ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 416 หยั่งเชิง (4)
บทที่ 416 หยั่งเชิง (4)
“ข้าเคยได้ยินชื่อของคนคนนี้มาก่อน จิ่งหง…เขาเปลี่ยนชื่อของตัวเอง แม้จะออกเสียงเหมือนกัน แต่เห็นได้ว่าเขามีความเคียดแค้นต่อตระกูลล้ำลึกขนาดไหน” ทงเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่เหตุใดมันจึงมาโผล่ที่นี่เล่า”
“นี่เป็นจุดที่พวกเราต้องการคำอธิบายเช่นกัน” เจ้ากรมสังข์เขียวเอ่ยอย่างจริงจัง “จิ่งหงผู้นี้เข้าร่วมองค์กรลึกลับองค์กรหนึ่งที่มีชื่อว่ารังผึ้ง องค์กรนี้มีคนไม่มาก ทว่าแต่ละคนเป็นผู้เข้มแข็งหัวรุนแรงระดับสุดยอดทั้งนั้น ไม่ทราบว่าพวกมันมีจุดประสงค์และเป้าหมายอะไร สิ่งเดียวที่รู้ก็คือพวกมันจะปรากฏตัวในสถานที่ประหลาดส่วนหนึ่ง แล้วกระทำเรื่องที่ยากแก่การเข้าใจเป็นบางครั้ง อีกทั้งยังกระทำการอย่างอุกอาจ เหมือนกับว่าบริเวณรอบๆ ไม่มีใคร”
“อ้อ? รังผึ้งหรือ” ทงเซิงขมวดคิ้วพร้อมกับเงียบเสียง
ลู่เซิ่งกลับหวนนึกถึงภาพที่ได้เห็นเมื่อก่อนหน้า จิ่งหงผู้นี้แบกปัญหาแทนเขาอย่างอธิบายไม่ได้ไปแล้ว
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ มุมหนึ่งของภาพเมื่อครู่เหมือนมีเค้าโครงของคนคนหนึ่งแวบผ่าน นั่นเป็นหนึ่งในคนจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบ ซึ่งลักษณะของคนคนนั้นเหมือนหลี่ซุ่นซีมาก แม้จะเป็นแค่เงาหลังก็ตาม
ทว่าสายตาและความจำของลู่เซิ่งแข็งแกร่งขนาดไหน แม้จะเป็นแค่การคาดเดา แต่โดยพื้นฐานแล้วเขาแน่ใจว่านั่นคือหลี่ซุ่นซี
‘หลี่ซุ่นซีมีความสามารถหยั่งรู้ได้ ยังไม่นับว่าก่อนหน้านี้ยังอยู่ต้าซ่ง จากนั้นก็มาที่นี่อย่างเหนือความคาดหมาย แต่ทำไมถึงไปอยู่ด้วยกันกับฉยงซังและจิ่งหงล่ะ’ ลู่เซิ่งคิดในใจ
เวลานี้เจ้ากรมสังข์เขียวพูดต่อ “นอกจากนี้หน่วยเหนือยังส่งข่าวลงมาว่า ไม่ใช่แค่ทางพวกเราเท่านั้น ทางเมืองหลวงก็มียอดฝีมือของรังผึ้งก่อคดีเช่นกัน คล้ายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความปั่นป่วนภายในของตระกูลหยวนกวงแห่งสามตระกูลใหญ่ด้วย”
“ความปั่นป่วนภายในของตระกูลหยวนกวงหรือ” ทงเซิงทวนคำพูด
“ขอรับ ก่อนหน้านี้ตระกูลหยวนกวงนี้มีแม่ทัพควบคุมเสบียงสละชีพไป ในตระกูลเกิดปัญหาขึ้นตอนจัดแบ่งผลประโยชน์ใหม่ เป็นเหตุให้เกิดความปั่นป่วนภายใน ยอดฝีมือของรังผึ้งเป็นหนึ่งในไพ่ตายที่ฝ่ายหนึ่งในความวุ่นวายเชิญมา ปัจจุบันเรื่องนี้ได้ถูกเปิดเผยแล้ว” เซียวเฉิงอธิบาย
“น่าสนใจ…” ลู่เซิ่งหัวเราะเบาๆ เมื่อพูดถึงตระกูลหยวนกวง เขาย่อมนึกถึงหยวนกวงเช่อซิ่งซึ่งเป็นแม่บังเกิดเกล้าของร่างกายนี้ ความจริงเขาไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อสตรีนางนั้นและตระกูลหยวนกวง สามารถใช้วิธีการที่ทำให้คนใช้สารกายและเลือดจนหมดเพื่อให้กำเนิดทายาทของตัวเองเหมือนพิราบยึดครองรังสาลิกา ลู่เซิ่งไม่มีทางเกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันกับตระกูลแบบนี้
“เล่าไปก็น่าอนาถใจ หลังความปั่นป่วนภายในครั้งนี้จบลง ตระกูลหยวนกวงได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง สุดท้ายถึงขั้นที่บรรพบุรุษเจ้าแห่งอาวุธต้องลงมือสะกดสถานการณ์ด้วยตัวเอง เหตุการณ์จึงค่อยสงบลง แต่ได้ยินมาว่าฝั่งที่ได้รับชัยชนะเป็นคนจากตระกูลสายนอกที่กลับมาจากโลกภายนอก…” เฉิงเซียวถือโอกาสกล่าวต่อ
“ได้ยินมาหรือไม่ว่าฝั่งชนะชื่อว่าอะไร” ลู่เซิ่งพลันสอดปากถาม “ข้ามีสหายเป็นคนของตระกูลหยวนกวง จึงอยากถามสถานการณ์”
“เอ่อ…” เฉิงเซียวชะงักเพราะนึกไม่ถึงว่าลู่เซิ่งจะถามคำถามนี้ แต่เขาศึกษาข้อมูลมาอย่างดี ทั้งยังมีความทรงจำเป็นเลิศ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ไม่นานก็จดจำได้
“มีชื่อว่าหยวนกวงเฉิง ว่ากันว่าเป็นขุมกำลังที่ผงาดขึ้นท่ามกลางพี่น้องหลายร้อย รับสืบทอดกระบี่อริยะสนธยา ซึ่งเป็นหนึ่งในสามอาวุธเทพของตระกูลพร้อมกับคนอีกสองคน ประมุขตระกูลรุ่นก่อนถ่ายทอดวิชาให้ จึงได้รับสืบทอดพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ตอนนี้เป็นหนึ่งในสามประมุขของตระกูล มีพลังลึกล้ำไม่อาจหยั่งคาด แค่เคลื่อนไหวครั้งเดียวก็กลายเป็นกลุ่มคนระดับสูงสุดที่ยืนอยู่เหนือคนจำนวนนับไม่ถ้วนของต้าอินทันที”
ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อย
เมื่อเขามาถึงต้าอิน ย่อมเคยตรวจสอบเรื่องของตระกูลหยวนกวง เขาจำหยวนกวงเฉิงได้ เป็นเพราะหยวนกวงเช่อซิ่งมารดาของเขาก็คือลูกสาวของหยวนกวงเฉิงนั่นเอง
“กระบี่อริยะสนธยาหรือ…เป็นอาวุธเทพระดับเทวปัญญา…หนึ่งในที่พึ่งพิงหลักของสามตระกูลใหญ่” อริยะเจ้าทงเซิงรำพึงขึ้นด้านข้าง “ครั้งก่อนตอนที่ได้เห็นกระบี่อริยะสนธยา พลังของมันก็ไปถึงขอบเขตที่ไม่อาจหยั่งคาดแล้ว แม้จะสู้เจ้าแห่งอาวุธไม่ได้ ทว่า…ผู้ถืออาวุธที่มันเลือกเกรงว่าจะมีพลังไม่ต่างกับพวกเรา”
“ร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ?!” หลิวชิงหยวนผู้มีใบหน้าเป็นสีแดงตกใจ
“แข็งแกร่งมาก ผู้ถืออาวุธที่ข้ามขั้นตอนของผู้ถืออาวุธทั้งหมด แล้วกลายเป็นอริยะเจ้าโดยตรง มิหนำซ้ำยังเป็นระดับที่เหี้ยมหาญที่สุดในหมู่อริยะเจ้าด้วย นี่ก็คือความแข็งแกร่งที่ทำให้สามตระกูลใหญ่อยู่ในจุดสูงสุดมาโดยตลอด อาวุธเทพประจำตระกูลของพวกเขาได้รับการบูชามาหลายปี พลังจึงเหี้ยมหาญถึงขั้นที่มิอาจบรรยาย นี่เป็นการใช้พลังของอาวุธเทพเพื่อเลื่อนระดับ ทว่าในทางเดียวกัน นี่ก็เป็นพลังที่แลกเปลี่ยนมาโดยการละทิ้งความหวังในการเลื่อนสู่ระดับเจ้าแห่งอาวุธ” ทงเซิงส่ายหน้าพลางกล่าวอธิบาย
“นี่ก็แข็งแกร่งมากแล้ว…” หลิวชิงหยวนถอนใจชมเชย “ถ้าหากเป็นข้า ข้าก็ยินดีทำเหมือนกัน”
“อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องนี้ ต่อจากนี้พวกเรามาจัดการเรื่องจิ่งหงก่อน ต่อให้จับเขาไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องขับไล่เขาออกไป” ทงเซิงตัดสินใจ
ทุกคนเริ่มวิเคราะห์ข้อมูลและเบาะแสที่เป็นไปได้ที่สุดเพื่อยืนยันตำแหน่งของจิ่งหง ทว่าสิ่งที่ทุกคนถกกันมากที่สุดคือการใช้แผนล่องูออกจากถ้ำเพื่อล่อลวงจิ่งหงออกมา
ลู่เซิ่งนั่งฟังอยู่ด้านข้างเงียบๆ จิตใจกลับไม่อยู่ที่นี่ หากลอยไปที่อื่น
…
ณ ราชธานีของแคว้นต้าอิน ตระกูลหยวนกวง
สิ่งที่สูงที่สุดในราชธานีคือหอคอยยอดแหลมสามแห่ง หอคอยหยวนกวงที่ตั้งอยู่ทางเหนือของราชธานีเป็นของตระกูลหยวนกวง
หอคอยมีทั้งหมดหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองชั้น ยอดหอคอยหายเข้าไปในชั้นเมฆจนแทบมองไม่เห็น ทุกๆ ชั้นของหอคอยสลักลวดลายดอกไม้ชนิดพิเศษที่วิจิตรงดงามไว้จำนวนมาก ไม่มีคน สัตว์ สิ่งของ หรือตัวอักษร มีแต่ดอกไม้ ดอกไม้รูปแบบต่างๆ ดอกไม้ที่มีสีสันนาๆ
หากมองไกลๆ จะเห็นว่าตัวหอคอยเหมือนปลูกดอกไม้ไว้แน่นขนัดไปเสียทุกชั้น ทั้งยังมีกลิ่นหอมจางๆ กระจายออกมายามลมพัดผ่านด้วย
บางครั้งที่ลวดลายเหล่านี้ถูกค่ายกลกระตุ้น จะมี ‘ผงบุปผา’ อันแวววาวถูกลมพัดโปรยปรายออกมา
ณ ชั้นที่เก้าสิบเก้าของหอคอยหยวนกวง หยวนกวงเฉิงที่ถือคทาสีทองยืนหลังค่อมอยู่ริมดาดฟ้าพร้อมกับก้มลงมองราชธานีอินตู
แค่กๆ…
นางกระแอมเบาๆ หญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบทุบหลังนางเบาๆ
บนใบหน้าชราของหยวนกวงเฉิงปรากฏความอิดโรยเหนื่อยล้า ต่อให้จะเป็นทิวทัศน์ของราชธานีอินตูที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาก็ไม่ได้ทำให้นางชื่นใจแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ เรียกพวกเรามามีคำสั่งใดหรือ” ด้านหลังนางมีเสียงสงบนิ่งของสตรีสองคนดังมา
หยวนกวงเฉิงค่อยๆ หันไป ก่อนจะเห็นหยวนกวงอวี่กับหยวนกวงเช่อซิ่งที่คุกเข่าข้างหนึ่งเพื่อทำความเคารพในหอคอย
“ละครตลกจบลงแล้ว ท่านบรรพบุรุษไม่คาดโทษพวกเรา แต่พวกเราก็ควรระวังไว้ตลอดเวลา อย่าเห็นว่าความเอาใจใส่เป็นการสมยอม อย่าเห็นว่าการยกโทษเป็นเรื่องสมเหตุสมผล” นางกำชับเสียงขรึม
“ลูกจะระวัง” สตรีทั้งสองรีบขานตอบ
“หลงฝอจากไปแล้ว พวกเจ้าจัดการคนรุ่นหลังของเขาให้ดี ยังมีทางมารดา…ไม่สิ…ควรเรียกนางว่าหยวนกวงจ่วนหวน เรื่องทำลายผลประโยชน์ของตระกูล ติดต่อศัตรูภายนอก จำเป็นต้องกำหนดโทษอย่างระมัดระวัง ท่านบรรพบุรุษเป็นผู้สั่งมา” หยวนกวงเฉิงกำชับ
“คนรุ่นหลังของใต้เท้าหลงฝอล้วนรับเข้าตระกูลหมดแล้ว นอกจากนี้ร่างกายของท่านยาย…” หยวนกวงอวี่กำลังจะอธิบายต่อ
“จัดการตามกฎตระกูลก็พอ” หยวนกวงเฉิงตัดบทนาง “ตอนนี้คนในตระกูลเหลือน้อยนิด พวกเจ้าจงรับผู้สันดาปที่กระจัดกระจายอยู่ด้านนอกกลับมาให้หมดเพื่อชดเชยขุมพลังของตระกูลเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นสายเลือดในตระกูล ไม่ควรปล่อยไว้ด้านนอกมากเกินไป”
หยวนกวงอวี่และหยวนกวงเช่อซิ่งพลันกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที
แม้พวกนางจะเป็นลูกสาวของหยวนกวงเฉิงเหมือนกัน ทว่าหยวนกวงเฉิงมีลูกสาวมากมาย คนที่ได้รับความสำคัญอย่างแท้จริงกลับมีแค่พวกนางสองคนเท่านั้น นี่แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติและตำแหน่งของพวกนางเช่นกัน
ส่วนการรับคนในตระกูลกลับมา ความปั่นป่วนภายในครั้งนี้มีคนในตระกูลตายไปหลายพันคน จึงปรากฏตำแหน่งว่างมหาศาล และแม้แต่คนในตระกูลหลักที่เดิมก็มีน้อยอยู่แล้วก็ยังเสียชีวิตไปมากเช่นกัน พวกนางสามารถรับพี่น้องและลูกหลานของตัวเองกลับมาถมตำแหน่งที่ว่างได้พอดี
“จงคำนวณจำนวนและรายชื่อของผู้สันดาปที่อยู่ใกล้ๆ ต้าอินออกมาทั้งหมด แล้วส่งคนไปเรียกตัวกลับมา ที่เหลือไม่ต้องให้ข้าสอนแล้วกระมัง” หยวนกวงเฉิงเอ่ยอย่างราบเรียบ “ข้าถือครองกระบี่อริยะสนธยาได้อีกไม่นานแล้ว…ข้าแก่แล้ว…และเหนื่อยแล้ว…ใต้เท้ากระบี่อริยะไม่พอใจจะถูกจองจำไว้บนร่างของหญิงชราอย่างข้าอีกต่อไป เขาต้องการวิญญาณที่อายุน้อยกว่าและแข็งแกร่งกว่าเดิม”
“ลูกเข้าใจแล้ว…” หยวนกวงอวี่กับหยวนกวงเช่อซิ่งเข้าใจจุดประสงค์ของมารดาอย่างแท้จริงแล้ว นั่นก็คือการถ่ายทอด…
เรียกสายเลือดทั้งหมดมาเพื่อคัดเลือกวิญญาณซึ่งแข็งแกร่งกว่าเดิมมารับสืบทอดกระบี่อริยะสนธยา
…
ณ จังหวัดไร้เหมันต์ เขตธาราเทพ
ภูมิประเทศอันเป็นเนินเขากลุ่มใหญ่จำนวนมากปรากฏสีสันเจ็ดสีขึ้นแพรวพราวภายใต้แสงอาทิตย์ หญ้าและใบไม้บนเนินโยกไหวเบาๆ ตามสายลม สีสันต่างๆ ก็เคลื่อนไหวตาม ปรากฎภาพงดงามไม่ธรรมดา
ยามเที่ยง อาทิตย์ลอยสูงโด่ง
ในหุบเขาภูษาหลากสีสันด้านนอกเขตธาราเทพ อริยะเจ้าทงเซิงเดินนำหน้าลู่เซิ่งอยู่บนยอดเขาทางด้านขวามือ
ทั้งสองก้มมองภูมิประเทศหลากสีสันซึ่งเคลื่อนไหวตามสายลมในหุบเขา พร้อมกับดมกลิ่นหญ้าเขียวและกลิ่นบุปผาอ่อนๆ จิตใจโปร่งโล่งสดชื่นยิ่ง
“จะว่าไปหุบเขาภูษาหลากสีสันแห่งนี้มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง” ลู่เซิ่งอยู่จังหวัดไร้เหมันต์มานาน จึงได้อ่านหนังสือมาไม่น้อย ตอนนี้ยิ้มพลางเล่าว่า “ว่ากันว่าเคยมีหงส์เจ็ดสีบินลงมาที่ดินแดนแห่งนี้ แต่เป็นเพราะว่ามีฝนฟ้าคะนอง ขนบนตัวจึงชื้นเกินทน ดังนั้นมันจึงปลดขนลงมาสะบัดน้ำ ผู้ใดจะคาดว่าเจ้าแห่งอาวุธนวนครในเทพนิยายจะผ่านทางมาที่ดินแดนแห่งนี้โดยบังเอิญ และคิดจะจับหงส์เจ็ดสีกลับไปทำเป็นพาหนะด้วยความสนใจชั่วขณะ เจ้าหงส์ตัวนั้นตกใจบินหนีไปโดยทิ้งขนเจ็ดสีไว้ และไม่กล้ากลับมาเอาอีก ดังนั้นขนจึงหลอมรวมเข้ากับผืนแผ่นดิน กลายเป็นทัศนียภาพงดงามของที่นี่”
“ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ คงจะไม่เลวยิ่ง น่าเสียดายที่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ตามที่ข้าทราบ เจ้าแห่งอาวุธนวนครไม่เคยมาที่นี่ เขาเคลื่อนไหวในทางเหนือของต้าอินมาโดยตลอดจนกระทั่งตาย” อริยะเจ้าทงเซิงส่ายหน้า อดหัวเราะไม่ได้
ลู่เซิ่งเงียบเสียงลง จากนั้นจึงค่อยนึกขึ้นได้ว่า ที่จริงเจ้าแห่งอาวุธในเรื่องเล่าเทพนิยายที่แพร่หลายก็ไม่ต่างจากชายชราข้างกายคนนี้เท่าใดนัก ในตอนที่เห็นว่าเรื่องเล่าเทพนิยายเป็นเพียงเรื่องเล่าใกล้ตัว ความรู้สึกไม่เป็นจริงที่เกิดขึ้นก็ค่อยๆ สะท้อนในหัวใจ
“ที่จริง…กล่าวไปก็น่าละอาย ตอนที่เห็นท่านเป็นครั้งแรก ข้าก็นึกถึงหลานของตัวเองที่ตายไปเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาอย่างเหนือความคาดหมายขึ้นมา” อริยะเจ้าทงเซิงมองรอยยิ้มบนใบหน้าลู่เซิ่ง อยู่ๆ ก็รำพึงรำพัน “โดยเฉพาะตอนที่ยิ้ม…”
ลู่เซิ่งงุนงง จากนั้นก็เงียบเสียงลง เพราะไม่ทราบว่าควรจะตอบอย่างไรดี
“แต่ว่าเขาไม่ได้ร้ายกาจและสำเร็จเท่าท่าน อริยะเจ้าลู่อย่าได้ถือสา ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด ตอนนี้ท่านคงจะยังอายุไม่ถึงสองร้อยปีกระมัง” อริยะเจ้าทงเซิงถามเสียงเบา
“ใช่แล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า เขาย่อมไม่กล้าบอกอายุของตัวเอง หากเล่าว่ามาถึงระดับอริยะเจ้าทั้งๆ ที่มีอายุแค่ยี่สิบกว่าปี คงจะไม่มีใครเชื่อ ต่อให้เชื่อแล้ว ก็คงก่อให้เกิดปัญหาใหญ่โตแน่นอน
“ดังนั้นบางครั้งจึงดูใจร้อนอยู่บ้าง ทว่าอริยะเจ้าลู่วางใจเถอะ ข้าเองก็เข้าใจ…ในเรื่องราวมากมายเช่นกัน…” อริยะเจ้าทงเซิงพูดไปพูดมา ไม่ทราบว่าจะอธิบายอย่างไร จึงได้แต่ส่ายหน้าพลางหัวเราะไปด้วย
……………………………………….