ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 41 ล้อเล่นกับความรู้สึก (5)
ลู่เซิ่งพลันงงงวย
เมืองเลียบคีรีเทียบกับเมืองเก้าประสานไม่ได้ เหลาสุราแห่งหนึ่งของเมืองเลียบคีรีไปอยู่ที่เมืองเก้าประสาน มูลค่าอย่างน้อยเท่ากับมีสิบแห่ง!
ที่นี่ถึงกับมีเหลาสุราสิบห้าแห่ง! นี่มิใช่จำนวนมากธรรมดา! แค่เหลาสุราสิบห้าแห่งนี้ ขนาดใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลลู่ซื้อ ก็ไม่แน่จะซื้อได้
เป็นเพราะนอกจากเงินทองเปลือกนอกแล้ว คิดจะเปิดเหลาสุราในสถานที่เหล่านี้ เบื้องหลังจำเป็นต้องออกแรงติดสินบนมากเกินไป บนๆ ล่างๆ อย่างน้อยต้องมีตั๋วเงินร้อยหมื่นตำลึง นี่ก็มากกว่าทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลลู่แล้ว
อันใดคือเศรษฐี! นี่เอง!
ลู่เซิ่งยามนี้เข้าใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า อะไรคือเอาเงินฟาดหัว อะไรคือขว้างทองหมื่นแท่ง! อะไรคือถูกเลี้ยงดู…
หนำซ้ำยังไม่พูดถึงเงินทอง แค่จำนวนเส้นสายเบื้องหลังนายผู้เฒ่าเฉิน เกิดเขารับปาก มิพักเอ่ยถึงเรื่องวัตถุดิบยาของบำรุงจะแก้ไขได้โดยสิ้นเชิง ยังมีการเสาะหาวรยุทธ์อีก คงจะง่ายดายเหลือเกิน
เมืองเลียบคีรีเทียบกับเมืองเก้าประสานไม่ได้ ที่นี่เป็นเมืองยุทธศาสตร์ส่วนกลาง ตั้งอยู่ที่จุดคอขวดระหว่างแดนเหนือกับจงหยวน การป้องกันเมืองกับระดับบนของราชสำนักล้วนมีความเกี่ยวข้องโดยตรง
สามารถลงหลักปักฐานที่นี่ กลายเป็นคหบดีอันดับหนึ่งได้ พื้นฐานของนายผู้เฒ่าเฉินจะต้องเหนือกว่าจินตนาการของลู่เซิ่งมากแน่ ย่อมไม่ใช่ทานทนไม่ได้ดั่งคำวิจารณ์ของคุณชายที่เจอเมื่อวาน
เฉินอวิ๋นซีที่อยู่ตรงข้ามสารภาพรัก ลู่เซิ่งรู้ว่าถ้าสตรีสารภาพ ต่อให้ที่นี่มีกระแสนิยมเปิดเผย ก็จำเป็นต้องใช้ความกล้ามากมาย เฉินอวิ๋นซีทำแบบนี้แล้ว
เขาสูดหายใจลึกๆ คำหนึ่ง มองเด็กสาวที่อยู่ใกล้แค่คืบตรงหน้า
“ท่านเก็บของไว้ก่อน”
เฉินอวิ๋นซีได้ยิน พินิจมองลู่เซิ่ง ค่อยมองสัญญาการค้าบนมือของตัวเอง กัดริมฝีปากเบาๆ พร้อมเก็บสัญญาการค้าไว้
“พี่ใหญ่ลู่ ท่าน…”
“ข้าไม่ใช่ไม่มีความรู้สึกดีต่อท่าน… สำหรับคนอื่น ขายาวๆ ของท่านเป็นข้อด้อย เป็นความพิการแต่กำเนิด แต่สำหรับข้า ขาท่านกลับเป็นส่วนที่งดงามที่สุดของท่าน” ลู่เซิ่งอดกล่าวคำพูดนี้ออกมาไม่ได้ เป็นไม่พูดอยู่ไม่สุขโดยแท้
เฉินอวิ๋นซีได้ยิน ยังนึกว่าลู่เซิ่งปลอบนาง แต่พินิดูลู่เซิ่งแล้ว นางเพียงเห็นความจริงใจจากด้านใน ทันใดนั้นนางรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดความจริง ลู่เซิ่งชอบขายาวๆ จริงๆ ไม่ใช่ชอบเด็กสาวตัวเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มเหล่านั้น
“แต่ว่า” ลู่เซิ่งเปลี่ยนน้ำเสียง “เฉินอวิ๋นซี ท่านแน่ใจหรือว่าท่านรู้จักข้าจริงๆ รู้ว่าข้าเป็นคนแบบไหนจริงๆ พวกเราพึ่งรู้จักกันได้ไม่กี่เดือน ส่วนที่ท่านเห็นข้าก็คือด้านที่อยู่ในสถานศึกษายามปกติ ท่านยังไม่ได้รู้จักข้าโดยสมบูรณ์จริงๆ ข้าก็ไม่ได้รู้จักด้านอื่นๆ ของท่านอย่างสมบูรณ์จริงๆ ข้าไม่หวังให้อีกครึ่งหนึ่งในอนาคตของท่านเสียใจเพราะการตัดสินใจที่ได้ทำลงไปตอนพบด้านอื่นๆ ของข้า”
เขากล่าวคำพูดนี้ ความจริงส่วนใหญ่คือไม่ต้องการดึงเฉินอวิ๋นซีเข้ามาในชีวิตตัวเอง
เขาที่มีเครื่องมือปรับเปลี่ยน เคยพบเจอการดำรงอยู่เช่นภูตผีปีศาจ ไม่เหมือนคนทั่วไปที่ยอมเป็นคนธรรมดา เขาคิดเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง ไม่ต้องการเหมือนคนทั่วไป เพียงอาศัยโชคกับความประมาทเลินเล่อของคนอื่นเพื่อให้อยู่รอด เขาต้องการควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองในโลกที่ดำมืดอันตรายใบนี้!
นี่จึงเป็นสิ่งที่เขาต้องการ ชีวิตและการแสวงหาเช่นนี้เต็มไปด้วยอันตราย การสร้างครอบครัวเร็วเกินไป สำหรับเขารังแต่จะกลายเป็นจุดอ่อนที่คนอื่นคว้าไว้
เฉินอวิ๋นซีฟังคำพูดนี้ของลู่เซิ่งจบ กลับไม่เพียงไม่มีความผิดหวังอย่างผิดวิสัย พานสองตาสว่างไสวกว่าเดิม
“พี่ใหญ่ลู่มองเงินทองเหมือนปุ๋ยดิน อวิ๋นซีทราบว่าตัวเองไม่ได้มองคนผิด!” นางจ้องมองลู่เซิ่งด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาว
“ในเมื่อพี่ลู่ยังไม่ยินดี อวิ๋นซีจะเชื่อฟังท่าน ภายหลังจะตั้งใจทำความรู้จักท่าน ทำความรู้จักทุกอย่างของท่าน รับทุกอย่างของท่าน!” นางพูดจบ สองมือกุมใบหน้าแดงก่ำ หมุนตัวหนีไปแล้ว
ลู่เซิ่งมองเงาหลังที่ห่างออกไปของนาง ในใจหมดคำพูด
‘นี่นับว่าให้ผลตรงกันข้ามหรือ?’
เขาส่ายหน้า กลับไปเรียนต่อที่ห้องเรียน
ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวลาหนึ่งวันผ่านไป ในวันนี้หวังจื่อเฉวียนยังไม่ปรากฏตัว ซ่งเจิ้นกั๋วหาเวลาว่างไปที่ห้องเช่าที่เขาอยู่ชั่วคราว ไม่มีคน ในใจกังวลอยู่บ้าง จึงนัดแนะกับลู่เซิ่งว่าถ้าวันที่สองหวังจื่อเฉซียนยังไม่มา จะไปตามหาเขาด้วยกัน
ผ่านไปอีกหนึ่งคืน วันที่สอง ลู่เซิ่งเข้าห้องเรียนทันเวลาตามเดิม ตอนผู้เฒ่าหลูเริ่มสอน หวังจื่อเฉวียนยังไม่มาอีก
ผู้เฒ่าหลูเรียกชื่อ ถามสถานการณ์ในบ้านของเขาหลายประโยค
“ห้องเช่าของข้าอยู่ใกล้กับหวังจื่อเฉวียน เมื่อวานไม่เห็นในห้องเขาจุดไฟ คล้ายกับออกไปด้านนอกแล้ว” นักศึกษาที่ร่างกายดูอ่อนแอมากคนหนึ่งลุกขึ้นตอบ
“กลับบ้านเก่าไปหรือไม่” ผู้เฒ่าหลูขมวดคิ้ว “กลับบ้านก็สมควรขอลาหยุดกับสถานศึกษาสิ ใช้ไม่ได้! เขาไม่อยากได้การแนะนำการทดสอบประจำปีของปีนี้แล้วกระมัง”
การทดสอบประจำปีจำเป็นต้องให้สถานศึกษาร่วมกันลงนามแนะนำขึ้นไป ต้องส่งรายชื่อขึ้นไป ไม่อย่างนั้นก็เข้าสอบไม่ได้ ถ้าหากว่าความประพฤติในสถานศึกษาย่ำแย่เกินไป ก็จะไม่ได้รับการแนะนำ แม้แต่คุณสมบัติเข้าร่วมการทดสอบประจำปีก็ไม่มี
“การทดสอบประจำปีกำลังจะมาถึง หวังจื่อเฉวียนไฉนจึงได้กระทำเลอะเลือนเช่นนี้” ซิ่งเจิ้นกั๋วกล่าวเบาๆ รีบลุกขึ้น “อาจารย์หลู อาจเป็นเพราะหวังจื่อเฉวียนประสบเรื่องด่วนอะไรชั่วคราว ข้ารู้จักลูกผู้น้องในเมืองของเขา อีกเดี๋ยวข้าจะไปถามสถานการณ์ดู”
“อืมไปเถอะ ระหว่างเพื่อนนักเรียนสมควรช่วยเหลือกันและกัน” ผู้เฒ่าหลูดวงตาฉายความชื่นชม
จากนั้นเรื่องนี้ก็ผ่านไป เริ่มสอนเนื้อหาต่อ
ลู่เซิ่งมองซ่งเจิ้นกั๋ว เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว คล้ายกำลังเป็นห่วงหวังจื่อเฉวียน เขาตั้งสมาธิ นึกถึงเรือสำราญกลางดึกที่เคยไปมาลำนั้น บางทีถ้าถามซ่งเจิ้นกั๋วอาจมีเบาะแสบางส่วน
จนกระทั่งเลิกเรียน เนื้อหาที่เรียนสำหรับลู่เซิ่งแล้วไม่มีความยากอันใด ใช้ความสามารถในการเรียนของอดีตนักศึกษาวิจัยมารับมือสิ่งเหล่านี้ การสอบผ่านง่ายดายเพียงยกมือ จึงไม่มีความลำบาก
แต่สำหรับซ่งเจิ้นกั๋วแล้ว สิ่งเหล่านี้เกิดว่าแบ่งสมาธิก็เรียนได้ลำบากแล้ว เรียนเสร็จเขายังต้องนั่งหมอบจัดเนื้อหาการบรรยายที่อาจารย์หลูสอนเมื่อก่อนหน้า จดมันใส่บันทึก
“พี่เจิ้นกั๋ว” ลู่เซิ่งเดินไป กล่าวเบาๆ “ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องอยู่บ้าง จื่อเฉวียนปกติระมัดระวังตัวยิ่ง กับงานของสถานศึกษาก็ให้ความสำคัญยิ่งกว่าพวกเราคนไหนๆ ไฉนจึงไม่มาเรียนติดกันสองวัน”
ซ่งเจิ้นกั๋วค่อยๆ ยกพู่กันขึ้น แสดงสีหน้าเคลือบแคลงเหมือนกัน
“ข้ากำลังคิดถึงตรงนี้พอดี ดังนั้นวางแผนไปจะถามสถานการณ์ดู”
“ไปด้วยกันเถอะ ข้าเป็นห่วงอยู่บ้างเหมือนกัน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างจริงจัง
ซ่งเจิ้นกั๋วมองลู่เซิ่งอย่างประหลาดใจ ความจริงก่อนหน้านี้ระหว่างคาบเรียนเขาได้ถามเพื่อนนักเรียนที่ปกติเล่นด้วยกัน คนที่ทุกครั้งดูเหมือนสนิทกันยิ่ง ไม่ว่าหญิงชาย ต่างไม่มีใครยินยอมหาความยุ่งยากใส่ตัว ไปหาคนถามไถ่ พอฟังเรื่องนี้ ก็พากันหาข้ออ้างแต่ละอย่างมาบอกปัด นี่ทำให้เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าสหายที่เรียกกันเหล่านี้สุดท้ายเป็นคนยังไง จึงไม่พอใจยิ่ง
กลับคิดไม่ถึงว่าลู่เซิ่งจะมาบอกด้วยตัวเองว่าจะไปกับเขา
“ก็ได้ พี่ลู่โปรดรอสักประเดี๋ยว ข้าขอเก็บของก่อน”
“ได้”
รอซ่งเจิ้นกั๋วเก็บของแล้ว คนทั้งสองก็ออกจากสถานศึกษาอย่างรวดเร็ว ขึ้นนั่งบนรถม้าที่จองไว้ก่อนหน้านี้ที่ประตู ตรงเข้าไปในเมือง
ระหว่างทางสองคนต่างเป็นกังวลเล็กน้อย นิสัยของหวังจื่อเฉวียนเห็นการทดสอบประจำปีของสถานศึกษาสำคัญกว่าสิ่งใด ไฉนอยู่ๆ ถึงกลายเป็นไม่มีข่าวคราว
ในร้านผงหอมร้านหนึ่งบนถนนกำเนิดทองเมืองเลียบคีรี ทั้งสองคนเดินหาเฉินหง ลูกผู้น้องของหวังจื่อเฉวียนเจออย่างรวดเร็ว เขาเป็นเถ้าแก่ของร้านนี้ อายุน้อยก็ควบคุมกิจการด้วยตัวเองแล้ว
“พี่จื่อเฉวียนหรือ ไม่มีนะ ถ้าจะกลับบ้าน ปกติเขาจะมาถามข้าทุกครั้ง ให้ข้าช่วยเขาย้ายของนำกลับไป พวกหนังสือเอย เสื้อผ้าเอย หีบเอย จะว่าไปข้าก็ไม่เห็นเขามาหลายวันแล้วเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ท่านพี่มิใช่ว่าไปอยู่กับพวกพี่ใหญ่ซ่งท่านหรือ” เฉินหงลูกผู้น้องของหวังจื่อเฉวียนถามอย่างสงสัย
ซ่งเจิ้นกั๋วได้ยิน สีหน้ายิ่งเป็นกังวลกว่าเดิม ประสานสายตากับลู่เซิ่ง
“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้อยู่ด้วยกันกับพวกข้าจริงๆ เพียงแต่สองวันนี้ไม่เจอตัวเขา จึงมาถามดู”
“อ้อ… จะว่าไปกลางดึกวันก่อนท่านพี่ก็มาที่นี่ครั้งหนึ่ง ขอถุงหอมกับแป้งน้ำชั้นดีหลายชิ้น” เฉินหงหัวเราะขึ้นมา “ข้าว่าสิบส่วนมีแปดส่วนคือมีความรักแล้ว! เหอะๆ ถุงหอมกับแป้งน้ำที่เอาไปล้วนเป็นแบบของเด็กสาววัยรุ่น จุ๊ๆๆ…”
“กลางดึกวันก่อนหรือ ยามไหน?” ลู่เซิ่งพลันเอ่ยถาม สีหน้าเปลี่ยนเป็นพิกลเล็กน้อย
“ราวๆ ยามโฉ่วกระมัง… ถึงอย่างไรก็ดึกมากแล้ว ข้าหลับไปแล้ว ถูกท่านพี่ปลุกให้ตื่น ให้ข้าลงมาเอาของให้เขา เฮ้อ เป็นเพราะถูกปลุกกลางดึก ตอนนี้ความทรงจำยังชัดเจน” เฉินหงลูบคางกล่าว “จะว่าไป มาเอาถุงหอมกับแป้งน้ำดึกปานนั้น… จุ๊ๆ…” บนใบหน้าเขาเผยรอยยิ้มที่บุรุษล้วนเข้าใจออกมา
ซ่งเจิ้นกั๋วสับสนอยู่บ้าง หัวคิ้วขมวดมุ่น ไม่เข้าใจว่าเป็นเรื่องใด
แต่ลู่เซิ่งกลับมีการคาดเดาบางส่วนในใจแล้ว จิตใจหนักอึ้งขึ้นมา
ซ่งเจิ้นกั๋วเห็นสีหน้าลู่เซิ่ง ก็ทราบว่าเขามีการคาดการณ์อันใดแล้ว รีบบอกลาเฉินหง
ออกจากร้าน เขาลากลู่เซิ่งเข้าไปในมุมหนึ่งข้างทาง
“เยวี่ยเซิง ท่านว่ามา นึกถึงเบาะแสอันใดออกแล้วใช่หรือไม่! จื่อเฉวียนแม้แต่ลูกผู้น้องตัวเองก็ไม่บอก ทั้งยังออกไปกลางดึกคืนวันก่อน แต่ว่าคืนวันก่อนเขาไม่ใช่ไปดื่มสุรากับเราที่เรือสำราญหรือ” เขามีสีหน้าเคร่งขรึม
ลู่เซิ่งจ้องซ่งเจิ้นกั๋วอย่างจริงจัง
“เจิ้นกั๋ว ความจริงในคืนวันนั้น หลังข้าไปแล้ว ก็กลับไปเรือสำราญลำนั้นอีกรอบหนึ่ง”
ซิ่งเจิ้นกั๋วงุนงง “เยวี่ยเซิงท่านกลับไปทำอะไร ดึกขนาดนั้นแล้ว เรือสำราญคงจะหยุดการค้าแล้วใช่หรือไม่”
“หยุดการค้าแล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าไปเพราะลืมถุงเงินไว้บนเรือ จึงกลับไปหา คิดไม่ถึง…’
“คิดไม่ถึงอะไร” ซ่งเจิ้นกั๋วสีหน้าเคร่งเครียดตาม ได้รับผลกระทบจากน้ำเสียงในคำพูดของลู่เซิ่ง
“คิดไม่ถึง ในเรือสำราญไม่มีใครสักคน แขวนโคมไฟแดงเต็มไปหมด” ลู่เซิ่งหยีตา เล่าต่อ “ข้ารีบเข้าไปในห้องที่พวกเราอยู่ก่อนหน้า ด้านในยังแขวนโคมไฟใหญ่สองใบ แต่ก็ยังไม่มีใครเหมือนเดิม แม้แต่คนทำความสะอาดก็ไม่เห็น ภายหลังข้าเจอถุงเงิน จึงรีบวิ่งออกมาแล้ว”
“ไม่มีสักคนเดียว… หรือว่า…” ทันใดนั้นซ่งเจิ้นกั๋วคล้ายนึกอันใดได้แล้ว “หรือหมายถึง จื่อเฉวียนเพื่อส่งแป้งน้ำกับถุงหอมให้เด็กสาวบนเรือสำราญ จึงตั้งใจไปหาลูกผู้น้องกลางดึก แต่ในเมื่อท่านกลับไปเช่นกัน ไฉน…”
“มีความเป็นไปได้สูงยิ่ง!” ลู่เซิ่งนึกออกแล้ว “หยุดเดาเถอะ พวกเราไปถามที่เรือสำราญกัน”
ซ่งเจิ้นกั๋วได้ยินก็พยักหน้า
สองคนไม่พูดพร่ำทำเพลง เรียกรถม้าอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังริมแม่น้ำไม้สน ยามนี้สีท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เป็นเวลาเที่ยวเล่น ดื่มสุราบุปผชาติตอนเย็นพอดี
ซ่งเจิ้นกั๋วพาลู่เซิ่งไปถึงเรือสำราญที่พวกเขาเคยขึ้นก่อนหน้านี้ลำนั้นอย่างคุ้นชินทาง เรือลำนี้มีชื่อว่าเรือสำราญอิงอิง
………………………………………….