจซ่อนอยู่
ลู่เซิ่งกวาดตามองไม้พุ่ม สายตามองไปยังประตูใหญ่ของบ้านที่แง้มออกครึ่งหนึ่งด้านหน้า
บ้านแห่งนี้เป็นตึกสูงสี่ชั้นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสเหมือนอาคารเรียน ก่อขึ้นจากก้อนหินหลายก้อนเหมือนภาพปริศนา
นี่ทำให้ลู่เซิ่งนึกถึงสมัยเป็นนักเรียนบนโลกใบเดิม อาคารเรียนระดับมัธยมของเขาในตอนนั้นไม่ต่างจากอาคารตรงหน้าเท่าไหร่
ยืนมองขึ้นไปจากด้านล่างอาคาร เห็นประตูห้องของทั้งสี่ชั้นต่างปิดอย่างเป็นระเบียบ ประตูบางบานซ่อนอยู่ในเงาของอาคารบ้านเรือน บางบานก็ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน
เถาวัลย์สีดำที่แห้งเหี่ยวไต่เต็มข้างอาคารสี่ชั้นสีขาวอมเทาหลังนี้ พวกมันยึดครองกำแพงทางขวาของอาคารไว้ทั้งหมดดุจใยแมงมุม
ลู่เซิ่งก้มหน้าลงมองเศษกระจกชิ้นหนึ่งที่ตนถือไว้ในมือซ้าย
นี่ก็คือชิ้นส่วนของคันฉ่องแก้ว ตัวขนส่งของประตูแห่งความเจ็บปวดที่เขาได้มาหลังจากจัดการคดีประตูแห่งความเจ็บปวดที่ตระกูลเฟ่ยในตอนนั้น
ตอนนั้นเขาเพียงแค่เก็บชิ้นส่วนคันฉ่องเหล่านี้ไว้ด้วยความสงสัยเท่านั้น ภายหลังอ่านเจอบันทึกความรู้ที่เหมือนกันในคัมภีร์จำนวนมากของสำนักพันอาทิตย์ วิธีการเข้าประตูแห่งความเจ็บปวด วิธีการเปิดประตูโลกแห่งความเจ็บปวด เขาได้ตรวจสอบคำบรรยายเพิ่มเติมในตำราหลากหลายประเภท จนเจอขั้นตอนการเข้ามา
นี่จัดเป็นความรู้ต้องห้าม สำหรับต้าอิน สำหรับพิภพมาร โลกแห่งความเจ็บปวดล้วนเป็นหัวข้อต้องห้ามอย่างเด็ดขาด
ลู่เซิ่งเคยสัมผัสประตูแห่งความเจ็บปวดมาแล้วหลายครั้ง จึงรู้ว่าสิ่งนี้อันตรายขนาดไหน เขาอยากทำลายมันมาแล้วหลายหน แต่ก็ไม่เคยลงมือจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากชิ้นส่วนนี้ในตอนนี้
……………………………………….