ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 412 ภารกิจ (2)
บทที่ 412 ภารกิจ (2)
‘มีโอกาสทดลองดูก่อนค่อยว่ากัน’ ลู่เซิ่งเก็บเส้นขนสีทอง ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าพลังได้รับการยกระดับแล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่
เขาลุกขึ้นมองชุดของตัวเองที่ขาดกะรุ่งกะริ่งเป็นรู จึงอดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นก็เดินไปเคาะช่องลับบนประตู
“หาชุดมาให้ข้าหน่อย”
“รับทราบ!”
ไม่นานก็มีศิษย์ส่งเสื้อคลุมสีขาวขอบทองมาตัวหนึ่ง ลู่เซิ่งสวมใส่อย่างง่ายๆ ก่อนจะเปิดประตูหิน
นอกประตูมีแค่ศิษย์สตรีคนก่อนหน้าเฝ้าอยู่ มองเห็นเส้นทางหลักของอารามสี่ด้านว่างเปล่าและเงียบสงัด แสดงให้เห็นว่าหลังภัยพิบัติมารอุบัติ คนส่วนใหญ่ก็เดินทางไปยังแนวหน้าเพื่อป้องกันภัยพิบัติมารแล้ว
“คำนับประมุขคฤหาสน์” ศิษย์สตรีนางนี้คำนับอย่างนอบน้อม
“คนอื่นๆ เล่า” ลู่เซิ่งถาม
“เรียนประมุขคฤหาสน์ คนส่วนใหญ่ไปกวาดล้างเหล่ามารที่หลงเหลือในตำบลรอบๆ แล้ว ทัพมารล่าถอยไปเฝ้ารักษาบริเวณหนึ่งอย่างกะทันหันโดยไม่รุกและไม่ถอย ไม่ทราบว่ามีแผนการอะไร” ศิษย์สตรีตอบตามจริง
ลู่เซิ่งพยักหน้าก่อนจะสั่งให้นางไปเตรียมของกินส่วนหนึ่ง จากนั้นก็กินอย่างมูมมามอยู่ด้านในห้องลับ สำนักพันอาทิตย์สมกับเป็นสำนักที่รวยที่สุดในสามสำนัก ลู่เซิ่งกินอาหารบำรุงทุกชนิด เขาประเมินคร่าวๆ ว่า ตัวเองกินวัตถุดิบล้ำค่าที่มีมูลค่าถึงหลายสิบทองคำมารเป็นอย่างน้อยเข้าไปเพื่อบำรุงการสูญเสียที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงร่างกายเมื่อก่อนหน้า จากนั้นจึงค่อยๆ หยุดลง
ลู่เซิ่งให้ศิษย์สตรีเก็บกวาด จากนั้นก็ปิดประตูหินและนั่งขัดสมาธิกลางห้องลับอีกรอบ พร้อมกับพลิกฝ่ามือขึ้นมาดูคำว่าชั่วร้ายที่สะดุดตาอยู่กลางฝ่ามือ
แก่นหยางที่เป็นสีทองเลียนแบบปราณจริงแท้สีแดงทองของสำนักพันกำเนิด พุ่งเข้าไปในคำว่าชั่วร้ายนั้น
ซู่!
ชั่วพริบตานั้น รอบๆ ห้องลับค่อยๆ กลายเป็นสีเทาโดยมีคำว่าชั่วร้ายเป็นจุดศูนย์กลาง สีสันทั้งหมดพากันถดถอยออกไป แม้แต่ผนังก็ลุกไหม้และแหลกสลายลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเถ้าสีดำสลายหายไปเหมือนกับกระดาษที่ถูกเผา
รอลู่เซิ่งได้สติ ก็ตกใจเพราะตัวเองพลันมานั่งอยู่ริมขอบของบึงน้ำสีดำแห่งหนึ่ง
รอบๆ เป็นพระราชวังล้ำลึกที่ใหญ่โตและเก่าแก่ บึงน้ำเหมือนกับสระที่คนในราชวงศ์ใช้อาบน้ำ ในบ่อรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีกระแสน้ำสีดำพลิกม้วน ศพและเส้นผมบางส่วนถูกกระแสน้ำพ่นลอยขึ้นมาให้เห็นอย่างเลือนราง
ลู่เซิ่งลุกขึ้นพิจารณารอบๆ ในอากาศมีพลังงานสุดบรรยายที่รู้สึกคุ้นเคยชนิดหนึ่งไหลเวียนอยู่ ทำให้เขารู้ว่าตนเข้ามาในโลกแห่งความเจ็บปวดอย่างแท้จริงแล้ว
‘ที่นี่คือที่ไหน’ ลู่เซิ่งนิ่วหน้า ยืนพิจารณารอบๆ ตัว รอบๆ คือวังและเสาศิลาที่มืดครึ้มล้ำลึก
ในอากาศมีกลิ่นอายอันตรายแผ่ตลบอบอวล แสดงให้เห็นว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ดี
‘ออกไปก่อนดีกว่า’ ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้าเดินไปตามบึงน้ำอย่างระมัดระวัง ไม่นานก็ออกห่างบึงน้ำสีดำ แล้วเดินออกประตูใหญ่ของวัง
พริบตาที่ออกมาจากประตูใหญ่ ลู่เซิ่งก็ควบคุมแก่นหยางในร่างให้ดึงทึ้งอวัยวะภายในของตัวเองอย่างคุ้นเคย เพื่อสร้างความเจ็บปวด
ตรงหน้าพร่ามัว ทุกอย่างชัดเจนขึ้นมากเหมือนฉีกเอาหน้าต่างกระดาษออก
เขาหันกลับไปมองด้านในวัง ในบึงน้ำสีดำมีคนไว้ผมยาวสีดำและแยกแยะไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรีคนหนึ่งยืนขึ้น คล้ายกำลังมองมาทางเขา
ลู่เซิ่งเร่งฝีเท้าออกจากวังด้วยความเคร่งเครียด ด้านนอกวังคือถนนเส้นหลักของเมืองเล็กๆ แห่งนั้น เขาเดินไปตามถนน ไม่นานก็เจอตึกเล็กสี่ชั้นที่เหมือนกับอาคารเรียนซึ่งเห็นเมื่อครั้งก่อน
ตึกเล็กยังคงเงียบสงัดไร้เสียง ประตูใหญ่อ้าอยู่ พร้อมกับขยับไปมาและส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดตามสายลม
ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง แล้วเร่งฝีเท้าเดินไปถึงหน้าประตูเหล็ก อยู่ๆ ด้านหน้าเขาก็พร่ามัว เงาร่างของเซียวจื่อจู๋ปรากฏขึ้นด้านหน้าเขาอย่างฉับพลัน
“ไปเถอะ ข้ารอเจ้าได้สักพักแล้ว พิธีในครั้งนี้เจ้ากับสมาชิกใหม่คนอื่นๆ จะต้องสร้างสัตย์สาบาน” เห็นได้ชัดว่าในร่างเซียวจื่อจู๋คือสือจื้อซิงที่ซ่อนตัวอยู่ เสียงยังคงเป็นเสียงของสตรีที่แหบแห้ง
“สัตย์สาบานหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา
“เข้าไปเถอะ อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้แล้ว” เซียวจื่อจู๋ยิ้มๆ เพียงแต่ผิวบนใบหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย ดูมีเลศนัยอยู่บ้าง
เขาหมุนตัวแล้วเดินไปยังตึกเล็กหลังนั้น ลู่เซิ่งตามไปติดๆ
ทั้งสองเดินขึ้นบันไดหินของตึกชั้นแรกไปยังตึกชั้นสองทีละก้าวๆ สือจื้อซิงไปหยุดฝีเท้าด้านหน้าห้องที่สาม แล้วผลักเปิดประตูเบาๆ
แอ๊ด
ประตูห้องเปิดช้าๆ เผยให้เห็นสภาพแวดล้อมกว้างขวางด้านใน
นี่คือโถงใหญ่อันโอ่โถงที่เต็มไปด้วยเก้าอี้มากมาย เก้าอี้สีดำอมเทานับไม่ถ้วนอยู่ในสภาพรูปวงกลม ล้อมรอบแท่นพิธีเล็กๆ แท่นหนึ่งตรงกลางเอาไว้
เงาคนสิบกว่าสายนั่งกระจายกันอยู่บนเก้าอี้ ล้วนสวมชุดสีดำ อยู่ในอิริยาบถแตกต่างกัน
ทว่าพอลู่เซิ่งเข้าประตูไป ความสนใจกลับไม่ได้อยู่ที่เงาคนบนเก้าอี้เหล่านี้ หากแต่อยู่บนแท่นพิธีเล็กๆ ตรงกลางอย่างรวดเร็ว
แท่นพิธีสีขาวอมเทาแท่นนั้นเป็นรูปทรงกลม ด้านบนมีบุรุษผอมแห้งสวมหน้ากากแพะภูเขาคนหนึ่งยืนอยู่ บุรุษผู้นี้ถือเหล็กเจาะเล่มหนึ่ง กำลังเจาะปากสตรีผมทองที่ทั่วร่างเปลือยเปล่าคนหนึ่งไปถึงร่างกายท่อนล่างอย่างช้าๆ จนกระทั่งตอกติดกับพื้น กลายสภาพเป็นเสามนุษย์ บุรุษหน้ากากแพะภูเขาจึงล่าถอยออกมาอย่างช้าๆ
“นี่คือจุดจบของการทรยศพวกเรา เห็นแล้วหรือไม่ทุกท่าน” บุรุษหน้ากากแพะภูเขากางแขนกล่าวเสียงดังด้วยความร่าเริง
“ผู้ทรยศไม่ต้องการการไถ่ถอน โลกจะบดบังสายตาของนาง ความเจ็บปวดจะทำให้นางสูญเสียความกล้าในการใช้ชีวิต” ชายชราหลังงอซึ่งห้อยจี้ที่เป็นประกายสีน้ำเงินไว้ตรงหน้าอก กล่าวอย่างช้าๆ
“ผู้เฒ่าเว่ยพูดถูกแล้ว ผู้ทรยศสมควรมีชีวิตอยู่มิสู้ตกตาย!”
“น่าจะตัดหัวนาง แล้วโยนร่างกายของนางไปในบึงโสมม ให้เกิดใหม่เป็นคนปัญญาอ่อนทุกชาติไป!”
“แล้วโยนวิญญาณเข้าไปในอัคคีเถ้าถ่าน เผานางให้ตาย! เผาให้ตาย!”
เงาคนที่นั่งอยู่พากันเอ่ยปากพร้อมตะโกนอย่างวิปลาส
ตอนที่เซียวจื่อจู๋พาลู่เซิ่งเดินเข้าประตู บุรุษหน้ากากแพะภูเขาก็เห็นแล้ว เขาพลันยกมือขึ้นชี้มาที่เซียวจื่อจู๋
“พอดีเลย สมาชิกใหม่ของวันนี้มาอีกคนแล้ว ก่อนหน้านี้คนใหม่ผู้นั้นไม่เชื่อฟัง ถูกใต้เท้าสือจื้อซิงจับมาทำเป็นภาชนะ วันนี้เขาพาคนใหม่แปลกหน้ามาอีกคน บวกกับสองคนก่อนหน้านี้ก็คือสามคน! ไม่ทราบว่าพวกมันเพ่งมองผ่านมารดาแห่งความเจ็บปวดได้หรือไม่”
“พอแล้วซีฝู เวลาของข้ามีจำกัด ข้าต้องการเริ่มพิธีทันที!” เซียวจื่อจู๋หรือก็คือสือจื้อซิงตัดบทบุรุษหน้ากากแพะภูเขาอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“ก็ได้ อย่างนั้นวันนี้จะให้ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายคนไหนควบคุมเล่า” บุรุษหน้ากากแพะภูเขายกมือ
“ข้าก็แล้วกัน” ชายชราที่ห้อยจี้ซึ่งส่องแสงสีน้ำเงินไว้ตรงหน้าอกคนเมื่อครู่ค่อยๆ ลุกขึ้น ก่อนจะเดินลงมายืนอยู่บนแท่นพิธีทรงกลม
“ขอให้คนใหม่สามคนขึ้นไปบนแท่นพิธีด้วย” เขายกมือขึ้นกวักเบาๆ
ลู่เซิ่งพลันรู้สึกว่ารอบๆ ตัวมีควันสีเทาหลายกลุ่มลอยขึ้นมาห่อหุ้มเขาเอาไว้ แล้วดึงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ขัดขืน ถือโอกาสเดินตามควันสีเทาสายนี้ลงไปหาแท่นพิธีด้านล่าง
ยังมีอีกสองคนที่เหมือนกับเขา แบ่งเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี บุรุษสวมหน้ากากเสือ สตรีเปิดเผยใบหน้าเหมือนกับลู่เซิ่ง หน้าตาหมดจด องคาพยพงดงาม
ทั้งสามเดินมาถึงบนแท่นพิธี ยืนอยู่กันคนละด้าน รักษาระยะห่างที่ปลอดภัย
“เพื่อมารดาแห่งความเจ็บปวดผู้ยิ่งใหญ่ ขอมอบคำสรรเสริญแห่งชีวิตให้” พอชายชราเห็นทั้งสามขึ้นไปบนแท่นพิธีแล้ว ก็พลันชูสองมือขึ้นสูง
“ผืนดินร่ำไห้ ท้องฟ้าโศกศัลย์ มหาสมุทรไม่กระเพื่อมอีกต่อไป ดั่งแม่น้ำที่เงียบสงัด สี่ฤดูไม่เวียนวนอีก เหมือนทะเลสาบแห่งการทำลายล้าง ปีกแห่งปักษากลายเป็นความหวังและปณิธาน ความหวังโผบินจากห้วงภวังค์ ความกล้า ความเจ็บปวด ความโศกเศร้า ความเห็นใจ…”
บุรุษหน้ากากแพะภูเขาแตะพวกลู่เซิ่งเบาๆ ในตอนที่ชายชราท่องคำสรรเสริญปริศนา
ข้อมูลสั้นๆ ส่วนหนึ่งมุดเข้าห้วงสมองลู่เซิ่งในทันที เขาหลับตาสัมผัสข้อมูลนี้อย่างตั้งใจด้วยจิตใจที่เคร่งขรึม
‘อั้นเอ่อตี้น่า โลกด้านนอกขนาดเล็กที่เผ่ามารดาของเผ่าปีศาจพฤกษาปกครอง ปีศาจพฤกษาในพงไพรห้าแสนหกหมื่นตนยึดครองที่นั่นอยู่ เป็นเพราะแสงสว่าง เป็นเพราะความหวังและสันติภาพ พวกมันจึงอาศัยอยู่ในโลกพิการที่ไม่มีความเจ็บปวดตลอดเวลา พวกมันลืมเลือนบาปโดยกำเนิดของตัวเอง เพียงรู้จักแต่เสพสุขกับทุกสิ่งที่ธรรมชาติและโลกมอบให้อย่างละโมบ แต่ไม่เคยอุทิศตนและการตอบแทน หลังจากรู้แจ้งโดยบังเอิญ สาวกของปีศาจพฤกษาที่โหยหามารดาแห่งความเจ็บปวดส่วนหนึ่งก็ตัดสินใจอุทิศทุกสิ่งของตัวเองเพื่อไถ่บาป พวกเขาท่องคำสาบานพันธมิตรอันเก่าแก่ผ่านพิธีโลหิตภายใต้การนำของสาวกแหงความเจ็บปวด เพื่อขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรทมิฬ สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำคือทำความปรารถนาของพวกเขาให้สำเร็จ โดยการทำลายกาฝากธรรมชาติจำนวนห้าแสนหกหมื่นตนนี้ นำโลกกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ในเวลาเดียวกันก็จงนำวัตถุดิบที่ประสบความสำเร็จจากโลกเบื้องล่างกลับมา’
พออ่านข้อมูลนี้จบ ลู่เซิ่งก็เข้าใจคร่าวๆ แล้วว่าภารกิจของตนเองคืออะไร…
เขาเงยหน้ามองคนอีกสองคน สตรีที่หน้าตาหมดจดงดงามมีสีหน้าเหยเก ต่อให้อยู่ในโลกแห่งความเจ็บปวดสีเทาที่ไม่มีสีสัน ก็ยังมองเห็นความคับข้องใจของนางออกอยู่ดี
“ตอนนี้ มาเริ่มกันเถอะ” ในที่สุดชายชราผู้นั้นก็ท่องคำสรรเสริญจบ เขาชี้ไปที่ศพสตรีที่อยู่ตรงกลางคนทั้งสามคน
ศพสตรีกับเหล็กเจาะหลอมละลายอย่างรวดเร็ว กลายเป็นโคลนเหนียวสีดำอมเทาซึ่งส่งกลิ่นเหม็นคาว
“จงกระโดดเข้าไปเถอะ” ชายชราเอ่ยขึ้นเบาๆ
บุรุษสวมหน้ากากเสือผู้นั้นกระโดดเข้าหาโคลนเป็นคนแรกโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
พรุ่บ
เขาหายเข้าไปด้านในอย่างง่ายดายเหมือนกับด้านล่างโคลนคือบึงโคลนที่ลึกไม่เห็นก้น
สตรีกระโดดเข้าไปในโคลนเป็นคนที่สอง
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พลันรู้สึกว่าสายตาทั้งหมดกำลังจับจ้องอยู่ที่ตัวเอง จึงกระโดดตามไป
พรึ่บ
ตรงหน้าเขาขมุกขมัวขึ้นทันที ร่างกายร่วงหล่นลงด้านล่างเหมือนกับหล่นเข้าไปในหลุมลึกที่ว่างเปล่า
ไม่ทราบว่าหล่นลงไปนานเท่าไหร่ สีเทาตรงหน้าค่อยๆ ถดถอยไป สิ่งที่มาแทนที่คือแสงไฟสีเหลืองอ่อน
ลู่เซิ่งกะพริบตาแล้วพบว่าตนเองยืนอยู่บนแท่นบูชาสีขาวอมเทาสูงสามชั้นตามลำพัง ศีรษะมนุษย์ที่เจ็บปวดบิดเบี้ยวจำนวนไม่น้อยวางอยู่รอบๆ แท่นบูชา มีทั้งบุรุษและสตรี
แท่นบูชาตั้งอยู่ในถ้ำใต้ดิน ในถ้ำสีดำสนิทจุดคบเพลิงไว้ทั่ว แสงไฟสีเหลืองอ่อนมาจากคบเพลิงเหล่านี้
“ท่านทูต! ท่านทูต!” บุรุษสตรีที่สวมเกราะเถาวัลย์สีเขียวเข้มหลายสิบคนหมอบคลานอยู่ด้านหน้าแท่นบูชา กำลังภาวนาเสียงดังให้แก่เขา
“ทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเมืองแห่งนี้และเก็บข้อมูลหรือ” ลู่เซิ่งทบทวนภารกิจของตัวเอง แม้ไฟหยินของเขาจะเลื่อนระดับแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มีความมั่นใจจะแตกหักกับสือจื้อซิงจริงๆ
สือจื้อซิงกำจัดเซียวจื่อจู๋ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังเป็นนกพิราบยึดครองรังนกกางเขน แสดงให้เห็นว่ามีพลังพิสดารและแข็งแกร่งถึงขีดสุด ก่อนที่จะเข้าใจระบบพลังในโลกแห่งความเจ็บปวด ลู่เซิ่งไม่คิดจะแตกหักโดยสิ้นเชิง อย่างไรต่อให้พลังได้รับการยกระดับ เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะแข็งแกร่งกว่าเซียวจื่อจู๋อยู่ดี
ในเมื่อไม่อยากแตกหัก ดังนั้นก็ได้แต่ทำภารกิจนี้ให้สำเร็จแล้ว…
ลู่เซิ่งมองสาวกปีศาจพฤกษาหลายสิบคนตรงหน้า คนเหล่านี้ไร้ซึ่งพลัง ใกล้จะตายกันแล้ว
“รับการไถ่ถอนอันเป็นนิรันดร์เถอะ!”
อยู่ๆ ถ้ำทั้งถ้ำก็สั่นสะเทือน เสียงคำรามด้วยความโมโหส่งจากผิวดินด้านบนลงมา
ภาษานั้นไม่จำเป็นต้องใช้ตัวอักษร ก็ทำให้คนเข้าใจความหมายได้ผ่านการสั่นสะเทือนในจิตวิญญาณ
ตูม!
สามง่ามขนาดยักษ์สีเขียวมรกตเล่มหนึ่งทะลุยอดถ้ำ แล้วพุ่งลงมายังแท่นบูชาอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
สามง่ามเล่มนั้นแค่เส้นผ่าศูนย์กลางก็หนาห้าหกหมี่แล้ว ด้านหลังยังมีม้าครึ่งมนุษย์สีขาวขนาดมหึมาที่สวมกวนหยกสีขาวอีกหลายตัวติดตามเข้ามา
บุรุษชราที่เป็นม้าครึ่งคน ไว้เคราสีขาวเรียวยาวใต้คาง สองตาเบิกโตและแดงฉาน กล้ามเนื้อทั่วร่างแข็งแกร่งทนทานราวเหล็กกล้า
เขาสะบัดสามง่าม ชนทำลายก้อนหินและหินงอกทั้งหมดจนแหลก พร้อมกับแผดเสียงใส่แท่นบูชา
“อาวุธเทพหรือ?!” ลู่เซิ่งที่กำลังจะลงมือพลันหยุดยั้งลง แต่กลับพบว่าสามง่ามที่บุรุษชราม้าครึ่งคนถืออยู่ในมือกลับปล่อยคลื่นอาวุธเทพที่รุนแรงออกมาเช่นกัน
“จงหยุดเถอะราชาเขียวคราม!” คนหนึ่งในหมู่สาวกแห่งความเจ็บปวดยืนขึ้น มือจับเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่หน้าตางดงามคนหนึ่งไว้อย่างแนบแน่น
“องค์หญิงปีศาจพฤกษาคนต่อไปอยู่ในมือของข้า ถ้าหากไม่อยากให้นางตายล่ะก็…”
……………………………………….