ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 414 หยั่งเชิง (2)
บทที่ 414 หยั่งเชิง (2)
“ภารกิจนี้จะมีผู้ใช้วิชาชั่วร้ายอีกสองคนออกปฏิบัติการร่วมกับเจ้า มีอันตรายมากอยู่บ้าง เจ้าจงระวังตัวไว้” สือจื้อซิงเรียบเรียงคำพูดต่อไป “อย่างที่เจ้าเห็น ความจริงแล้วโลกแห่งความเจ็บปวดมีพื้นที่มากแต่มีคนอยู่น้อย ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายกับผู้ใช้วิญญาณคันฉ่องมีจำนวนคนน้อยมาก พอกระจายไปยังโลกมนุษย์จำนวนก็ยิ่งลดน้อยกว่าเดิม แต่ยังดีที่เยื่อกั้นยังเหลือเวลาอีกส่วนหนึ่งก็จะปลดออกได้แล้ว พวกเราจะเข้าออกพิภพมารและโลกมนุษย์ได้ตามใจ วันแห่งการชำระล้างกำลังจะมาถึง ดังนั้นในเวลานี้ สมาชิกที่ร่างหลักมีสถานะอยู่ในโลกเบื้องล่างอย่างเจ้าจึงเป็นส่วนที่สำคัญต่อพวกเรามาก”
ลู่เซิ่งพยักหน้า เขามองความพิเศษนี้ออกแต่แรกแล้ว ทั้งยังรู้มาตั้งแต่ต้นว่าสถานที่ที่อยู่ตรงกับเขตลัทธินี้ไม่ใช่เขตจันทราสารท หากเป็นแคว้นทั้งแคว้นที่จังหวัดไร้เหมันต์อยู่ด้านใน
สือจื้อซิงบัญชาการคนไม่น้อยในการแทรกซึมและจัดการแคว้นทั้งแคว้น
หรือพูดอีกอย่างก็คือ จังหวัดทั้งหมดห้าสิบกว่าจังหวัดในแคว้นนวกระจ่างที่จังหวัดไร้เหมันต์อยู่มีสือจื้อซิงเป็นผู้ดูแล
จำนวนคนของพันธมิตรทมิฬในโลกแห่งความเจ็บปวดมีน้อยมากๆ เพียงสิบยี่สิบคน ถึงแม้ทุกคนจะเป็นตัวตนที่ลึกลับแข็งแกร่งทั้งหมด แต่หากจะรับมือสถานการณ์รบของทั้งแคว้น ก็เหมือนถกคอเสื้อเห็นข้อศอกจริงๆ
“นอกจากนี้ ระยะเวลาดำเนินภารกิจค่อนข้างนาน ระหว่างทางเจ้าต้องใคร่ครวญวิธีการเอาเอง สองคนนั้น…ช่างเถอะ เจ้าจัดการเอง จงพยายามอย่าเปิดเผยตัวเองเท่าที่จะทำได้” ลู่เซิ่งเข้าใจคำพูดของสือจื้อซิงคร่าวๆ
“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า เขาฟังความหมายของสือจื้อซิงออกคร่าวๆ ภารกิจครั้งนี้ เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าเขากับสองคนนั้นอาจจะจะดำเนินการพร้อมกันสองทาง บางทีระหว่างทางอาจจะต้องร่วมมือกัน แต่ควรเคลื่อนไหวตามลำพังจะดีกว่า
“เอาล่ะ เจ้าออกไปเถอะ” สือจื้อซิงมอบหมายงานเสร็จ ก็ไม่พูดจาไร้สาระอีก
ลู่เซิ่งหมุนตัวเร่งฝีเท้าถอยออกจากโถงใหญ่ แล้วหยุดยืนอยู่บนชั้นที่สามของตึกเล็กสี่ชั้น พร้อมกับทอดตามองไปที่ไกล
ผืนดินสีดำขยายจากเมืองเล็กๆ ไปถึงสถานที่ที่อยู่ห่างออกไปซึ่งมองไม่เห็นปลายทาง
นอกจากเมืองเล็กเมืองนี้แล้ว ก็มีปลากระเบนยักษ์หลายตัวที่บินผ่านเหนือท้องฟ้าตลอดเวลา
พวกมันกระพือปีกที่เหมือนพัดทรงกลม แหวกว่ายอยู่กลางท้องฟ้าอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นไม่นานก็หายไปยังมุมหนึ่งของผืนดินอย่างลึกลับ
ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย เขาเข้าร่วมพันธมิตรทมิฬมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้ในที่สุดค่อยพอจะนับได้ว่าตั้งหลักได้
‘ควรไปหยั่งเชิงสถานการณ์รอบๆ แล้ว’
ประชากรดั้งเดิมของโลกแห่งความเจ็บปวดแข็งแกร่งขนาดไหน ระดับโดยเฉลี่ยของที่นี่คือระดับไหน เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบ
นอกจากนี้ ลู่เซิ่งมาถึงที่นี่นานแล้ว แต่ยังไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับคนในพันธมิตรทมิฬคนอื่น
เขาหยุดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ เดินลงบันไดชั้นสาม ตอนที่เดินมาถึงชั้นที่สอง หญิงสาวสวมหน้ากากกระทิงขาวสองคนก็เดินเคียงไหล่กันขึ้นบันไดมา
“ลู่เซิ่งหรือ ใต้เท้าสือจื้อซิงอยู่หรือไม่” คนหนึ่งในนี้ถามอย่างคุ้นเคย
พวกนางเป็นพี่น้องประชากรดั้งเดิมที่มีฉายาว่ากระทิงดุ คนที่สวมเสื้อคลุมยาวหน่อยชื่อซ่าน คนที่สวมเสื้อคลุมสั้นหน่อยชื่อสั่ว เป็นคนคุ้นเคยเพียงสองคนที่ลู่เซิ่งรู้จักในช่วงเวลานี้ พูดอีกอย่างก็คือ เป็นคนคุ้นเคยที่ยินดีคุยกับเขา
“อยู่” ลู่เซิ่งพยักหน้าตอบ
“ใต้เท้าแห่งอารามใบไม้ไหวกำลังจะกลับมาแล้ว ใต้เท้าสือจื้อซิงจะต้องดีใจมากแน่” สั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบาๆ
“กลับมาหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง
“สองปีก่อนหน้านี้ใต้เท้าผู้นั้นสู้ศึกจนตัวตาย ใต้เท้าสือจื้อซิงโมโหมาก บอกว่ารอใต้เท้าผู้นั้นกลับมา จะต้องสั่งสอนนางดีๆ สักยกหนึ่ง” สั่วเล่าต่อ “แม้แต่ใต้เท้าสือจื้อซิงก็คงคาดไม่ถึงว่านางจะหากายเนื้อที่เหมาะสมเจอเร็วขนาดนี้”
“พอแล้วสั่ว” ซ่านที่อยู่ด้านข้างพลันส่งเสียงตัดบทน้องสาว “เรื่องของใต้เท้าทั้งสองไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะพูดถึงโดยพลการได้”
“เป็นข้าพลั้งปากไปเอง อาจเป็นเพราะกายเนื้อที่เพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ล่าสุดยังไม่เข้าที่เข้าทาง” สั่วแลบลิ้นและกล่าวติดตลก “อย่างนั้นไว้เจอกันครั้งหน้านะลู่เซิ่ง”
“อือ” ลู่เซิ่งพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เป็นปกติ แล้วบอกลาสตรีทั้งสอง
เขาหมุนตัวเดินลงตึกต่อ ทว่าในใจเกิดความสับสนปั่นป่วน
‘กายเนื้อเข้าที่อีกแล้วหรือ…’ นี่เป็นครั้งที่หกแล้วที่เขาได้ยินคนอื่นพูดถึงหัวข้อนี้
เขามีความเข้าใจต่อรูปแบบการดำรงชีวิตของคนในโลกแห่งความเจ็บปวดเลาๆ แล้ว
และเข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดพวกเขาจึงมองตนเป็นคนประเภทเดียวกันที่มาใหม่ เนื่องจากตอนแรกสุด เขาก็เป็นเหมือนกับคนพวกนี้ คือร่างร่างนี้ไม่ใช่ร่างหลักของเขา เขาเป็นแค่วิญญาณที่ข้ามมิติมาเท่านั้น
เซียวจื่อจู๋ก็คงเคยเปลี่ยนกายเนื้อมาก่อนเหมือนกัน ดังนั้นถึงได้ถูกดูดซับ
‘จำเป็นต้องทดลองดู’ ลู่เซิ่งเดินออกจากตึกเล็ก ก่อนจะเงยหน้ามองเมืองเล็กด้านนอก ในเมืองว่างเปล่า ไม่มีใครสักคนเดียว
เขาเดินตรงดิ่งออกจากประตูเหล็ก แล้วเดินตามถนนไปถึงรอบนอกตัวเมืองโดยไม่หยุดพัก หากเดินต่อไปด้านหน้าอีกหลายก้าว ก็จะเป็นที่ราบสีเทาผืนใหญ่
เมืองทั้งเมืองเหมือนเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเลทรายที่กว้างสุดลูกหูลูกตา รอบๆ ไม่มีอะไรเลยนอกจากทรายสีเทา
ลู่เซิ่งยกเท้าขึ้นแล้วก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง
วูบ!
เขาพลันออกแรง ร่างพุ่งออกไปในชั่วเสี้ยววินาที พริบตาเดียวก็กลายเป็นเงาหลงเหลือ ก่อนจะหายไปจากที่ราบทรายสีเทา
ความเร็วสูงขึ้นเรื่อยๆ ลู่เซิ่งเพียงรู้สึกว่ารอบๆ กลายเป็นเงาสีเทาพร่ามัว หลังจากวิ่งตะบึงด้วยความเร็วสูงสุดเป็นจำนวนหัวใจเต้นสามร้อยยี่สิบครั้ง เขาก็หยุดลงอย่างฉับพลัน
เมืองด้านหลังเขาหายไปแล้ว รอบๆ เป็นที่ราบสีเทาที่ไร้ขอบเขต
ด้านหน้าเขามีม้าสีขาวตัวหนึ่งยืนอยู่
ม้าสีขาวขาวมาก ไม่มีสีอื่นเจือปน บนหลังม้ามีสตรีที่มีสีหน้าซีดขาวเหมือนกับสีของม้านั่งอยู่
นางสวมกระโปรงยาวหรูหรางดงาม ไว้ผมทรงหางม้าเปิดหน้าผาก สายตามองมายังลู่เซิ่งอย่างเฉยชา
ลู่เซิ่งหยีตาพลางพิจารณาสตรีอายุน้อยที่โผล่มาอย่างกะทันหันผู้นี้ขึ้นลง
‘ทุกอย่างปกติมาก มีแต่ใบหน้าที่ขาวมากเกินไป…’ เขาลอบเพิ่มความระมัดระวัง เขาไปๆ มาๆ ในโลกแห่งความเจ็บปวดมานาน ไม่เคยเจอใครออกมาเพ่นพ่านด้านนอกมาก่อน แสดงให้เห็นว่าด้านนอกเมืองมีอันตรายที่ยังไม่รู้จักบางชนิด
“สวัสดี” ลู่เซิ่งเดินไปใกล้อีกนิดเพื่อถามทาง
“ท่านรู้ไหมว่าพี่ชายของข้าอยู่ไหน” สตรีผู้นั้นถามอย่างสงบ
“ไม่รู้…ข้าไม่รู้ว่าพี่ชายของท่านเป็นใคร” ลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะตอบทันที
“ท่านรู้ไหมว่าพี่ชายของข้าอยู่ไหน” สตรีผู้นั้นทวนประโยคก่อนหน้าอีกครั้ง คล้ายไม่ได้ยินคำตอบของลู่เซิ่งโดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่าสายตาของนางเหม่อลอยไม่มีจุดรวมศูนย์แม้แต่น้อยนิด
จากนั้นม้าขาวก็แบกผู้นั้นค่อยๆ เดินจากไปยังที่ไกล ไม่สนใจลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้างแม้แต่น้อย
มองตามจนหนึ่งคนหนึ่งม้าจากไป ลู่เซิ่งจึงค่อยออกค้นหาไปด้านหน้าต่อ
ไม่นาน ต้นไม้ใหญ่อันแปลกประหลาดต้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางสายตาของเขา
ต้นไม้ต้นนี้มีขนาดเล็กแค่หนึ่งคนโอบ กิ่งยาวและอ่อนเหมือนกับแส้ ลักษณะเหมือนต้นหลิว
กิ่งที่เหมือนแส้เหล่านี้กำลังโบยตีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งที่อยู่ใต้ต้นไม้อย่างรุนแรง
บุรุษหนุ่มถูกโบยตีอย่างต่อเนื่องจนเลือดเนื้อเลอะเลือน เลือดสดๆ กระจายไปรอบๆ เป็นหยดๆ
ลู่เซิ่งยืนมองห่างๆ อยู่ครู่หนึ่ง พลันพบว่าบุรุษหนุ่มที่ถูกโบยตีผู้นี้เหมือนมีเลือดที่ไหลไม่หมดสิ้น มิหนำซ้ำยังคงร้องร่ำไห้หวนโหยเสียงดังตลอดเวลา
“สวัสดี” ลู่เซิ่งเข้าไปใกล้อีกหน่อยเพื่อทักทาย เขาพลันยื่นมือไปจับกิ่งไม้ทั้งหมดไว้ หยุดจังหวะที่บุรุษหนุ่มถูกโบยตี เพราะคิดจะสนทนากับอีกฝ่าย
“อ๊าก! อ๊ากๆ!”
บุรุษหนุ่มกลับยังคงพลิกตัวกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น บนร่างยังคงมีเลือดและบาดแผลปรากฏอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับมีแส้ล่องหนโบยตีเขาอย่างบ้าคลั่ง
“ท่านเป็นอะไรหรือไม่” ลู่เซิ่งมองคนผู้นี้อย่างแปลกใจ
คนผู้นี้ไม่ได้ตอบ ยังคงกลิ้งไปมาอย่างคลุ้มคลั่ง เลือดบนร่างกระเซ็นออกมาเป็นระยะ
ลู่เซิ่งนิ่วหน้า พร้อมกับยื่นมือไปจับบุรุษผู้นี้โดยที่ยังอยู่ไกลลิบ
“ตีข้าให้ตาย! ตีข้าให้ตาย!!” บุรุษหนุ่มพลันกระโดดขึ้น แล้วพุ่งเข้าใส่ลู่เซิ่งด้วยความเร็วน่าประหลาด
ลู่เซิ่งกำลังจะยื่นมือไปจับเขาไว้ ทันใดนั้นเอง
ตูม!
บุรุษหนุ่มตัวระเบิดกลายเป็นเถ้าสีดำปกคลุมตัวเขาทันที
เขาสับสนอยู่บ้าง ขณะกำลังจะศึกษาผงสีดำนี้อย่างละเอียด อยู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดราวถูกเข็มทิ่มจากด้านหลัง
ลู่เซิ่งหมุนตัว ใช้มือต่อยใส่โดยแทบไม่ต้องคิด
เปรี้ยง!
หมัดของเขาถูกมือที่สวมถุงมือสีขาวข้างหนึ่งกันไว้
บุรุษหล่อเหลาคนหนึ่งที่ไว้ผมยาวประบ่าสีดำ และตรงหว่างคิ้วก็มีรอยแผลแนวตั้งสีดำเช่นกัน ยืนอยู่ด้านหลังเขาด้วยรอยยิ้ม
“ลู่เซิ่งเห็นเจ้าออกมาคนเดียว ข้าเป็นห่วงอยู่บ้าง ก็เลยตามมา” ผิวของบุรุษขาวเหมือนกับหิมะ ดูไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตเล็กน้อย
“ซูหลุน?” ลู่เซิ่งจำอีกฝ่ายได้ คนผู้นี้เป็นน้องชายของบุรุษบนแท่นพิธีที่สวมหน้ากากแพะภูเขาในตอนที่เขารับภารกิจเป็นครั้งแรก
เขาไม่คุ้นเคยกับคนผู้นี้ ปกติเพียงเจอหน้ากันโดยบังเอิญ ก็จะพยักหน้าทักทาย อย่างไรประชากรดั้งเดิมของโลกแห่งความเจ็บปวดก็ผิดปกติอยู่บ้าง บางทีอาจเป็นเพราะอยู่กับความเจ็บปวดเป็นเวลานาน จึงทำให้นิสัยบิดเบี้ยว
ซูหลุนเป็นหนึ่งในสมาชิกพันธมิตรทมิฬของเมือง
ทว่าลู่เซิ่งกลับก้มหน้าลงมองมีดสั้นซึ่งทำจากกระดูกสีขาวที่เสียบอยู่บนเอวด้านหลังของตัวเอง อย่างไรก็ไม่เชื่อว่าคนผู้นี้ติดตามมาเพื่อช่วยเหลือเขาจริงๆ
“อย่างนั้น…เจ้าตามข้ามา คิดจะทำอะไร” ลู่เซิ่งตัดบทขณะมองซูหลุนที่กำลังจะตอบ
พรึ่บ
ซูหลุนดึงมีดสั้นเล่มนั้นออกมา แล้วตีลังกาอย่างแผ่วพลิ้วไปด้านหลังหลายหมี่
“ผู้ช่วยของใต้เท้าสือจื้อซิงสมควรเป็นข้า เจ้าแย่งตำแหน่งของข้าไป”
“แล้วอย่างไร” ลู่เซิ่งหยีตา บาดแผลบนร่างเขาไม่มีเลือดซึมออกมาสักหยด
“ดังนั้น ข้าจึงรอเจ้ามานานแล้ว…เพื่อ…สังหารเจ้า!” ซูหลุนไขว้ขา ร่างกายโถมเข้ามาอย่างฉับพลันเหมือนเป็นวิญญาณ
เขาเร็วถึงขีดสุด เร็วชนิดที่ลู่เซิ่งรับมือไม่ทัน ได้แต่หลบไปทางซ้าย หลบประกายเย็นเยียบคมกริบได้อย่างหวุดหวิด
เขายื่นมือไปด้านหน้า กลับจับไม่โดนอะไรเลย
สวบ
เกิดเสียงทึบขึ้นอีกครั้ง ซูหลุนปรากฏตัวขึ้นด้านหลังลู่เซิ่ง แนบชิดติดเขา มีดสั้นบนมือแทงใส่สันหลังของลู่เซิ่ง
“อ่อนแอจริงๆ…” ศีรษะของเขาค่อยๆ บิด คอยาวขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับงู พร้อมกับพันรัดลู่เซิ่งไว้หลายชั้น
ควันสีเทาหลายสายเริ่มไหลจากบนตัวเขาไปหาลู่เซิ่ง
“รับแหล่งกำเนิดแห่งความเจ็บปวดของข้า แล้วหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับข้าเถอะ…” เสียงของซูหลุนแหลมขึ้นอย่างช้าๆ ขณะเดียวกันคอของเขาก็ค่อยๆ ออกแรง เริ่มรัดร่างของลู่เซิ่งอย่างบ้าคลั่งเหมือนกับงูหลาม
ซู่ๆ…
ซูหลุนค่อยๆ เพิ่มพละกำลัง เขาแทบจะเห็นภาพที่ลู่เซิ่งถูกตนบดขยี้จนกลายเป็นชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนและถูกกลืนกินโดยสมบูรณ์แล้ว
ซู่ๆ…
พละกำลังเพิ่มขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็ข้ามระดับผู้ถืออาวุธไปถึงระดับอริยะเจ้า
การกัดกร่อนของควันสีเทาเป็นดาวข่มของมนุษย์ในโลกด้านล่างทุกคนที่อาศัยอานุภาพของอาวุธเทพ ควันสีเทาชนิดนี้เป็นดาวข่มของอาวุธเทพศัสตรามารทุกชิ้น
“ตายอยู่ที่นี่เงียบๆ เถอะ นี่เป็นชะตาของเจ้า…ฮ่าๆๆ จงเสียใจเถอะ จงสำนึกผิดเถอะ…วินาทีแรกที่เจ้ามาถึงที่นี่ จุดจบของเจ้าก็เริ่มขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว
ถ้าหากเจ้ารู้จักคุกเข่าขอร้องแต่แรก บางทีข้าใต้เท้าซูหลุนอาจจะละเว้นเจ้าก็ได้ น่าเสียดาย เจ้าไม่คว้าโอกาสที่ดีที่สุด หรือโอกาสเพียงหนึ่งเดียวไว้ วางใจเถอะ รอเจ้าตายแล้ว ข้าจะยึดกายเนื้อของเจ้า แล้วใช้ชีวิตที่โลกเบื้องล่างแทนเจ้า แน่นอนว่าเจ้าไม่ต้องหวังว่าใต้เท้าสือจื้อซิงจะรู้ความจริง ที่นี่เป็นดินแดนแห่งความอดอยาก ไม่มีใครทกล้าเข้ามาที่นี่โดยไม่มีการเตรียมตัว จะมีก็แต่คนปัญญาอ่อนของเจ้าที่กล้า…”
เปรี้ยง
ซูหลุนตะลึงงัน
ลู่เซิ่งยื่นมือไปหยิบคอที่ขาดของเขาขึ้นมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เฮ้ย เหมือนจะขาดแล้วนะ” เขาเขย่าศีรษะของซูหลุน
……………………………………….