ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 415 หยั่งเชิง (3)
บทที่ 415 หยั่งเชิง (3)
ซูหลุนเคยเป็นอัจฉริยะ ตอนที่เขารับตำแหน่งผู้ใช้วิชาชั่วร้ายครั้งแรก หยวนฉวี่ซิงอาจารย์ของเขาก็เคยพูดเช่นนี้
ตั้งแต่นั้นเขาก็เชื่อมั่นไม่เคยแคลงใจมาโดยตลอด
จนกระทั่งหยวนฉวี่ซิงอาจารย์ของเขาตายในการรบอย่างเหนือความคาดหมายแล้วกลับชาติไปเกิดใหม่ จึงหายสาบสูญไป กลายเป็นสือจื้อซิงมารับตำแหน่งผู้รับผิดชอบเขตลัทธิแทน
เมื่อไม่มีการคุ้มครองจากอาจารย์ เขาก็สูญเสียรัศมีมากมายในอดีต ร่วงหล่นจากอัจฉริยะที่ทุกคนให้ความสำคัญกลายไปเป็นสมาชิกธรรมดา
ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชายของเขาให้การดูแลในที่ลับ เกรงว่าตอนนี้เขาคงจะไม่มีสิทธิ์กลายเป็นผู้ช่วยของสือจื้อซิงด้วยซ้ำ
และเวลานี้ พี่ชายของเขาก็ได้ลงมือจนหาโอกาสดีๆ ได้อย่างยากลำบาก ขณะกำลังจะผลักดันเขาขึ้นไปเป็นผู้ช่วยของใต้เท้าสือจื้อซิง กลับนึกไม่ถึงว่าจะถูกคนที่มาจากภายนอกแย่งชิงไปอย่างไร้สาเหตุ
ลมเย็นโชยพัดผ่าน ลู่เซิ่งถือคอท่อนหนึ่งอยู่บนที่ราบ นี่เป็นคอที่เขาตัดทิ้งในตอนที่ซูหลุนยืดคอรัดพันเขาเมื่อครู่
“ยังจะเอาอีกหรือไม่” ลู่เซิ่งเขย่าคอในมือไปทางร่างของเขา
ซูหลุนที่คอหายไปท่อนหนึ่งเงียบเสียงลง สีหน้าเริ่มบิดเบี้ยว จุดที่เขาสูญเสียไปเหลือแค่ช่องว่างช่องหนึ่ง มีควันสีเทาเข้มข้นเชื่อมต่อศีรษะและคอของเขาไว้
“เจ้า…น่ารังเกียจนัก!” ซูหลุนหดตัวลงอย่างฉับพลัน คอกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหมุนตัวหลบหนีไป
อีกฝ่ายมีกายเนื้อเหี้ยมหาญเกินไป ความทนทานนั้นต่อให้เขาใช้แรงทั้งหมดก็รัดไม่ขาด กลับกันคอที่แข็งแกร่งที่สุดของตนกลับถูกตัดไปแล้ว
“ในเมื่อมาแล้วก็อยู่นี่เถอะ” ลู่เซิ่งก้าวเท้าออกก้าวหนึ่ง แขนขวายืดขยายยาวขึ้นในทันที พริบตาเดียวก็กลายเป็นกรงเล็บที่มีเกราะเกล็ดสีดำสนิทหยาบใหญ่ ก่อนจะคว้าออกไป
ฟ้าว!
เกิดเสียงลมหวีดแหลมดังมาจากในอากาศ กรวดทรายบนพื้นรอบๆ ตัวซูหลุนถูกแรงกระแทกอันรุนแรงกระแทกจนพัดกระจายไปทั่ว
ความรู้สึกกดดันอันรุนแรงยังมาไม่ถึง อากาศที่ถูกบีบอัดพลันไปถึงตัวเขาก่อน
“เจ้า!”
เขาหมุนตัวไป ยกสองแขนขึ้นป้องกันกรงเล็บของลู่เซิ่งโดยไม่ทันได้พูดอะไร
ตูม!
พื้นด้านล่างที่มีซูหลุนเป็นศูนย์กลางระเบิดออก ปรากฏหลุมลึกขนาดมหึมาซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าหมี่และลึกถึงเจ็ดแปดหมี่ขึ้น
ลู่เซิ่งยืนอยู่บนขอบหลุม ค่อยๆ ชักกรงเล็บกลับ บาดแผลบนร่างสมานตัวจนเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บมาก่อน
“มีดสั้นของเจ้าคมมากจริงๆ น่าเสียดายที่ตัวเจ้าอ่อนแอเกินไป”
ซูหลุนยืนอยู่กลางหลุม ควันสีเทาขนาดใหญ่หลายสายทะลักออกมาจากร่างอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับเลือดที่พุ่งกระเซ็นออกมาจากในร่างของเขา
เขาจ้องมองลู่เซิ่งอย่างตะลึงงัน ในดวงตาคือความหวาดกลัวและความตื่นตระหนก
“เจ้าไม่ใช่…ไม่ใช่…”
เปรี้ยง!
ตัวเขาระเบิดในทันที ตายโดยไร้ซากศพ กลายเป็นควันเทากลุ่มใหญ่ แล้วสลายหายไปกลางอากาศโดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งยืนอยู่บนขอบหลุมเงียบๆ พลางสังเกตควันดำที่จับกลุ่มกันด้านใน
‘ความเร็วสูง พลังทำลายรุนแรงมาก อย่างน้อยก็สร้างความเสียหายให้แก่กายเนื้อของเราได้ ถือว่าอยู่ในระดับอริยะเจ้าตามมาตรฐาน เพียงแต่ร่างกายอ่อนแอเกินไป ไม่ได้มีพลังป้องกันและพลังชีวิตที่อริยะเจ้าควรมี บางทีนี่อาจจะเป็นจุดที่พวกเขาผู้ใช้วิชาชั่วร้ายขาดไป ดังนั้นพวกเขาจึงได้โยนอาวุธเทพที่สร้างขึ้นมาไปทำพิธีในโลกเบื้องล่างจึงจะสำเร็จสินะ’
เขาคาดเดา แม้จะไม่รู้ว่านี่เป็นความจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็เป็นเหตุผลข้อหนึ่ง
ลู่เซิ่งตรวจสอบอย่างละเอียด ไม่พบว่าในหลุมมีซากศพหลงเหลือ ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นควันสีเทาอันสมบูรณ์แบบ หรือนั่นก็คือกลิ่นอายแหล่งกำเนิดแห่งความเจ็บปวด และไม่นานก็สลายไปกลางอากาศ
‘ซูหลุนผู้นี้ ถ้าหากว่าผู้ใช้วิชาชั่วร้ายอยู่ในระดับเดียวกับเขาหมด อย่างนั้นโลกแห่งความเจ็บปวดก็มีพลังพอจะทำลายล้างทุกอย่างจริงๆ’ ลู่เซิ่งประเมินระดับของโลกแห่งความเจ็บปวด เขาเคยพบหน้าซูหลุนมาหลายครั้ง ตำแหน่งในเมืองไม่ต่างอะไรกับพลทหารธรรมดาๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมีพี่ชายจึงใช้ชีวิตได้อย่างไม่เลวแล้ว ก็คงจะถูกกลืนหายไปกับคนอื่นๆ
ทว่าคนแบบนี้กลับบรรลุถึงขอบเขตจิตวิญญาณของระดับอริยะเจ้าได้
แม้กายเนื้อของเขาจะอ่อนแอจนใช้การไม่ได้ แต่เขาก็ควบคุมแหล่งกำเนิดแห่งความเจ็บปวดได้
‘ถ้าหากโลกแห่งความเจ็บปวดมีแต่พลังระดับนี้จริงๆ อย่างนั้น…’ ลู่เซิ่งมองต้นไม้ประหลาดที่อยู่ด้านข้างโดยไม่ขยับเขยื้อน
จากนั้นก็ดีดนิ้ว
ตูม!
กระแสอากาศสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกไปอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น แล้วกระแทกกับกลางลำต้นไม้อย่างหนักหน่วง
ต้นไม้ส่งเสียงโหยหวน พร้อมกับค่อยๆ เอียงโค่น บนลำต้นปรากฏใบหน้าแก่ชราที่บิดเบี้ยว ร่างกายเริ่มพังทลายกลายเป็นผงสีเทาในขณะที่มันกรีดร้อง
ผงเหล่านี้ค่อยๆ หลอมละลายเป็นควันสีเทาแล้วสลายไปในอากาศ
ไม่นานจุดเดิมที่ต้นไม้ใหญ่อยู่ก็เหลือแค่อัญมณีกระจ่างใสสีน้ำเงินเม็ดหนึ่ง
‘เอ๋?’ ลู่เซิ่งงุนงง เดินเข้าไปเก็บอัญมณี นี่เป็นของที่มีสีสันซึ่งเขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกหลังจากอยู่ในโลกแห่งความเจ็บปวดมานาน
อัญมณีถูกคีบอยู่ระหว่างนิ้วของเขา พร้อมกับปล่อยกลิ่นอายและความร้อนอ่อนๆ ออกมา ตรงกลางกำลังเต้นเหมือนจังหวะของหัวใจ
‘อาจจะมีประโยชน์ก็ได้’ ลู่เซิ่งเก็บอัญมณี ก่อนจะตรวจสอบตำแหน่ง แล้วออกค้นหาไปยังทิศทางที่กำหนดไว้
ในเวลาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ต่อจากนั้น เขาเจอต้นไม้ใหญ่อีกหลายต้นที่แตกต่างกัน บางต้นใช้กิ่งเสียบทะลุศพเพื่อกินเลือดเนื้อ บางต้นก็ใช้กิ่งรัดสิ่งมีชีวิตเพื่อรัดให้ตายทั้งเป็น
เขาตั้งชื่อให้แก่ต้นไม้สามชนิดนี้ว่า ปีศาจต้นไม้โบยตี ปีศาจต้นไม้แทงทะลุ และปีศาจต้นไม้พันธนาการ
เทียบกับปีศาจต้นไม้โบยตีแล้ว ปีศาจต้นไม้แทงทะลุใหญ่กว่า มีกิ่งใบมากกว่า แถมเปลือกยังแข็งกว่า สภาพหยินโชติช่วงธรมดาของลู่เซิ่งไม่มีผลต่อมัน เขาใช้พละกำลังของร่างหลักจึงค่อยฆ่ามันได้ และได้รับไพลินขนาดใหญ่มาก้อนหนึ่ง
ส่วนปีศาจต้นไม้พันธนาการมีขนาดใหญ่กว่าและแข็งแกร่งกว่า ถึงขั้นที่ความสูงตั้งแต่ยอดไม้ถึงพื้นดินก็มากถึงสามสิบกว่าหมี่แล้ว คล้ายจะเป็นฉบับวิวัฒนาการของต้นไม้สองชนิดเมื่อก่อนหน้า ลู่เซิ่งลงมือโดยแทบต้องใช้แรงทั้งหมดในสภาพหยางโชติช่วงที่แข็งแกร่งที่สุด จึงค่อยฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ ได้ ก่อนจะได้ไพลินขนาดเท่ากำปั้นมา
หลังจากฆ่าปีศาจต้นไม้พันธนาการต้นที่สองเสร็จ ลู่เซิ่งก็รู้ว่าไม่อาจไปต่อได้อีก โลกแห่งความเจ็บปวดมีความลับมากมาย พลังของเขาในปัจจุบันยังไม่มากพอจะทำความเข้าใจทุกสิ่ง
เขายังมีพื้นที่ให้แข็งแกร่งขึ้น ขอแค่มีพลังอาวรณ์มากพอ เขาก็จะพัฒนาอัคคีอนธการหรือไฟหยินไปถึงขั้นที่สุดจินตนาการได้
อริยะเจ้ายังไม่ใช่ขีดจำกัด
หลังจากสังหารปีศาจต้นไม้พันธนาการต้นที่สอง ลู่เซิ่งก็หมุนตัววกกลับ
…
ครึ่งเดือนต่อมา ณ เขตจันทราสารท
งานบูรณะหลังจากทัพมารล่าถอย กินพลังสมาธิส่วนใหญ่ของยอดฝีมือสามสำนักอย่างเฉินจิ้งจือ แม้พวกเขาจะไม่ได้รับหน้าที่บูรณะโดยตรง แต่ก็ต้องเดินทางไปเฝ้าระวัง คอยคุ้มครองขุนนางจากราชสำนัก รวมถึงบัญชาการและส่งคนคุ้มครองไปเพิ่มเติม
ลู่เซิ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ร่วมมือกับอริยะเจ้าทงเซิงในการค้นหาที่อยู่ของเซียวจื่อจู๋ ปกติเวลาอยู่ในอาราม เขาจะขอให้อริยะเจ้าทงเซิงชี้แนะปัญหาด้านการฝึกฝนในระดับอริยะเจ้าตลอดเวลา
มีบางครั้งเท่านั้นถึงจะแอบเข้าไปในโลกแห่งความเจ็บปวด เพื่อทำภารกิจเล็กๆ ส่วนหนึ่ง
ทว่าในตอนนี้เอง คนของกรมสังข์เขียวก็มาแจ้งลู่เซิ่งกับอริยะเจ้าทงเซิงว่า มีเบาะแสเกี่ยวกับคนร้ายที่สังหารแย่งชิงอาวุธเทพผู้นั้นแล้ว ขอให้ใต้เท้าทั้งสองมุ่งหน้าไปตรวจสอบด้วย
ตอนที่ได้ยินข่าวนี้ ลู่เซิ่งกำลังประคองชาร้อนถ้วยหนึ่งอยู่ในมือ พลางสนทนากับอริยะเจ้าทงเซิงเกี่ยวกับหัวข้อที่ว่า การฝึกฝนของอริยะเจ้าควรใช้จิตวิญญาณเป็นหลักหรือใช้กายเนื้อเป็นหลัก
ศิษย์สำนักพันอาทิตย์ของอารามพาสตรีงดงามที่สวมอาภรณ์แนบเนื้อสีม่วงคนหนึ่งเข้ามา นางคุกเข่าลงข้างหนึ่ง และรายงานข่าวที่กรมสังข์เขียวได้รับให้แก่ทั้งสอง
“ถ้าหากข้าจำไม่ผิด เจ้ากรมของกรมสังข์เขียวน่าจะเปลี่ยนคนแล้วกระมัง” ลู่เซิ่งฉุกใจได้ จึงถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
สตรีอาภรณ์ม่วงกล่าวอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าพูดถูกแล้ว เจ้ากรมของเราก็คือเฉิงเซียวเจ้ากรมเฉิงที่มาจากนครจังหวัดเมื่อเดือนก่อน”
“เฉิงเซียวหรือ ข้าเคยได้ยินศิษย์ของข้าพูดถึงคนคนนี้มาก่อน ว่ากันว่ามีชื่อเสียงในด้านการสืบสวนอยู่บ้าง มีความเป็นไปได้เหมือนกันว่าจะสืบคดีนี้ได้” อริยะเจ้าทงเซิงลูบหนวด “ไปดูด้วยกันหรือไม่” เขามองลู่เซิ่ง
คนร้ายที่ล่าอาวุธเทพได้ เกรงว่าจะมีแต่อริยะเจ้าอย่างพวกเขาเท่านั้นที่มีสิทธิ์รับผิดชอบตรวจสอบ
“แน่นอน” ลู่เซิ่งพยักหน้า ในใจเพิ่มความระวังขึ้นเล็กน้อย
‘หรือว่าลูกน้องของเราจะถูกใครเห็นเข้า ไม่น่าใช่ ถ้าหากกรมสังข์เขียวในเขตจันทราสารทมีความสามารถที่ปิดบังเราได้จริงๆ ก็คงจะไม่มาเป็นขุนนางเล็กๆ ในนครเขตแห่งนี้หรอก’
“นำทางเถอะ”
อริยะเจ้าทงเซิงลุกขึ้นติดตามสตรีอาภรณ์ม่วงเดินออกจากห้องหนังสือของอารามไปพร้อมกับลู่เซิ่ง ทงเซิงสะบัดแขนเสื้อใส่พื้นเบาๆ ฉับพลันนั้นมีผ้าไหมสีขาวผืนหนึ่งลอยออกมา ก่อนจะคลี่ออกเป็นพรมผืนหนึ่งใต้เท้าทั้งสามคนมีเสียงดังซู่ๆ ออกมา จากนั้นก็ลอยขึ้นพาคนทั้งสามบินไปยังที่ไกล
หน่วยหลักของกรมสังเขียวอยู่ในนครเขตไม่ไกลจากสำนักพันอาทิตย์
หลังจากทั้งสามทิ้งตัวลงพื้น ไม่นานก็เดินเข้าไปกลางเรือนสี่ประสานแห่งหนึ่งที่อยู่เลียบเมืองภายใต้การต้อนรับของยอดฝีมือจากกรมสังข์เขียว ในเรือนมีคนจำนวนมากรออยู่อย่างเงียบๆ
“อาจารย์ทงเซิง!” พอเห็นทั้งสามคนเข้าประตูมา ชายฉกรรจ์หน้าแดงก่ำคนหนึ่งซึ่งแขวนอาวุธเทพพู่กันตุลาการไว้ตรงเอวก็เดินขึ้นหน้ามาหลายก้าว แล้วก้มคำนับทงเซิงถึงพื้น
“ชิงหยวนหรือ เจ้านี่เอง มาได้อย่างไรกัน” ทงเซิงใช้พลังประคองคนผู้นี้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
ขณะเดียวกันก็แนะนำให้ลู่เซิ่งรู้จักด้วย
“อริยะเจ้าลู่ นี่คือหลิวชิงหยวนศิษย์คนที่สามของข้า หากมีเวลาขอให้ชี้แนะสักหน่อย”
ลู่เซิ่งยิ้มพลางพยักหน้า หลังจากเข้ามาเขาก็ตรวจสอบสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่รอบๆ ทันทีเพื่อดูว่ามีการดักซุ่มอะไรหรือไม่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรเลย แม้แต่มาตรการการป้องกันก็เป็นการป้องกันระดับผู้ถืออาวุธเท่านั้น
“ใต้เท้าทั้งหลาย ตอนนี้ไม่ใช่เวลารำลึกความหลัง ข้าตกอกตกใจมากตอนพบฆาตกรผู้นี้ นึกไม่ถึงว่าคนผู้นั้นที่ลือกันจะมีตัวตนอยู่จริงๆ”
บุรุษวัยกลางคนแต่งกายอย่างนักศึกษาที่อยู่ด้านข้างรีบกล่าว
“ท่านคือเจ้ากรมหรือ” ลู่เซิ่งถาม
“ข้าน้อยเฉิงเซียว ชื่อรองชิงเฉิน คำนับอริยะเจ้าลู่” เจ้ากรมสังข์เขียวคนใหม่พยักหน้าแสดงความเคารพลู่เซิ่ง
“อย่างนั้นก็มาดูกันก่อนว่าอริยะเจ้าเป็นเทพเทวามาจากไหน เผอิญที่หาตัวเซียวจื่อจู๋ไม่เจอ เริ่มเชือดจากคนผู้นี้ก่อนก็ได้” อริยะเจ้าทงเซิงได้เจอศิษย์ของตัวเองจึงอารมณ์ดี โบกมือพร้อมกับเข้าไปในโถงรับแขกเป็นคนแรก
คนอื่นๆ พากันติดตามไป ทงเซิงนั่งลงตรงตำแหน่งประธาน ส่วนลู่เซิ่งนั่งอยู่ตำแหน่งรอง
เจ้ากรมสังข์เขียวเฉิงเซียวสีหน้าเคร่งขรึม สั่งให้คนไปเอาคันฉ่องขนาดยักษ์มาตั้งไว้หน้าทุกคน จากนั้นก็ลูบรอบๆ คันฉ่องทรงกลมเบาๆ ทำให้ลวดลายสีเงินหลายกลุ่มสว่างขึ้น
ไม่นานบนคันฉ่องก็ปรากฏภาพสมจริงคล้ายๆ กับกล้องวงจรปิด
บุรุษวัยกลางคนที่ร่างกายสูงใหญ่ บนแขนขวามีแผลเป็นขนาดใหญ่ยืนอยู่ในมุมถนนอันมืดมิด มือหนึ่งจับคอของสตรีชราคนหนึ่ง พร้อมกับค่อยๆ ปลดอาวุธเทพแหวนหยกออกมาจากมือของนาง
กร๊อบ
เกิดเสียงแตกหักดังขึ้น หญิงชราคอหักไปแล้ว ด้านหลังนางมีวังวนสีดำสนิทกลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นมา มือซีดขาวนับไม่ถ้วนยื่นออกมาจากในวังวนก่อนจะลากนางเข้าไป
“หือ?”
อยู่ๆ บุรุษวัยกลางคนก็คล้ายกับพบว่ามีคนจับตาดูอยู่ จึงหันมามองคันฉ่อง
เปรี้ยง
ภาพเสมือนในคันฉ่องแหลกสลายไปในพริบตา ทุกอย่างหายไปอย่างสมบูรณ์
“คนผู้นี้ชื่อจิ่งหง” เจ้ากรมสังข์เขียวเอ่ยปากอธิบาย “เป็นผู้ร้ายประกาศจับที่หายสาบสูญไปจากหนึ่งในสามตระกูลใหญ่เมื่อสิบปีก่อน พลังของเขาสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทังยังล้ำลึกจนสุดหยั่ง ตอนนั้นหนีออกจากตระกูลจิ่งซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ด้วยตัวคนเดียว คนผู้นี้หัวรุนแรง และจงเกลียดจงชังอาวุธเทพเนื่องจากคนรักคนแรกในอดีตและน้องสาวถูกใช้ในพิธีกฎเกณฑ์ของอาวุธเทพ ทว่าเนื่องจากพลังฝึกปรือจำเป็นต้องพึ่งพาพลังของอาวุธเทพ ดังนั้นนิสัยจึงปิดเบี้ยวกว่าเดิม เขาใช้บรรทัดสันดาปฟ้าอันเป็นอาวุธมารที่ได้รับโดยบังเอิญออกล่าอาวุธเทพอย่างบ้าคลั่ง และใช้เศษชิ้นส่วนบำรุงบรรทัดสันดาปฟ้าเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตัวเองอย่างต่อเนื่อง พวกเราเคยได้ยินว่ามีคนแย่งชิงอาวุธเทพของคนอื่นๆ มาเพิ่มพลังให้แก่ตัวเองมาก่อนเช่นกัน แต่นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอเข้าจริงๆ”
……………………………………….