ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 413 หยั่งเชิง (1)
บทที่ 413 หยั่งเชิง (1)
ลู่เซิ่งมองสาวกแห่งความเจ็บปวดที่ยืนขึ้นผู้นั้น ก่อนจะมองไปที่สามง่ามที่เฒ่ามนุษย์ครึ่งม้าถือไว้ในมือ ยืนยันได้ทันทีว่าสามง่ามเล่มนั้นเป็นของที่เขาจำเป็นต้องเก็บกลับไปในครั้งนี้
“ของสำเร็จรูปของผู้ใช้วิชาชั่วร้ายหรือ” ตอนแรกเขาไม่ได้ใส่ใจกับภารกิจนี้มากนัก แต่ตอนนี้พอเห็นอาวุธเทพชิ้นนี้ จึงสนใจขึ้นมาบ้าง
“พอแล้ว ขอแค่เจ้ามอบอาวุธเทพในมือออกมา ข้าจะเลือกไว้ชีวิตเจ้า” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ
คำพูดของเขาสั่นสะเทือนไปทั่วแท่นบูชา กลายเป็นการสั่นสะเทือนผ่านทางจิตใจโดยอัตโนมัติ แล้วส่งไปถึงหูของเฒ่ามนุษย์ครึ่งม้า
ครืน!
สามง่ามขนาดยักษ์ลอยนิ่งอยู่บนแท่นบูชา ปลายแหลมของอาวุธเทพสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นว่าเฒ่ามนุษย์ครึ่งม้ากำลังอึดอัดใจถึงขีดสุด
“ท่านทูตที่เคารพ! นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่พวกเราต้องการ!” สาวกแห่งความเจ็บปวดผู้นั้นค้านเสียงดังอย่างไม่พอใจ
ลู่เซิ่งมองไปทางด้านนั้น
เปรี้ยง!
เขาสะกิดปลายเท้าเตะก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นมาแล้วตบใส่
ก้อนหินระเบิดแหลกกลายเป็นชิ้นส่วนของกระสุนอันน่าสะพรึงกลัวจำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนจะพุ่งฟิ้วๆ ใส่ตำแหน่งของสาวกแห่งความเจ็บปวดผู้นั้น
ละอองเลือดมากมายระเบิดออกจากร่างของสาวกแห่งความเจ็บปวดผู้นั้นอย่างฉับพลัน แทบจะไม่ทันได้ส่งเสียงกระอัก วรยุทธ์ที่ฝึกฝนมานับร้อยนับพันครั้งไม่อาจใช้ออก บนร่างมีเยื่อดำสีเขียวอ่อนบางๆ ชั้นหนึ่งโผล่ขึ้นมา ทว่าพริบตาเดียวก็ถูกเศษหินทะลวงจนแหลกเละ
ตุบ
สาวกแห่งความเจ็บปวดทิ่มหน้าล้มลงกับพื้น ทั่วทั้งร่างมีรูเลือดขนาดต่างๆ นับร้อยรู ศีรษะถูกกระแทกแหลกโดยสิ้นเชิง ตายอย่างสมบูรณ์
เด็กผู้หญิงในมือของเขากรีดร้อง สองตาเหลือกขาว ก่อนจะสลบไสลไป
“ข้าไม่ชอบให้คนอื่นสอดปากตอนพูด” ลู่เซิ่งชักมือกลับ สายตามองไปที่เฒ่ามนุษย์ครึ่งม้าตรงหน้าอีกครั้ง
ราชาเขียวครามผู้นี้ผุดสีหน้าเคร่งขรึม จับจ้องมือของลู่เซิ่งเขม็ง พอไม่พบร่องรอยความเสียหายใดๆ เขาก็ตื่นตระหนกกว่าเดิม
“ท่าน…พูดจริงหรือ” บุรุษชรากล่าวเสียงขรึม
“ข้าไม่มีความสนใจจะลงมือกับคนอ่อนแอ การฆ่าฟันไม่มีความหมายสำหรับข้าในตอนนี้แม้แต่น้อย” ลู่เซิ่งพูดอย่างไม่ยี่หระ “ข้าต้องการให้เจ้าวางอาวุธเทพในมือลงเท่านั้น”
บุรุษชรามนุษย์ครึ่งม้าไม่เชื่ออยู่บ้าง ทว่ายังคงเงียบขรึม พวกสาวกแห่งความเจ็บปวดปั่นป่วนเล็กน้อย ทว่าหลังจากการตายของผู้นำ ก็ไม่มีใครกล้าสอดปากมั่วซั่วอีก ได้แต่ยืนอยู่กับที่พลางรอคอยให้ลู่เซิ่งสั่ง
สักพักใหญ่ๆ ด้านนอกถ้ำเกิดการสั่นสะเทือนอย่างฉับพลัน มีเสียงระเบิดกึกก้องดังมาหลายครั้ง ทั้งยังได้ยินเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังมาด้วย
บุรุษชรามนุษย์ครึ่งม้าสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย สุดท้ายก็มองลู่เซิ่งรวมถึงเด็กผู้หญิงที่อยู่ด้านข้าง
“ข้ายอมรับท่าน นี่คืออาวุธเทพคู่ชีวิตของข้า ตรีศูลราชาพงไพร” เขาโยนอาวุธเทพไปให้ลู่เซิ่ง ส่วนตัวเองพุ่งไปจับเด็กผู้หญิงผู้นั้น ก่อนจะกระโดดขึ้นท้องฟ้า ทำลายยอดถ้ำและจากไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งกวาดเอาตรีศูลกลับหลังไปตามสภาวะ
ตรีศูลขยับไปทางสาวกแห่งความเจ็บปวดเบาๆ
พรึ่บ!
คมพายุกึ่งโปร่งแสงไร้รูปร่างกลุ่มใหญ่ปรากฏแวบขึ้นด้วยความเร็วสูง ทันใดนั้นสาวกแห่งความเจ็บปวดแทบทุกคนก็ถูกลู่เซิ่งแยกร่างในชั่วเสี้ยววินาที
นี่เป็นการฆ่าปิดปาก
ไม่มีเสียงร้องโหยหวน ไม่มีเสียงร่ำไห้ เหล่าสาวกแห่งความเจ็บปวดถึงขั้นไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆ ก็ถูกกระบี่ลมปราณไร้รูปร่างที่เกิดจากตรีศูลแทงใส่ ก่อนจะระเบิดเป็นละอองเลือดเนื้อ
ลู่เซิ่งกำตรีศูลไว้ พลางกวาดตามองสภาพแวดล้อมในถ้ำรอบๆ พอยืนยันได้ว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออีก จึงค่อยใช้ความคิด มุมปากค่อยๆ ฉีกไปถึงหูขณะที่จับตรีศูล
‘แอบกินสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง…’ เขาเกิดความคาดหวังอย่างรุนแรงในใจ
ขอแค่มีพลังอาวรณ์มากพอ เขาก็จะสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้เรื่อยๆ รวมถึงยกระดับและเรียนรู้อัคคีอนธการหรือกฎเกณฑ์หลักอันเป็นพื้นฐานได้โดยตรงแบบไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผล
ตอนนี้หลังจากไฟหยินยกระดับเป็นอัคคีอนธการ ลู่เซิ่งก็รู้สึกได้ว่าการแบ่งขอบเขตของวิชาไร้ขอบเขตเมื่อก่อนหน้านี้ใช้ไม่ได้โดยสิ้นเชิงแล้ว ตอนนี้เขาเพียงแค่บรรลุถึงระดับที่สองของการรวบรวมยอดศัสตราในวิชาไร้ขอบเขต ทว่าถ้าระเบิดพลังทั้งหมด กลับสามารถไปถึงระดับสูงสุดขอบเขตดาวหยกได้
ลังเลอยู่สักพัก ลู่เซิ่งก็ยังไม่ได้กิน หากใช้แก่นหยางตัดขาดพลังงานที่ต้องการเชื่อมต่อกับตนเองขณะถือตรีศูลไว้ในมือ
เขาที่ถือตรีศูลกระโดดเบาๆ ไปยังรอยแตกของถ้ำเหนือศีรษะ พริบตาเดียวก็พุ่งเข้าไปในช่องแตก
โผบินขึ้นไปตามช่องแตกอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสีดำสนิทก็เข้าสู่คลองจักษุของเขา อึดใจเดียวเขาก็ยืนอยู่บนหน้าผาขาดสีดำ ด้านหน้าคือเมืองสีขาวขนาดมหึมาที่มีเพลิงโหมลุกโชน
ในเมืองเต็มไปด้วยต้นไม้สูงระฟ้า บนสิ่งก่อสร้างมีลวดลายวิจิตรจำนวนมากโอบล้อม มองจากมุมมองของลู่เซิ่ง จะเห็นว่าบนท้องฟ้าเหนือเมืองไกลออกไปมีเงาคนสองสายที่ถูกคนนับไม่ถ้วนรุมโจมตีอยู่
ด้วยสายตาของเขา สามารแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่า คนหนึ่งคือบุรุษสวมหน้ากากเสือ อีกคนคือสตรีหน้าตาหมดจด ล้วนเป็นคนที่ถูกส่งเข้ามาเหมือนเขา
เปลวไฟสีขาวลอยออกจากมือของบุรุษสวมหน้ากากเสือ แล้วตกลงไปบนพื้นอย่างต่อเนื่อง
พวกมนุษย์ครึ่งม้าที่ถือตรีศูลขนาดเล็กรุมโจมตีเขาด้วยความโกรธ แสงสีเขียวกระเพื่อมทั่วร่างขณะพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่งดุจดาวตก ทว่าการโจมตีของพวกเขาไม่มีความหมายแม้แต่น้อยเหมือนกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ศพของมนุษย์ครึ่งม้าจำนวนมากร่วงตกลงด้านล่างเหมือนกับก้อนเกี๊ยว
อีกด้านหนึ่ง สตรีหน้าตาหมดจดกำลังต่อสู้กับผู้เฒ่ามนุษย์ครึ่งม้า มองออกว่าสองฝ่ายมีพลังสูสี แยกผลแพ้ชนะไม่ได้ชั่วขณะ
ทั้งสองคนต่างก็รีบเผด็จศึก ไอหมอกรูปหัวกะโหลกขมุกขมัวครอบคลุมอยู่รอบๆ มีเสียงดังลั่นสะท้อนมาจากด้านในตลอดเวลา
ลู่เซิ่งไม่คิดเข้าไปช่วยเหลือ ดูท่าทางแค่สองคนนั้นก็รับมือภารกิจครั้งนี้ได้
เขาที่ถือตรีศูลนั่งขัดสมาธิลง แล้วชมการต่อสู้อยู่บนหน้าผาขาดพร้อมกับปล่อยให้สายลมปะทะใบหน้า
รออยู่ราวๆ ครึ่งชั่วยาม เหนือท้องฟ้าก็ปรากฏผลแพ้ชนะ ผู้เฒ่ามนุษย์ครึ่งม้าดูท่าทางจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองนี้ เขาถูกสตรีหน้าตาหมดจดตบศีรษะ แล้วหล่นลงด้านล่างเหมือนกับอุกกาบาต ก่อนจะชนสิ่งก่อสร้างไม่รู้จำนวนเท่าไหร่จนพังทลาย จากนั้นก็หมดลมหายใจ
เพลิงโหมเผาไหม้เมืองสีขาวทั้งเมือง ควันสีดำพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า
บุรุษสวมหน้ากากเสือทิ้งคบเพลิงสีดำอมเทาอันหนึ่งลงไปด้านล่าง ก่อนจะหมุนตัวมามองลู่เซิ่ง
“เหตุใดจึงไม่ลงมือ” สายตาของอีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่าเกิดความสงสัย
“ข้าลงมือแล้ว เก็บของกลับมาได้แล้ว” ลู่เซิ่งยกตรีศูลในมือขึ้น
ที่จริงถ้าเขาไม่เก็บอาวุธเทพในมือผู้เฒ่ามนุษย์ครึ่งม้ามา สองคนนั้นคงไม่ได้รับชัยชนะอย่างง่ายดายขนาดนั้น
เหอะๆ
กลางท้องฟ้าไกลออกไปมีเสียงหัวเราะเย็นชาของสตรีหน้าตาหมดจดดังมา
เพลิงโหมค่อยๆ กลืนกินเมืองสีขาวขนาดมหึมาด้านล่าง ควันดำย้อมท้องฟ้าในอาณาเขตหลายสิบลี้รอบๆ เป็นสีเทา
ในควันสีดำอมเทา บนร่างคนทั้งสามพลันปรากฏไอสีม่วงหลายสาย พวกมันห่อหุ้มคนทั้งสามไว้อย่างง่ายดาย ก่อนจะระเบิดอย่างฉับพลัน จากนั้นพวกเขาก็หายไปจากที่เดิม
…
เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกหลายเดือน
ต้าอินกับพิภพมารยังคงยื้อยันกัน หลังจากจักรพรรดิมารเหวยลาขี่มังกรนิลสุริยันมาทำลายป้อมปราการแห่งหนึ่ง ก็ถูกเจ้าแห่งอาวุธสกัดขัดขวาง สองฝ่ายสู้กันเป็นเวลานาน ต่างได้รับบาดเจ็บ ก่อนจะถอยกลับไปค่ายใครค่ายมัน
สามสำนักนับว่าสามารถมอบคำว่ากล่าวให้ราชสำนักได้แล้ว
ขณะที่สถานการณ์ใหญ่มั่นคง ทางเขตจันทราสารทในจังหวัดไร้เหมันต์ หลังจากลู่เซิ่งเข้าร่วมพันธมิตรทมิฬลัทธิชั่วร้าย ก็ได้ปฏิบัติภารกิจหลายครั้ง ล้วนเป็นการรวบรวมสิ่งของกลับมาเหมือนครั้งก่อนๆ
ลู่เซิ่งรวบรวมอาวุธเทพศัสตรามารระดับดาวหยกกลับมาได้สี่ชิ้นโดยไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย หลังผ่านการทำพิธีสามครั้ง ก็ค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับบรรยากาศประหลาดของพันธมิตรทมิฬในโลกแห่งความเจ็บปวด
สือจื้อซิงเริ่มวางใจในตัวเขา
นางเข้าใจดีว่าคนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมกับพันธมิตรทมิฬไม่ได้สมัครใจ ทว่าหลังจากผ่านภารกิจหลายครั้ง ร่างจะปนเปื้อนกลิ่นอายแห่งความเจ็บปวดมากพอ ถ้าหากไม่กลับมาพักผ่อนในโลกแห่งความเจ็บปวดทุกช่วงเวลาหนึ่ง ก็จะตกสู่ขุมนรกแห่งความเจ็บปวดที่ยิ่งมายิ่งรุนแรง
เกิดว่าทำภารกิจแรกสำเร็จและได้รับการยอมรับจากมารดาแห่งความเจ็บปวด ก็หมายความว่ามิอาจทรยศได้อีก การหาทางหนีออกจากพันธมิตรทมิฬกลายเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าร่วมกับพันธมิตรทมิฬก็มีข้อดีมากมายเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเขาบอกเล่าความแตกต่างที่แท้จริงของโลกมนุษย์ พิภพมาร และโลกแห่งความเจ็บปวดให้ลู่เซิ่งฟัง ในที่สุดลู่เซิ่งก็ยอมแพ้โดยสมบูรณ์
อาวุธเทพศัสตรามารที่โลกมนุษย์และพิภพมารพึ่งพาอาศัยล้วนเป็นวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปที่ถูกโยนออกไปจากโลกแห่งความเจ็บปวด ถ้าไม่ใช่เพราะมีเยื่อกั้นระหว่างสามโลกขวางกั้นไว้ พวกผู้ใช้วิชาชั่วร้ายสามารถลงไปยังโลกสองใบ และเข่นฆ่าทุกสิ่ง รวบรวมทุกอย่างโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใดได้อย่างง่ายดาย
โดยเฉพาะเหล่าผู้ใช้วิชาชั่วร้ายต่างต้องการตัวเจ้าแห่งอาวุธที่สำเร็จในโลกมนุษย์จนน้ำลายสอ
ในเวลาต่อมา ลู่เซิ่งทำภารกิจที่ได้รับจนสำเร็จอย่างง่ายดาย อาวุธเทพศัสตรามารที่นำกลับมาก็อยู่ในสภาพสมบูรณ์เช่นกัน
นี่ทำให้สือจื้อซิงชื่นชมลู่เซิ่งมากกว่าเดิม นางที่ตอนแรกคิดจะคัดเลือกผู้ช่วยสักคนเริ่มให้ลู่เซิ่งออกปฏิบัติการช่วยเหลือตัวเองในบางเวลา
พึงทราบว่า ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายและผู้สร้างคันฉ่องในพันธมิตรทมิฬมีกลุ่มขุมกำลังใหญ่โตเช่นกัน ขุมกำลังที่พึ่งพาได้ในเขตลัทธิซึ่งสือจื้อซิงรับผิดชอบมีไม่มากนัก
ลู่เซิ่งไม่เหมือนกับคนใหม่คนอื่นๆ ที่เพิ่งเข้าร่วม ตรงที่ความสามารถทั้งหมดจะอ่อนแอลงภายใต้การกัดกร่อนจากไอเทาแห่งความเจ็บปวด
กายเนื้อของลู่เซิ่งเหี้ยมหาญสุดขีด จึงรักษาความสามารถในการเอาตัวรอดบนเขตลัทธิในโลกแห่งความเจ็บปวดของเขาไว้ได้ แม้ว่าสำหรับสือจื้อซิงเขาจะยังคงอ่อนแอมากก็ตามที
หลังจากทำภารกิจครั้งล่าสุดเสร็จ ในที่สุดสือจื้อซิงก็คิดจะให้ลู่เซิ่งเข้าร่วมแผนการขยายเขตลัทธิของตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว
นางขาดแคลนผู้ช่วยมากเกินไป
…
“ท่านเรียกข้ามามีเรื่องอะไรหรือ” ลู่เซิ่งสวมชุดคลุมสีเทาอำพรางร่างมากกว่าครึ่ง เขาผลักประตูเปิดห้องก่อนจะเดินเข้าไปในโถงใหญ่ประจำตัวสือจื้อซิง
มันเป็นโถงใหญ่ประจำตัวของผู้ครอบครองอย่างสือจื้อเซิง ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของเขตลัทธิแห่งนี้
คนอื่นๆ แยกกันยึดครองห้องอื่นๆ ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้
สือจื้อเซิงนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของโถงใหญ่ โดยนั่งบนเก้าอี้ที่คล้ายเก้าอี้โยก กำลังพลิกเปิดตำราเล่มหนึ่งในมืออย่างช้าๆ
กองขี้เถ้าสีดำด้านข้างนางอยู่ในสภาพเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ด้านในเตาส่งความเย็นประหลาดอ่อนๆ ออกมา
ลู่เซิ่งสาวเท้าไปอยู่ห่างจากสือจื้อเซิงหลายหมี่ หลังหยุดแล้วก็รอคอยคำตอบอย่างสงบ
ทั้งสองคนคบหากันมานาน จึงมีข้อตกลงที่รู้กัน สือจื้อซิงมีพลังแข็งแกร่งมากๆ ทว่าไปถึงระดับไหน ลู่เซิ่งก็ไม่ทราบเช่นกัน เพียงแต่ทุกครั้งที่นางพูดถึงเจ้าแห่งอาวุธ ใบหน้านี้จะฉายแววละโมบและกริ่งเกรง
“ในช่วงนี้ หลังจากเจ้าเข้าร่วมพันธมิตรทมิฬ ก็ได้ทำภารกิจสำเร็จไปไม่น้อยแล้วกระมัง” สือจื้อซิงห่มผ้าห่มผืนหนา นางยังคงใช้ร่างของเซียวจื่อจู๋ น้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างน่าดึงดูด
“ขอรับใต้เท้า อาศัยบารมีของท่าน ทุกอย่างล้วนราบรื่น” ลู่เซิ่งตอบกลับอย่างสงบ
สือจื้อซิงยิ้มพลางพิจารณาลู่เซิ่งที่ตนบังคับเข้าเป็นพวก
“ที่จริงเจ้าควรรู้สึกโชคดีด้วยซ้ำ ถ้าหากอยู่ในต้าอินต่อ เจ้าอาจจะหาเส้นทางทลายรังไหมเพื่อเกิดใหม่อย่างแท้จริงไม่เจอตลอดชีวิต ได้แต่ติดอยู่ที่นั่นอย่างจนปัญญา มีแต่มาถึงที่นี่เท่านั้น ถึงค่อยมีคุณสมบัติและอยู่ในความสูงที่เห็นทุกสิ่งได้ไกลและกว้างกว่าเดิม”
“ใต้เท้ากล่าวถูกต้องแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า เขายอมรับในเรื่องนี้จริงๆ
“ข้ามีภารกิจหนึ่งที่อยากให้เจ้าทำ เจ้าเอาไปดูก่อน” สือจื้อซิงส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งรับมา ทั้งสองไม่ได้ใช้วิธีส่งกระแสเสียงข้ามมิติเหมือนอย่างในตอนแรกสุด ความจริงแล้ววิธีการนั้นเป็นวิธีการที่ไม่มีมารยาทของที่นี่
……………………………………….