ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 410 เรียนรู้ (2)
บทที่ 410 เรียนรู้ (2)
แก่นหยางสีทองกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มที่ปัดฝุ่นไว้อย่างรวดเร็ว แล้วลอยไปติดอยู่ด้านหลังของเขา ลู่เซิ่งไม่เหลือบแลกระดูกของนักพรตบนพื้น กระโดดเบาๆ พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงสีดำหายไปยังที่ไกล
ส่วนนักพรตที่โผล่มาทีหลังผู้นั้นเป็นใครมีพลังระดับไหน เขาล้วนไม่สนใจ สำหรับเขาที่ครอบครองลักษณะพิเศษของอัคคีทองคำแปดเศียรขั้นต้น ขอแค่ไม่ใช่ระดับอริยะเจ้า แค่จุดไฟเผาก็จัดการได้แล้ว
ส่วนการพร่ำเพ้อในตอนสุดท้ายของนักพรตผู้นั้น คนที่เขาฆ่าทิ้งมีมากเกินไป มนุษย์และมารที่สังหารไปในเวลาแค่สองเดือนแม้ไม่ถึงหมื่นก็มีถึงแปดพัน ไหนเลยสนใจนักพรตคนเดียวที่เจอโดยบังเอิญ
ต่อให้เขามีอาวุธเทพดาวหยกก็เป็นเหมือนกัน
……
เขตพิทักษ์ราษฎร์ ตำบลตั้งโอ๋
“เป็นอะไรไปเสี่ยวเต๋อ” พอฉยงซังรู้สึกได้ว่าสหายที่อยู่ข้างๆ หยุดลงอย่างกะทันหัน เขาก็หยุดตาม แล้วเงยหน้ามองอย่างสงสัย
บนใบหน้าเย็นชาของฮั่วเฉิงเต๋อฉายแววเจ็บปวดแวบหนึ่ง
“ไม่มีอะไร…อยู่ๆ ก็ปวดหน้าอก อาจเป็นเพราะช่วงนี้เหนื่อยล้าเกินไป พักผ่อนเดี๋ยวเดียวก็คงหาย”
“จะว่าไปครั้งนี้พวกเรามาขอหลบภัยที่บ้านเจ้า คงจะไม่สร้างปัญหาให้แก่พวกเจ้ากระมัง” หลี่ซุ่นซีที่อยู่ด้านข้างถามเบาๆ พลางขมวดคิ้ว “ถึงอย่างไรลุงฮั่วก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ผู้เฒ่าภูผาวารีที่โด่งดัง เกิดถูกพบว่าซ่อนตัวพวกเราไว้…”
“ข้าเชื่อพ่อข้า ตั้งแต่เด็กจนโต เขาไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังสักครั้ง” ฮั่วเฉิงเต๋อกล่าวพลางส่ายหน้า
ฮั่วซินหยวนบิดาของเขาสร้างตระกูลขุนนางใหม่อย่างตระกูลฮั่วด้วยมือเดียวตั้งแต่เริ่มต้น ครอบครองอาวุธเทพที่เป็นที่ปัดฝุ่นกวางขาวกวาดหทัย มีอานุภาพน่าตกตะลึง
ต่อให้เขาเป็นเด็กน้อยในตระกูล ถูกเรียกว่าเป็นคนที่ไม่เอาอ่าวที่สุด แต่ยามก่อเรื่องมักจะพึ่งชื่อเสียงของบิดาในการแก้ไขปัญหาให้จบๆ ไปได้ เป็นที่เห็นได้ว่าฮั่วซินหยวนมีอิทธิพลขนาดไหนในเขตพิทักษ์ราษฎร์
เพียงแต่ช่วงนี้ฮั่วเฉิงเต๋อได้ยินคนลือกันว่า ฮั่วซินหยวนบิดาของตนเหมือนกับแอบติดต่อกับทัพมารในพิภพมาร เพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของบางอย่าง
ครั้งนี้เขาพาสหายสนิทกลับมาบ้าน ข้อแรกเพื่อหาที่ซ่อนให้แก่สหาย ข้อสองคือเกลี้ยกล่อมให้ฮั่วซินหยวนผู้เป็นบิดาตัดเส้นทางทำการค้ากับเผ่ามาร
แม้ตอนนี้ราชสำนักจะง่อนแง่น สามสำนักไม่ดูแล ทว่ามนุษย์และมารนั้นต่างวิถี หากว่าสถานการณ์สงบลงเมื่อไหร่ เกรงว่าคนที่หาผลประโยชน์จากสงครามอย่างบิดาจะถูกกำจัดทิ้งทั้งหมด
ทั้งสามเดินอยู่ทางฝั่งขวาของถนน ได้ยินคนเดินเท้าสนทนากันถึงเรื่องใหญ่ในตำบลตลอดเวลา
เวลานี้หลี่ซุ่นซีมีพลังฝึกปรือไม่เลว อาวุธเทพปรับปรุงประสาทสัมผัสทั้งห้าจนเฉียบแหลมถึงขีดสุด ตอนนี้ได้ยินเรื่องใหญ่ล่าสุด ที่พวกสหายร่วมงานกันกำลังคุยกันอยู่ในร้านค้าหลายร้านตรงหน้า
“น่าอนาถจริงๆ…ดีที่เจ้าไม่ได้ไป ข้าอดไปดูไม่ได้ จุ๊ๆ คนหนึ่งร้อยแปดคนทั้งตระกูลไม่เหลือสักคน ทั้งหมดถูกย่างจนสุก จุดที่มีเนื้อเยอะบนตัวถูกกินเกลี้ยง เหลือแค่พวกกระดูกและเส้นผมที่กินไม่ได้…”
“เผ่ามารอีกแล้วหรือ”
“ไม่เหมือน กองทัพในเขตมาตรวจสอบรอบหนึ่งแล้ว แยกแยะว่าไม่ใช่เผ่ามาร เป็นสัตว์ประหลาดสักชนิดที่ตระกูลฮั่วปล่อยออกมาจากภายใน คล้ายจะถูกกำจัดไปพร้อมกับค่ายกลใหญ่ภายในที่ตระกูลฮั่ววางไว้แล้ว”
“วาจานี้หลอกผู้ใดได้”
“ถึงอย่างไรสัตว์ประหลาดตัวนั้นก็สมควรหนีหายไปแต่แรกแล้ว ต่อให้ลอบโจมตีก็คงเล่นงานทัพรักษาการณ์ก่อน พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาๆ จะกลัวอะไร…”
ฟังไปฟังมา สีหน้าของหลี่ซุ่นซีผิดปกติเล็กน้อย ฮั่วเฉิงเต๋อเป็นหนึ่งในสหายที่เขาพาออกมา ตอนไปรับตัวฉยงซังจากเผ่ามาร
ในสองเดือนมานี้ พวกเขาทั้งสามคนและหญิงสาวเผ่ามารนางนั้นเรียกได้ว่าทนทุกข์ทรมานอย่างสาหัส คนที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือหญิงสาวเผ่ามารนางนั้น จากตอนแรกเป็นปีศาจที่สะโอดสะองมีเสน่ห์เวลานี้กลับผอมโซลงมาก
หรือว่าตอนนี้บ้านของสหายฮั่วจะเกิดปัญหาเช่นกัน ฟากฟ้าไฉนจึงไม่ยุติธรรม!
ฮั่วเฉิงเต๋อหยุดฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว เขาได้ยินคำสนทนากันของพวกสหายร่วมงานเหล่านั้นเช่นกัน
หยุดฝีเท้าครู่หนึ่ง เขาก็พลันเร่งความเร็วพุ่งไปยังทิศทางบ้านของเขา
“เสี่ยวเต๋อ! รอเดี๋ยว!” หลี่ซุ่นซีกับฉยงซังตกใจ รีบไล่ตามไป
ทั้งสามไปถึงสถานที่ที่คฤหาสน์ฮั่วตั้งอยู่อย่างรวดเร็ว ไหนเลยยังมีคฤหาสน์หรูหราอันใด เหลือเพียงแต่ซากปรักหักพังเท่านั้น
ฮั่วเฉิงเต๋อเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่อย่างตะลึงงัน แล้วคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับยกสองมือขึ้นกุมหน้า
……
เขตจันทราสารท อารามพันอาทิตย์
ลู่เซิ่งพลิกที่ปัดฝุ่นในมือเล่นพร้อมกับฟังคำขอความเมตตาจากจิตอาวุธเทพ สีหน้าสงบนิ่ง ไม่รู้สึกอะไร
กระบี่ธารธาราแขวนอยู่บนกำแพง ไม่ได้ส่งเสียงเช่นกัน มันเคยเห็นลู่เซิ่งถืออาวุธเทพศัสตรามารหลายชิ้นเข้าไปในห้องลับฝั่งตรงข้าม อาวุธเทพที่เข้าไปไม่เคยได้ออกมาอีก
มันไม่รู้ว่าพวกมันไปอยู่ไหน เหตุใดจึงสัมผัสกลิ่นอายไม่ได้แม้แต่น้อย ทว่านี่เป็นความลับของลู่เซิ่ง มันไม่สะดวกถาม
อย่างเช่นที่ปัดฝุ่นในตอนนี้ มันกำลังถูกลู่เซิ่งจับเอาไว้อย่างระมัดระวัง และสัมผัสอย่างช้าๆ
“ใบไม้ทองคำกับดาวหยกแตกต่างกันตรงไหนกันแน่ สิ่งใดเป็นตัวกำหนดว่าอาวุธเทพชิ้นหนึ่งเป็นใบไม้ทองคำหรือว่าดาวหยก” ลู่เซิ่งถามเบาๆ
“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ความทรงจำมากมายหายไปแล้ว…” กระบี่ธารธาราเงียบงันพักหนึ่งก่อนจะตอบอย่างช้าๆ
ลู่เซิ่งไม่ได้คาดหวังว่ากระบี่ธารธาราจะตอบคำถามนี้ได้ นี่เหมือนกับให้คนทั่วไปตอบว่าอะไรคือสิ่งที่กำหนดความแตกต่างระหว่างตัวเองกับอัจฉริยะ
ช่วงนี้เขาออกล่าอาวุธเทพศัสตรามารอย่างบ้าคลั่ง ทุกๆ ครั้งที่กินเข้าไปจะไม่ให้กระบี่ธารธาราและบริวารทุกคนเห็น ยิ่งกลืนกินอาวุธเทพเท่าไหร่ รอบๆ ตัวลู่เซิ่งก็เริ่มปนเปื้อนกลิ่นประหลาดซึ่งไม่ใช่กลิ่นดอกไม้และไม่ใช่กลิ่นเหม็น
กลิ่นอายนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกลิ่นสนิมจากโลหะ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
“ช่างเถอะ เจ้าออกไปซะ” ลู่เซิ่งยื่นมือไปใช้พลังจับกระบี่ธารธารา แล้วโยนไปที่หน้าต่าง
กระบี่ธารธาราพลันพุ่งออกไป ลอยเข้าไปในหอเก็บอาวุธที่อยู่ใกล้ๆ อย่างนุ่มนวล
ลู่เซิ่งลุกขึ้น กำลังจะถือที่ปัดฝุ่นเดินเข้าไปในห้องลับฝั่งตรงข้ามเพื่อกลืนกินอาวุธเทพชิ้นใหม่ต่อ
อยู่ๆ เหนือท้องฟ้านอกหน้าต่างก็มีแสงสีขาววาดผ่าน นกตัวน้อยสีขาวบริสุทธิ์ที่เหมือนกับนกกระจอกบินมาถึงเหมือนกับลูกศร ก่อนจะบินข้ามหน้าต่างเข้ามาหยุดอยู่บนพื้นด้านหน้าลู่เซิ่งอย่างแผ่วเบา
ควันขาวกลุ่มหนึ่งระเบิดออกมารอบตัวนกกระจอกน้อย แล้วลอยขึ้นมา พริบตาเดียวก็สลายกลายเป็นเด็กหญิงงดงามซึ่งสวมเสื้อคลุมขนนกสีขาว
“ไป๋อิงคำนับประมุขคฤหาสน์ลู่” หว่างคิ้วของเด็กผู้หญิงมีเส้นสีแดงอยู่จุดหนึ่ง ปราณจริงแท้บนร่างบริสุทธิ์และละเอียดอ่อน ไม่ได้มีสารกายขุ่นมัวอันเป็นลักษณะเด่นของเผ่าปีศาจแม้แต่น้อย ทำให้คนที่เห็นจิตใจปลอดโปร่งโล่งสบาย
“สหายร่วมเส้นทางทงเซิงมีเรื่องใดมาแจ้งหรือ” ลู่เซิ่งจำเด็กหญิงได้ นางเป็นปีศาจที่อยู่ข้างกายอริยะเจ้าทงเซิง เป็นเด็กรับใช้ของอริยะเจ้าทงเซิง
“เจ้าค่ะ นายท่านกำชับว่า ช่วงนี้ ละแวกนี้เกิดคดีลอบสังหารในที่ลับติดต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือมารล้วนไม่มีจุดจบอันดี แม้แต่อาวุธเทพศัสตรามารก็ไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย ตระกูลขุนนางกับสำนักแต่ละแห่งต่างก็หวาดกลัว ถึงขั้นที่ความหวาดกลัวนี้ลามไปถึงเขตด้านนอกแล้ว จึงขอให้ประมุขคฤหาสน์ส่งยอดฝีมือไปตรวจสอบ”
ลู่เซิ่งจิตใจเคร่งขรึม เรื่องล่าสังหารแม้แต่อริยะเจ้าทงเซิงก็สังเกตเห็นแล้วหรือ
“โปรดแจ้งต่อสหายร่วมเส้นทางทงเซิงว่า ข้ารับทราบแล้ว”
“อื้อ” เด็กหญิงไป๋อิงพยักหน้า จากนั้นก็นั่งย่อตัวลงบนพื้น กลายเป็นนกกระจอกสีขาวตัวน้อยอีกครั้ง ก่อนจะกระพือปีกบินไปยังที่ไกล
ลู่เซิ่งยืนอยู่กับที่ ค่อยๆ ชักมือออกมาจากแขนเสื้อที่หลวมโพรกอย่างช้าๆ แล้วลูบที่ปัดฝุ่นอันเย็นเยียบเรียบลื่น คล้ายมีความคิดใด
‘อาวุธเทพศัสตรามารที่สะสมไว้ก็ครบพอดี ย่อยสลายแล้วค่อยว่ากันดีกว่า ช่วงนี้หยุดพักรอเวลาก่อน’
ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง ร่างลอยเข้าไปในประตูที่เปิดออก ทะลุประตูเข้าไปอย่างแผ่วเบา ก่อนจะลอยเข้าไปในห้องลับสำหรับกักตนในอารามที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ประตูใหญ่ของห้องลับค่อยๆ ปิดลง ลู่เซิ่งทรุดลงนั่งขัดสมาธิพร้อมกับโบกมือ
ไฟตะเกียงสีเหลืองอ่อนพลันสว่างขึ้นจากสี่มุมของห้อง ลวดลายค่ายกลบนพื้นสาดแสงสีทองอ่อนแวบหนึ่ง
ลู่เซิ่งนั่งอยู่กลางค่ายกล จากนั้นก็ยกมือขึ้นมองคำว่าชั่วร้ายตรงกลางฝ่ามืออย่างฉับพลัน
“พรุ่งนี้พิธีกรรมจะเริ่ม เป็นสถานที่เดิม จงอย่าลืม…” เสียงของสือจื้อซิงดังมาจากในตัวหนังสือแต่ไกล
แค่ลู่เซิ่งได้ยินเสียงนี้ก็ขนลุกไปทั่วร่างแล้ว
“ไม่มีทางลืม” เขาส่งกระแสเสียงไปยังคำว่าชั่วร้ายเบาๆ
“ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายที่เข้าร่วมในพิธีกรรมครั้งนี้มีค่อนข้างมาก คนที่อยากจะไปยังโลกวัตถุก็มีไม่น้อยเช่นกัน เจ้าอย่าได้ตกปากรับคำอะไรง่ายๆ และจำไว้ด้วยว่าอย่าได้แจ้งชื่อและวันเกิดของตัวเองส่งเดช ต้องจำไว้ให้ดี” สือจื้อซิงกล่าวย้ำ
“เกิดว่าข้าเผลอเปิดเผยเล่า” ลู่เซิ่งเงียบสักครู่ ก่อนจะถาม
“อย่างนั้นข้าจะฆ่าเจ้า” สือจื้อซิงตอบกลับอย่างรวบรัด
ลู่เซิ่งเงียบงัน
ช่วงนี้เขาติดต่อกับสือจื้อซิงหลายครั้ง จึงเข้าใจระบบของพันธมิตรทมิฬในโลกแห่งความเจ็บปวดคร่าวๆ แล้ว
ในโลกแห่งความเจ็บปวดมีการแบ่งหมวดหมู่สองอย่าง ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายและผู้ใช้วิญญาณคันฉ่อง ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายคือต้นกำเนิดของอาวุธเทพ ส่วนผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องก็คือต้นกำเนิดของศัสตรามาร
ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายสร้างอาวุธชั่วร้าย อาวุธที่ล้มเหลวจะถูกโยนไปยังโลกมนุษย์ แล้วใช้เลือดเนื้อของมนุษย์ทำพิธีกฎเกณฑ์เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง รอหลังจากนั้นค่อยนำมาทำเป็นวัตถุดิบ
ส่วนผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องก็เป็นเหมือนกัน เพียงแต่สิ่งที่พวกเขาสร้างคือปีศาจคันฉ่อง สถานที่ที่โยนของที่ล้มเหลวเข้าไปคือพิภพมาร
เป้าหมายของพวกเขา หรือความต้องการสูงสุดของพวกเขาก็คือการสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสามารถสังหารมารดาแห่งความเจ็บปวดได้ เพื่อทำลายรากเหง้าของความเจ็บปวด ทำลายบาปของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และสร้างกฎใหม่ให้โลกทั้งใบ
“ข้าเข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งตอบเบาๆ พลังของสือจื้อซิง แม้แต่เซียวจื่อจู๋ก็ยังต้านทานไม่ได้ นับประสาอะไรกับเขา
คำว่าชั่วร้ายตัดการติดต่อทิ้งแล้ว
ลู่เซิ่งสงบจิตใจ นั่งนิ่งอยู่กับที่ สักพักใหญ่ๆ เขาก็ยื่นมือไปดึงเชือกตรงมุมผนังเบาๆ
ไม่นานก็มีศิษย์ของสำนักพันอาทิตย์คนหนึ่งส่งเสียงถามมาจากด้านนอกประตู
“ประมุขคฤหาสน์มีคำสั่งใด”
“ไปนำพวกคัมภีร์วิถีสามกำเนิด คัมภีร์กระบี่โกลาหล และวิชาอัคคีโลกาซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานที่ซ้อนกันไว้ในที่เก็บหนังสือมา” ลู่เซิ่งจัดคัมภีร์วิชาจริงแท้พื้นฐานที่ตัวเองต้องการไว้ในที่เก็บหนังสือแต่แรก ตอนนี้เพียงเรียกคนไปนำหนังสือมาเท่านั้น
“ทราบแล้ว”
ศิษย์จากไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลับมาอีกครั้ง โดยส่งคัมภีร์เข้ามาผ่านเส้นทางพิเศษของห้องลับ
“ประมุขคฤหาสน์ยังมีคำสั่งใดอีกหรือไม่”
“ไปเถอะ สามวันให้หลังค่อยมาหาข้าอีกรอบ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเรียบเฉย
“ทราบแล้ว…”
ศิษย์เดินจากไป เสียงฝีเท้าค่อยๆ เบาลงแล้วหายไป
ลู่เซิ่งโบกมือ ฉับพลันนั้นตำราวิชาจริงแท้พื้นฐานห้าเล่มก็กระจายออกมาด้านหน้าเขา แล้วเรียงกันเป็นแถวเดียว
‘นี่คือเคล็ดวิชาจริงแท้พื้นฐานทั้งหมดที่สำนักพันอาทิตย์รวบรวมไว้ สามารถเปลี่ยนสารกายให้กลายเป็นปราณจริงแท้พื้นฐานห้าชนิดได้’
ลู่เซิ่งดีดนิ้ว แก่นหยางกลุ่มหนึ่งพลันลอยออกมาอยู่เหนือตำราห้าเล่มอย่างแผ่วเบา
‘วิชากระบี่โกลาหล’ ‘วิชาอัคคีโลกา’ ‘วิชาวิถีสามกำเนิด’ ‘วิชาไม้เขียว’ ‘วิชาพัดพาตามลม’
ตำราห้าเล่มค่อยๆ เปิดออก สำหรับลู่เซิ่งแล้ว วิธีการสกัดสิ่งเหล่านี้ง่ายดายถึงขีดสุด ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ศิษย์ธรรมดาที่เพิ่งเข้าสำนักก็ยังสกัดแก่นจริงแท้พื้นฐานห้าชนิดนี้ได้
หลังจากอ่านตำราแต่ละเล่มจนจบ ลู่เซิ่งก็ดีดนิ้วอีกครั้ง
แก่นหยางห้ากลุ่มที่ลอยอยู่เหนือตำราห้าเล่มพลันเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ หลายอึดใจต่อมา ถึงกับกลายเป็นแก่นจริงแท้ที่มีสภาพแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงห้าชนิด
‘แก่นกระบี่’ กึ่งโปร่งแสง ‘ปราณอัคคีโลกา’ สีแดง ‘ปราณวิถี’ สีขาว ‘แก่นไม้’ สีเขียว รวมถึง‘แก่นปราณ’ ที่มองไม่เห็น
‘เริ่มเลย…’ ลู่เซิ่งค่อยๆ หลับตาลง ‘ดีปบลู’
กรอบของดีปบลูโผล่ขึ้นมาด้านหน้าเขาทันที สิ่งที่โผล่มาพร้อมกันคือไฟหยินอาวรณ์แปดเศียรอันเป็นร่างหลักของตัวเอง
การรับรู้ของลู่เซิ่งกลับหยุดอยู่ที่พลังอาวรณ์จำนวนสามหมื่นกว่าหน่วยในร่างกายอย่างสงบนิ่ง เป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือการกำจัดภัยซ่อนเร้นในตัวก่อน จากนั้น…ค่อยเรียนรู้ไฟหยินอย่างสุดกำลังเพื่อให้ไปถึงระดับสูงสุดที่ไปถึงได้!
……………………………………….