ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 408 กฎเกณฑ์ (2)
บทที่ 408 กฎเกณฑ์ (2)
“หลอมรวมกฎเกณฑ์หรือ…” ลู่เซิ่งแสดงท่าทางกระตือรือร้น การมาของคนไขข้อสงสัยมีส่วนช่วยต่อเขามากจริงๆ ในที่สุดปัญหาที่สั่งสมมานานก็ได้รับคำตอบที่สมบูรณ์ นี่ทำให้ในที่สุดข้อสงสัยมากมายที่กดทับอยู่ในใจเขาก็สลายหายไปจนหมด
“ได้รับกฎเกณฑ์ หลอมรวมกฎเกณฑ์ เป็นหนึ่งกับกฎเกณฑ์ ควบคุมกฎเกณฑ์ มรรคากำเนิด” อริยะเจ้าทงเซิงกล่าวอย่างช้าๆ “นี่คือสิ่งที่ท่านต้องทำให้ได้ในขอบเขตดาวหยก ใบไม้ทองคำเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติของจิตวิญญาณ ส่วนดาวหยกนั้นตรงกับคำพูดที่ว่าเมื่อน้ำมาคลองก็ก่อเกิด”
“ขอขอบคุณสหายร่วมเส้นทางทงเซิงที่ไขข้อสงสัย” ลู่เซิ่งลุกขึ้นคารวะอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
ทงเซิงรับการคำนับนี้อย่างตรงไปตรงมา เขามีอายุมากกว่าลู่เซิ่ง ไม่ว่าจะเป็นวัยวุฒิ พลังยุทธ์ ความรอบรู้ ล้วนคู่ควรกับการคารวะนี้
“จะว่าไปอริยะเจ้าส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ก็ล้วนติดอยู่ในขอบเขตดาวหยก ถ้าหากบอกว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติของจิตวิญญาณในขอบเขตใบไม้ทองคำขัดขวางเส้นทางความก้าวหน้าของผู้ถืออาวุธจำนวนนับไม่ถ้วน อย่างนั้นเส้นทางการควบคุมกฎเกณฑ์ก็ขัดขวางเส้นทางของอริยะเจ้าขอบเขตเทวปัญญาทุกคน”
ลู่เซิ่งลุกขึ้นก่อนจะถามคำถามสุดท้าย
“ขอถามสหายร่วมเส้นทางทงเซิง กฎเกณฑ์ของพวกเรามาจากที่ใด”
“สรรพสิ่งในฟ้าดินล้วนมีกฎเกณฑ์ ซึ่งได้มาจากการทำความเข้าใจ” ทงเซิงตอบช้าๆ ด้วยความสงบเยือกเย็น
…..
ลู่เซิ่งส่งอริยะเจ้าทงเซิงที่มุ่งหน้าไปตรวจสอบสถานการณ์เสร็จ ก็กลับมากักตนในห้องลับตามลำพัง
ตอนนี้ห้าระดับขั้นที่ทงเซิงพูดถึงเมื่อก่อนหน้านี้ยังคงสะท้อนอยู่ในห้วงสมองของเขา
‘ได้รับกฎเกณฑ์ หลอมรวมกฎเกณฑ์ เป็นหนึ่งกับกฎเกณฑ์ ควบคุมกฎเกณฑ์ มรรคากำเนิด’
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิ ควันสีทองหลายสายตรงหน้าค่อยๆ ตวัดเป็นคำห้าคำนี้ ลอยอยู่ด้านหน้าเขา
‘กฎเกณฑ์ของแต่ละคนมีความแตกต่าง ถ้าหากว่าเลือกครอบคลุมเกินไป อย่าว่าแต่หลอมรวมกฎเกณฑ์ ได้รับกฎเกณฑ์ก็ยังเป็นไปไม่ได้ ฟ้าดินไร้สิ้นสุด แต่คนมีสิ้นสุด’
ลู่เซิ่งเข้าใจความหมายของทงเซิงคร่าวๆ แล้ว
ในจักรวาลมีแบบแผนกฎเกณฑ์นับไม่ถ้วน กฎเกณฑ์ก็เหมือนกับพลังงานชนิดหนึ่งที่เป็นร่างแปลงของกฎเกณฑ์ หลังจากสำเร็จขั้นได้รับกฎเกณฑ์ การเลือกพลังงานแบบนี้ในขอบเขตกว้างขวางจะมีอานุภาพไร้สิ้นสุดจริงๆ ทว่าความยากก็เทียบได้กับการปีนป่ายสวรรค์เช่นกัน
ดังนั้นอริยะเจ้าส่วนใหญ่จึงเลือกสาขาที่เล็กๆ อย่างเช่นอริยะเจ้าทงเซิงก็บอกกล่าวตามตรงว่า กฎเกณฑ์ของเขาคืออัคคีแดงอาทิตย์อุทัย มันคือเปลวไฟแข็งแกร่งชนิดพิเศษที่เกิดจากการเผาไหม้แร่ เขาใช้เวลาห้าร้อยปีเพื่อศึกษาเปลวไฟชนิดนี้ พอเข้าใจลักษณะพิเศษแต่ละอย่างของมันดุจฝ่ามือ สุดท้ายจึงค่อยกล้าใช้จิตวิญญาณหลอมรวม แล้วสำเร็จเป็นดาวหยก
ครั้งนี้ทงเซิงยังได้เล่าด้วยว่า อริยะเจ้าสำนักซ่อนธาตุคนหนึ่งที่เขาแวะไปเยี่ยมเยียนก่อนหน้านี้ใช้ปราณเถ้าวิญญาณปฐพีมาหลอมรวมกฎเกณฑ์ ปราณเถ้าวิญญาณปฐพีนี้เป็นปราณธาตุดินชนิดหนึ่ง เป็นควันพิษจากที่สิ่งที่ขุ่นมัวและมีพิษร้ายแรงหลายชนิดใต้ดินผสมกันแล้วปล่อยออกมา หลังจากอริยะเจ้าผู้นี้ค้นพบ ก็ได้ศึกษาวิเคราะห์อย่างละเอียด ในที่สุดหลายร้อยปีให้หลังก็สำเร็จมหาวิถี สำเร็จเป็นดาวหยก
จากนั้นระหว่างการสนทนาขอคำแนะนำ ลู่เซิ่งก็ได้สอบถามอย่างละเอียดจนทราบถึงประสบการณ์การหลอมรวมกฎเกณฑ์ของอริยะเจ้าจำนวนไม่น้อย
และเข้าใจคร่าวๆ ว่า อริยะเจ้าเป็นการดำรงอยู่แบบไหนกันแน่
หากดูจากการสรุปของตัวเอง เมื่อใช้คำศัพท์ในเทพนิยายของโลกตะวันตกมาบรรยาย ความจริงอริยะเจ้าก็คือราชาแห่งธาตุนั่นเอง!
ราชาแห่งธาตุคือคนธรรมดาที่ฝึกฝนพลังงานแต่ละชนิดจนสำเร็จ
พวกเขาสามารถจำลองหรือกลายเป็นพลังงานธาตุที่หลอมรวมด้วยได้
‘เมื่อเป็นแบบนี้ เกรงว่าเจ้าแห่งอาวุธที่อยู่ท้ายสุดจะอยู่ในทิศทางนี้เช่นกัน…’ ลู่เซิ่งมองดูเส้นทางของตนอีกครั้ง
เขาซึ่งอาศัยดีปบลูสำเร็จได้ในรวดเดียว ก้าวข้ามศักยภาพที่คนอื่นๆ จำเป็นต้องใช้เวลานับไม่ถ้วนถึงจะสั่งสมได้ แต่เพราะเหตุนี้ เส้นทางที่เขาเดินจึงแตกต่างจากเจ้าแห่งอาวุธดั้งเดิม
‘เส้นทางเมื่อก่อนหน้าถูกต้องแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หลังจากเชื่อมต่อกับอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อก่อนหน้านี้…พลังงานของไฟหยินในกฎเกณฑ์ของเราก็ไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป เดิมทีเราไม่ได้เข้าใจไฟหยินในระดับไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรมากพอ ตอนนี้มีพลังใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก…’
เขาเข้าใจแล้วว่า ถ้าเขาต้องการเดินบนเส้นทางดั้งเดิม จะต้องศึกษาธรรมชาติของไฟหยินอย่างตั้งใจ และครอบครองคุณสมบัติกับกฎเกณฑ์ของมันให้ได้ เวลาและความตั้งใจที่จำเป็น หากไม่ใช่เวลามากกว่าร้อยปีก็อย่าฝันถึง
กักตนอยู่สักระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร เส้นทางอริยะเจ้าดั้งเดิมต้องใช้เวลาและความตั้งใจมากเกินไปจริงๆ กระนั้นลู่เซิ่งกลับพบว่าในวิชาไร้ขอบเขตที่เขาสร้างขึ้นเองไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้
ขอแค่ตามหาอาวุธเทพศัสตรามารมากพอและกลืนกินทีละชิ้นๆ ก็จะยกระดับไปถึงวิชาไร้ขอบเขตขั้นต่อไป
เขาศึกษาอย่างละเอียดจนค้นพบว่า เส้นทางของวิชาไร้ขอบเขตที่ดีปบลูเรียนรู้ได้ก็คือเส้นทางผสม ไม่ว่าจะเป็นพลังอะไรก็โอบรับไว้ทั้งหมด รองรับทุกสิ่ง แล้วเปลี่ยนกลายเป็นแก่นหยาง จากนั้นก็เรียนรู้เพื่อสร้างขั้นต่อไปหลังจากใช้พลังอาวรณ์จำนวนมาก
เขาไม่รู้ว่าดีปบลูจะสร้างสถานการณ์แบบไหนขึ้นมา ทว่าเทียบกับเส้นทางที่ยากลำบากของอริยะเจ้าดั้งเดิม ลู่เซิ่งย่อมเชื่อมั่นดีปบลูที่เขาพึ่งพาอาศัยมานานมากกว่า
หรือควรบอกว่าตอนนี้เขาไม่อาจหันหลังกลับได้แล้ว เพราะกฎเกณฑ์หลักมีของอย่างอื่นผสมอยู่ด้วย ถ้าไม่ใช้ดีปบลูเรียนรู้ ด้วยพลังของเขา ฝึกฝนหลายร้อยปีก็ไม่แน่ว่าจะแยกความลับของอัคคีทองคำแปดเศียรออกได้
กฎเกณฑ์หลักของคนอื่นบริสุทธิ์ แต่กฎเกณฑ์หลักของเขายังอยู่ในสภาพไม่เสถียร และมีของอย่างอื่นเจือปนอยู่ด้วย
แต่แบบนี้ลู่เซิ่งยังคงเลื่อนสู่ระดับดาวหยกได้ โดยอาศัยกายเนื้อของตัวเองในการรองรับภัยซ่อนเร้นของไฟหยินอันเป็นแกนหลัก
วันต่อมา อริยะเจ้าทงเซิงยังไม่กลับมา คณะทูตที่มาจากราชสำนักกลุ่มหนึ่งกลับมาถึงเขตจันทราสารท ขณะเดียวกันก็แอบขอเข้าพบลู่เซิ่งที่ตอนนี้เป็นผู้บัญชาการใหญ่
“ฉยงเจินองค์ชายสองหรือ” ลู่เซิ่งนั่งอยู่ในห้องรับแขก เพ่งมองหลิวซั่งหย่งกงกง ขันทีจากราชสำนักที่ใบหน้าไร้หนวดเคราเบื้องหน้า
“ถูกต้อง พอองค์ชายรองทรงทราบว่าใต้เท้าต่อสู้กับจ้าวแห่งมารจากพิภพมารตนนั้นจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ก็รับสั่งให้ข้าน้อยนำเอาเห็ดอวี้จือพันปีหนึ่งดอก ถั่งเช่าม่วงสิบต้น มาให้ใต้เท้าใช้พื้นฟูพลังทันที” หลิวซั่งหย่งเป็นบริวารของฉยงเจิน องค์ชายสองซึ่งมีขุมกำลังเป็นอันดับหนึ่งในราชสำนัก
ความจริงเจตนาการมาของเขาในตอนนี้แสดงออกอย่างชัดเจนยิ่ง
ในต้าอิน จำนวนของอริยะเจ้ามีไม่มาก สามสำนักมีทั้งหมดไม่เกินยี่สิบคน สามตระกูลมีจำนวนใกล้เคียงกัน ในสถานการณ์แบบนี้ อริยะเจ้าคนหนึ่งเป็นผู้เข้มแข็งระดับสุดยอดที่มีความสำคัญถึงขีดสุด
การที่องค์ชายสองรีบมาดึงเขาเป็นพวกไม่ถือว่าแปลกอะไร
แต่ลู่เซิ่งไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับการแก่งแย่งในราชสำนัก จึงโบกมือ
“สิ่งของไม่จำเป็นแล้ว ท่านนำกลับไปเถอะ รายงานองค์ชายรองว่า ข้าไม่สนใจเรื่องทางโลก ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย”
หลิวซั่งหย่งยังคิดเกลี้ยกล่อม แต่ลู่เซิ่งพลันยื่นมือออกมาแตะ ปากพลันถูกแก่นหยางอุดไว้จนส่งเสียงไม่ได้ เลยได้แต่พาขบวนคนจากไปอย่างจนปัญญา
อริยะเจ้าหรืออริยะมารเหมือนมีจำนวนไม่น้อย แต่นั่นเป็นขอบเขตของทั้งต้าอิน มิหนำซ้ำนี่ยังรวมจำนวนที่เร้นกายอยู่ในเขตลับแต่ละเขตด้วย ความจริงผู้ที่ยินยอมเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอกอย่างแท้จริงมีรวมกันไม่เกินยี่สิบคน
นอกจากเจ้าแห่งอาวุธห้าคน คนเกือบยี่สิบคนนี้คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในต้าอิน และปัจจุบันลู่เซิ่งก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน
หลังจากส่งทูตจากไป ลู่เซิ่งก็ติดตามอริยะเจ้าทงเซิงไปเยี่ยมเยียนอริยะเจ้าคนอื่นๆ ที่อยู่ในเขตถ่ายทอดความลับที่อยู่ใกล้ๆ ทั้งหมดล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเร้นกายของสามสำนักที่เป็นพวกเดียวกัน เขาได้เห็นอานุภาพกฎเกณฑ์หลักที่แตกต่าง ทั้งยังเกิดความคิดเห็นใหม่ๆ ต่อไฟหยินของตัวเขาเองไม่น้อย
ถ้าไม่ใช่เพราะเขตถ่ายทอดความลับมีสารกายเต็มเปี่ยมถึงขีดสุด และระยะห่างระหว่างเขตสั้นเป็นอย่างมาก จนทำให้เขตถ่ายทอดความลับเล็กกว่าต้าอิน พวกเขาคงไม่มีทางได้เจออริยะเจ้าจำนวนมากเร็วขนาดนี้
หลังจากได้เห็นกฎเกณฑ์หลักใหม่ๆ ของอริยะเจ้าอย่างต่อเนื่อง ลู่เซิ่งก็นับถืออริยะเจ้าทงเซิงมากกว่าเดิม ทงเซิงตอบข้อสงสัยให้แก่ลู่เซิ่งทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ตัวเขาไม่มีความจำเป็นต้องไปเยี่ยมเยียนอริยะเจ้าที่อยู่รอบๆ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาต้องสิ้นเปลืองสมองและเดินทางไปทั่วเพื่อให้ลู่เซิ่งสัมผัสตำแหน่งของตนในหมู่อริยะเจ้าได้ชัดเจนกว่าเดิม
ลู่เซิ่งมีความเข้าใจบางอย่างจากการเยี่ยมเยียนหลายวันติดต่อกัน เขากักตนอีกครั้ง การกักตนครั้งนี้กินเวลาสั้นถึงขีดสุด ใช้เวลาแค่ช่วงบ่าย หลังจากออกจากการกักตน ลู่เซิ่งก็ตรงดิ่งไปยังหอคัมภีร์ทันที
เขาต้องแก้ไขการหลอมรวมกฎเกณฑ์ของไฟหยินหลังจากผสมความลับของอัคคีทองคำแปดเศียรเข้าไปเสียก่อน นี่เป็นภัยแฝงในร่างกายของเขา ณ เวลานี้
ต่อจากนั้นค่อยพิจารณาดูว่า จะเลือกกฎเกณฑ์อะไรมาเป็นพื้นฐานการหลอมรวมของตัวเอง
ลู่เซิ่งนึกทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ตนเรียนรู้ไฟหยินในระดับไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรในตอนนั้น รู้ว่าขอแค่มีพลังอาวรณ์มากพอ ตนอาจจะเรียนกฎเกณฑ์พื้นฐานที่เหี้ยมหาญกว่าเดิมได้
เทียบกับพลังงานพื้นฐานแต่ละชนิดที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งอริยะเจ้าคนอื่นๆ ได้แต่หาทางเรียนรู้ในพื้นที่ของตัวเอง ลู่เซิ่งสามารถใช้พลังอาวรณ์ยกระดับและเรียนรู้พลังงานพื้นฐานชนิดหนึ่งจนไปถึงขั้นที่ไม่อาจบรรยายได้
ไฟหยินที่ตอนแรกเป็นเพียงพลังกำเนิดธรรมดาถูกเขายกระดับถึงขั้นกฎเกณฑ์ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติกลายเป็นไฟหยินในระดับไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรเหมือนกันไม่ใช่หรือ
ปัจจุบันถ้าหากหาพลังอาวรณ์จำนวนมากกว่าเดิมได้ ลู่เซิ่งจะเลื่อนระดับไฟหยินต่อได้อีกถึงขั้นสุดประมาณ มิหนำซ้ำเป็นเพราะดีปบลูเรียนรู้ได้ ความเชื่อและความเข้าใจของเขาต่อไฟหยินก็เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะบรรลุเงื่อนไขหลอมรวมกฎเกณฑ์พอดี
เพียงแต่ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ต้องการพลังอาวรณ์จำนวนมากพอ
……
ณ เขตเมฆหนา นครเขต
ด้านในลานเรือนที่เปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง
ต้วนเจ๋ออริยะหอกเมฆาเหินค่อยๆ เช็ดหอกยาวสีขาวหิมะด้านหน้าตัวเองด้วยสายตาอ่อนโยน เหมือนกับลูบไล้ผิวพรรณของคนรัก
เขาสำเร็จเป็นผู้ถืออาวุธมามากกว่าร้อยปีแล้ว ครั้งนี้เดินทางไกลเป็นพันลี้ จากนครจังหวัดอันเป็นบ้านเกิดมาที่นี่ และพักอยู่ในเขตเมฆหนาแห่งนี้ชั่วคราวเพื่อหลบเลี่ยงภัยพิบัติมาร
เขาได้เห็นคำสั่งปราบปรามของสามสำนักและต้าอินแล้ว รวบรวมผู้เข้มแข็งในยุทธภพไปปราบทัพมาร ทว่าเขาต้วนเจ๋อไม่ใช่คนโง่ ภัยพิบัติมารมีสภาวะยิ่งใหญ่ ถ้าหากเขาไปเสี่ยงชีวิตกับแม่ทัพมารและราชามารอย่างโง่เง่าจริงๆ นั่นจึงเรียกว่าปัญญาอ่อนของแท้
แต่หากเล่าลือกันออกไปว่าเขาหลบภัยอยู่ในอาณาเขตของคนอื่นโดยไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ชื่อเสียงคงไม่น่าฟังนัก เขาจึงปลอมตัวเป็นคนธรรมดา หลังจากใช้หอกกำจัดตระกูลหนึ่งในเมือง ทำตัวเป็นพิราบยึดครองรังนกกางเขน ก็เข้าไปอยู่และใช้วิชาลวงตาเพื่ออำพรางตนเอง โดยปลอมเป็นคนธรรมดาพร้อมทั้งใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
ตอนนี้ด้านนอกนครเขตวุ่นวายกว่าเดิม ต้วนเจ๋อไม่มีอะไรทำก็ออกไปจับตัวสตรีรูปร่างหน้าตาไม่เลวหลายคนมาเสพสุข หลังเล่นเสร็จก็ทำพิธีกฎเกณฑ์ให้แก่หอกเมฆาเหินสุดรัก ได้ผลดีทั้งสองฝ่าย
นครเขตเล็กๆ ทุ่มเทสุดกำลังเพื่อรับมือภัยพิบัติมาร จึงไม่มีความสามารถค้นหาเหล่าสตรีที่หายตัวไปอย่างลึกลับ
“เมฆาเหินหนอเมฆาเหิน พวกเราอยู่ด้วยกันมามากกว่าร้อยปี อุตส่าห์สร้างกิจการขึ้นที่บ้านเกิด น่าเสียดาย…ถ้าหากอยู่ที่บ่อเมฆ พวกเราคงไม่ต้องทนลำบากแบบนี้” ต้วนเจ๋อคับข้องใจขณะลูบหอกเมฆาเหิน คิดจะไปจับคนกลับมาแก้เบื่ออีกครั้ง
“เด็กสาวที่เจ้านำกลับมาเมื่อก่อนหน้านี้เลือดลมแห้งเหือด จิตใจสับสน รสชาติแย่เกินไป คุณสมบัติไม่พอ ถ้าหากครั้งนี้ยังเป็นของแบบนี้อีก อย่าโทษข้าไม่นึกถึงน้ำใจเล่า” มีเสียงสตรีแหลมคมดังมาจากในหอกเมฆาเหิน แม้เนื้อเสียงจะยั่วยวน แต่น้ำเสียงกลับเย็นชาอย่างน่าประหลาด
“ข้าย่อมระวัง เพียงแต่…ครั้งนี้พวกเรา…” อยู่ๆ ต้วนเจ๋อก็หยุดพูด เงยหน้ามองไปยังประตูเรือน ไม่ทราบว่าประตูตรงนั้นเปิดออกเองตั้งแต่ตอนไหน ทว่าด้านหน้าว่างเปล่าไม่มีใครสักคนเดียว
“ผู้ใด!” หอกเมฆาเหินพลันสั่น แสงเงินจางๆ สว่างขึ้นทั่วทั้งตัวหอก ลวดลายหอยสังข์ทรงสามเหลี่ยมหมุนวนบนด้ามหอกช้าๆ
ต้วนเจ๋อลุกพรวด แสงเงินระเบิดขึ้นทั่วร่าง แล้วค่อยๆ ผนึกรวมเป็นเงาหอยสังข์ขนาดใหญ่ ห่อหุ้มเขาไว้ด้านใน ครั้นใช้พลังอาวุธเทพเป็นการป้องกัน จิตใจเขาก็ค่อยๆ สงบลงเล็กน้อย
พึงทราบว่าเรือนแห่งนี้อยู่ในขอบเขตพลังแห่งสายเลือดอาวุธเทพของเขามาโดยตลอด ทว่าเมื่อครู่เขาสัมผัสได้ว่ามีคนแท้ๆ อีกทั้งทั้งยังรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเข้ามาในเรือน กลับไม่ทราบว่าคนผู้นั้นอยู่ไหน
“ผู้อาวุโสท่านใดกำลังล้อเล่นกับข้าน้อยอยู่ ข้าน้อยต้วนเจ๋อหอกเมฆาเหิน บ่อเมฆเผชิญภัยพิบัติมาร จึงจำเป็นต้อง…” ต้วนเจ๋อไม่ได้พูดต่อ
ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากพูด แต่ไม่ทราบว่าที่หว่างคิ้วของเขามีนิ้วข้างหนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่
นิ้วสีดำสนิทที่มีเล็บแหลมคมแตะหว่างคิ้วเขาเบาๆ ต้วนเจ๋อกลับไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย เพียงมองดูเงาคนสูงใหญ่ซึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำไว้ทั่วร่างตรงหน้าอย่างตะลึงงัน
“อย่าโทษข้าเลย…” เงาคนถอนใจ “ถ้าจะโทษก็โทษที่เจ้ามายังที่นี่…”
“ผู้…ผู้อาวุโส…” ต้วนเจ๋อเหงื่อกาฬไหลหลั่งทั่วร่าง ยังคิดจะพูดอะไร แต่ก็สายไปแล้ว
ตูม!
แสงสีดำจุดหนึ่งระเบิดขึ้น ต้วนเจ๋อตัวระเบิดอย่างฉับพลัน ร่างกายหดตัวลงและกระจัดกระจายไปทั่วสี่ทิศในพริบตาเหมือนกับก้อนเลือด ทว่าเลือดเนื้อและซากกระดูกยังไม่ทันกระจายออกไปทั้งหมด ก็ถูกแสงสีทองกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มและเผาไหม้ไปในชั่วเสี้ยววินาที พริบตาเดียวเลือดเนื้อทั้งหมดก็กลายเป็นควันดำกลุ่มใหญ่
เงาคนสูดลมหายใจเบาๆ สูดควันดำเข้าจมูก มือข้างหนึ่งคว้าหอกเมฆาเหิน แล้วกระโดดอย่างแผ่วเบาพุ่งเข้าไปในเงามืด ก่อนจะหายไปไร้ร่องรอย
……………………………………….