ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 418 จัดการ (2)
บทที่ 418 จัดการ (2)
ลู่เซิ่งดื่มสุราอีกคำ สุราที่เย็นฉ่ำและรสอ่อนแฝงความหวานของน้ำผึ้ง ยังมีกลิ่นดอกไม้หลากหลายชนิดอันเข้มข้น ในสุรานี้ยังใส่ยาล่อลวงจิตใจที่รุนแรงเอาไว้ด้วย เกรงว่าจะเป็นฝีมือของกรมหยินหยาง
เป็นเพราะสุราอยู่บนโต๊ะของจิ่งหง ดังนั้นตอนนี้เขาจะต้องโดนยาล่อลวงจิตใจแล้วแน่
ยาล่อลวงจิตใจเอาไว้ใช้กับคุณสมบัติร่างกายอันเหี้ยมหาญของผู้ถืออาวุธ มันจะส่งผลลัพธ์อย่างน่าทึ่งต่อทุกคนที่ไม่ได้มีกายเนื้อแข็งแกร่ง
ลู่เซิ่งมองหลิวชิงหยวนกับจิ่งหง ทั้งสองคนเริ่มใช้พลังทางสายเลือดอันเป็นบ่อเกิดของอาวุธเทพแล้ว
รอบๆ หลิวชิงหยวนปรากฏอักขระหงิกงอไร้รูปร่างที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ อักขระทุกตัวที่แข็งแกร่งและคมกริบถึงขีดสุดพุ่งใส่จิ่งหงด้วยความเร็วและความรุนแรงที่แข็งแกร่ง
ส่วนรอบๆ ตัวจิ่งหงมีพลังงานประหลาดอ่อนๆ กระจายตลบไปทั่ว อักขระกึ่งโปร่งแสงทั้งหมดที่พุ่งเข้าไปด้านในระเบิดแหลกในพริบตา ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“พลังแห่งการหักล้างหรือ” ทงเซิงประหลาดใจเล็กน้อย
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นเก้าอี้ข้างใต้หลิวชิงหยวนระเบิดเป็นรอยแยกเส้นหนึ่ง ใบหน้าของเขาแดงจนแทบเหมือนจะมีเลือดหยดออกมา แม้ว่าใบหน้าของเขาจะแดงอยู่แล้วจนทำให้แยกแยะไม่ออกก็ตาม
กระนั้นลู่เซิ่งก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า เขาแพ้แล้ว
จิ่งหงไม่ได้ฉวยโอกาสที่ชนะโจมตีต่อ หากแต่ยังนั่งดื่มสุราล่อลวงจิตใจอยู่ที่เดิม ยาล่อลวงจิตใจสามารถมอมเมาผู้ถืออาวุธส่วนใหญ่ให้ล้มลงได้ ทว่าเขาคือผู้ที่มีความสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายอันเหี้ยมหาญ ซึ่งเป็นส่วนน้อยพอดี
“กลับไปเถอะ นี่ไม่ใช่สถานที่ที่พวกท่านควรมา” จิ่งหงลุกขึ้นพร้อมกับเดินไปด้านนอกเหลาสุรา ไม่นานก็หายไปจากมุมถนน
หลิงชิงหยวนลุกขึ้นคิดจะตามไป หากถูกทงเซิงยกมือห้ามไว้
“ไม่ต้องตามแล้ว เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” ทงเซิงส่ายหน้าน้อยๆ “คนผู้นี้…ไม่เหมือนคนโหดเหี้ยมอำมหิต คดีนี้ยังต้องตรวจสอบต่อไป”
“แต่ว่าท่านอาจารย์…” หลิวชิงหยวนไม่ยอมรับอยู่บ้าง การถูกคนเอาชนะอย่างง่ายดายต่อหน้าอาจารย์ของตัวเอง แม้จะไม่ได้ลงมือสุดกำลังก็ตาม แต่ก็ยังน่าขายหน้ามากอยู่ดี
“ลู่เซิ่งท่านเห็นอย่างไร” ทงเซิงมองลู่เซิ่ง
“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ แต่ข้าเชื่อการตัดสินของผู้อาวุโสทงเซิง” ลู่เซิ่งยิ้มพลางพยักหน้า
เขาใช้คำว่าชั่วร้ายตรงกลางฝ่ามือแจ้งผู้ใช้วิชาชั่วร้ายอีกสองคนที่มาทำภารกิจด้วยกันเรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองคนนี้ใช้วิชาวิญญาณสิงร่าง สามารถคงอยู่ในโลกวัตถุสามวัน สามวันนี้มากพอให้เขาจัดการภารกิจในครั้งนี้แล้ว
ตอนนี้คนสองคนนั้นน่าจะมุ่งหน้าไปจัดการแล้ว
“คนพวกนี้กำลังแสดงงิ้วอยู่หรือ ทำท่าทำทางเหมือนจริงๆ หลานชาย ทักษะการแสดงของพวกเขาดีกว่าเจ้าเสียอีก” ศิษย์น้องเล็กในกลุ่มคนอาภรณ์ขาวเอ่ยปากอีกครั้ง
คนหนุ่มอาภรณ์ขาวที่ถูกนางเรียกสีหน้าอึมครึม แต่ยังคงนั่งเงียบๆ อยู่ที่เดิมโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ถ้าหากศิษย์น้องเล็กสนใจ อีกประเดี๋ยวข้าจะให้หวังฝู่เรียกนักแสดงงิ้วไปแสดงที่เรือนของเจ้าโดยเฉพาะ ให้เจ้าดูอย่างจุใจ” สตรีอาภรณ์ขาวที่อยู่ด้านข้างประจบเอาใจ
“ประเสริฐยิ่ง! ถ้าหากแสดงไม่ดี เช่นนั้นก็ฝังซักเจ็ดเข็ม รับประกันว่าพวกมันไม่กล้าอู้แน่!” ศิษย์น้องเล็กคนนั้นปรบมือหัวเราะชอบใจ
เจ็ดเข็มเป็นวิธีการลงโทษบริวารที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในตระกูลระดับสูงของต้าอิน คนเรามีเจ็ดทวาร เจ็ดเข็มที่ว่านี้เป็นการแทงเข็มยาวๆ ใส่เจ็ดทวาร แต่ว่าไม่ถึงกับแทงให้ตาย หากใช้วิธีการต่างๆ รักษาชีวิตคนไว้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย ประสบกับความหวาดกลัวและความทรมานทุกๆ วัน
เป็นหนึ่งในวิธีการลงทัณฑ์ที่โหดร้ายที่สุด
แต่พอเด็กสาวน่ารักไร้เดียงสาคนนี้เอ่ยปากก็กล่าวคำพูดอำมหิตแบบนี้แล้ว เห็นได้ถึงความโหดเหี้ยมของจิตใจ
“เอาล่ะ ข้าขอไปก่อน ลู่เซิ่งท่านไปด้วยหรือไม่” ทงเซิงลุกขึ้น แล้วปล่อยให้หลิวชิงหยวนประคอง ก่อนจะหันไปมองลู่เซิ่ง
“ผู้อาวุโสตามสบาย ข้าจะจัดการเรื่องส่วนตัวเสียหน่อย จะตามไปทีหลัง” ลู่เซิ่งตอบด้วยรอยยิ้ม
ทงเซิงถอนใจ เข้าใจคร่าวๆ ว่า ลู่เซิ่งคิดทำอะไร “ตรงไหนปรานีได้ควรปรานี ลู่เซิ่งท่าน…” เขาไม่พูดอะไรต่ออีก หากแต่หมุนตัวออกประตู ขึ้นรถเทียมวัวที่กรมหยินหยางจัดไว้ให้ แล้วจากไป
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว ดื่มสุราอีกรอบ
คนอาภรณ์ขาวกลุ่มนั้นลุกขึ้นจ่ายเงินออกจากเหลาสุราไปแล้ว ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจพวกเขา เขาไม่ใช่คนที่จะโมโหโกรธแค้นใครจนต้องลงมือเพราะคำพูดไม่กี่ประโยค
เขากำลังรอ รอข่าวอยู่
คนของกรมหยินหยางค่อยๆ แยกย้ายกันไป หลังจากผู้รับผิดชอบส่งกระแสเสียงคุยกับลู่เซิ่งเสร็จ ก็ทยอยกันไปจากที่นี่
รออยู่ประมาณครึ่งชั่วยาม ลู่เซิ่งพลันลุกขึ้นแล้วเดินออกจากเหลาสุรา
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอาทิตย์งามลอยโด่ง เขาก้าวเท้าเบาๆ หนึ่งก้าวเท่ากับสิบก้าวของคนทั่วไป พริบตาเดียวก็ออกจากเขตถนน ผละจากตำบล และออกห่างเส้นทางหลวงด้วยความเร็วอันน่าตกใจ พร้อมกับมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตำบล สิ่งที่น่าประหลาดก็คือไม่มีใครสัมผัสการเคลื่อนไหวของเขาได้แม้แต่คนเดียว คล้ายกับทุกคนรู้สึกว่าสมเหตุสมผลแล้ว หรือไม่ก็ไม่ได้สังเกตถึงการกระทำของเขา
ตัดผ่านเนินเขาหลายลูก ลู่เซิ่งหยุดอยู่ในป่าต้นเฟิงแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ใบเฟิงสีแดงฉานปลิดปลิวตามลมเป็นระยะ ใบไม้สีแดงหนากองอยู่ทั่วพื้น
คนที่เหลือย่อมมีคนนำทาง คนที่สือจื้อซิงจัดหาให้สามารถจัดการภารกิจครั้งนี้จนสำเร็จได้
ส่วนเป้าหมายของเขากับผู้ใช้วิชาชั่วร้ายอีกสองคนคือการปิดล้อมคนที่อยู่ด้านหลังจิ่งหง หากว่าคนผู้นั้นปรากฏตัว สามคนลงมือพร้อมกัน ต่อให้อีกฝ่ายติดปีกก็ยากจะหลบหนีแน่นอน
ลู่เซิ่งติดต่อวางแผนเรื่องนี้กับผู้ใช้วิชาชั่วร้ายอีกสองคนไว้แต่แรกแล้ว
ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายสองคนนั้นมีอาวุธเทพชนิดพิเศษคนละชิ้น แบ่งเป็นสลักพันฤทธิ์และโซ่ร้อยวิชา โซ่ร้อยวิชาจะไล่ตามตัวตนในระดับเดียวกับตัวเอง ส่วนสลักพันฤทธิ์สามารถพันธนาการตัวตนที่มีการเชื่อมต่อพิเศษกับตัวเองไว้ที่เดิมได้หนึ่งชั่วยาม
ทั้งสองสิ่งผสานกัน สามารถหยุดเป้าหมายไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ไม่อาจหนีรอดได้
ลู่เซิ่งรอคอยอย่างสงบนิ่ง สวีฉีดาบสดับฟ้าเป็นคนที่มีพลังแข็งแกร่งสุดขีด สามารถเป็นฉากหลังให้แก่ผู้ถืออาวุธระดับสุดยอดอย่างจิ่งหงได้ พลังโดยพื้นฐานคงเป็นระดับอริยะเจ้า ว่ากันว่าเป็นยอดฝีมือสามอันดับแรกในองค์กรรังผึ้งด้วย
ดังนั้นครั้งนี้หากคิดจะชิงดาบสดับฟ้า จำเป็นต้องใช้ความสามารถไม่น้อย
เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย อย่างค่อยเป็นค่อยไป ลู่เซิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ เข้าใกล้อย่างช้าๆ
ที่นี่เป็นเส้นทางที่จิ่งหงต้องผ่าน เขาย่อมมาจากด้านนี้
เสียงซ่าดังขึ้นเมื่อกิ่งใบของต้นไม้ถูกตัด จิ่งหงเดินออกมาจากในป่ารกชัฏ พอเห็นว่ากลางป่าเฟิงด้านหน้ามีคนยืนอยู่ เขาก็ผุดสีหน้างุนงง ก่อนจะหยุดฝีเท้า
“เจ้าคือใคร…” เขาขมวดคิ้วมองลู่เซิ่งที่อยู่ตรงข้าม รู้สึกแปลกหน้าเล็กน้อย “หนึ่งในสามคนก่อนหน้านี้”
“ใช่แล้ว” ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่เดิม รูปร่างของเขาในตอนนี้สมบูรณ์แบบถึงขีดสุด หลังกว้างเอวเล็ก เป็นรูปทรงสามเหลี่ยมกลับหัว สองขาเรียวยาวมีพลัง ทำให้คนที่เห็นเกิดภาพประทับใจอย่างล้ำลึก ในใจนึกเชื่อมโยมถึงคำบรรยายที่เกี่ยวข้องกับพละกำลัง เหล็กกล้า และความรุนแรง
“ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อถามหาความยุติธรรมให้กับเหล่าผู้ใช้อาวุธเทพที่ก่อนหน้าถูกเจ้าไล่ล่าไป” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ถึงขั้นที่มีความเคร่งขรึม
“น่าขัน” จิ่งหงสีหน้าเยือกเย็นลง “ความยุติธรรมหรือ อะไรคือความยุติธรรมกัน คนที่ข้าสังหารไปล้วนเป็นคนที่เลือกเส้นทางตาย พวกมันสมควรตายแล้ว! เจ้ามีสิทธิ์อะไรยืนอยู่ต่อหน้าข้าและพูดถ้อยคำเหล่านี้ เจ้านึกว่าเจ้าเป็นใครกัน”
“ก็แค่หาข้ออ้างเท่านั้น เจ้าก็ถือเสียเป็นจริงเป็นจังเชียว” ลู่เซิ่งพลันหัวเราะก่อนจะกล่าวอย่างไม่ยี่หร่ะ
“เจ้า!?” จิ่งหงยังคิดจะพูดอะไรอีก อยู่ๆ ก็มีเสียงคนดังมาจากรอบๆ ทั้งสองเบาๆ
“ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ ศิษย์พี่รีบดูเร็ว ตรงนี้สวยกว่าเยอะเลย นึกไม่ถึงว่าที่แห่งนี้จะมีทิวทัศน์งดงาม ยังมีป่าเฟิงแดงที่สวยงามขนาดนี้ ช่างหายากจริงๆ” เสียงเด็กสาวที่สดใสไร้เดียงสาดังมาถึงที่นี่
ด้านข้างไม่ไกลออกไปมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในป่าเฟิง ถึงกับเป็นคนสวมอาภรณ์ขาวที่ได้พบในเหลาสุราเมื่อก่อนหน้า
พวกเขาไม่สังเกตเห็นลู่เซิ่ง สายตากลับรวมอยู่บนร่างจิ่งหง
“เป็นคนแปลกๆ เมื่อกี้นี้” เด็กสาวที่กล่าววาจาก่อนหน้าเอ่ยปากอีกครั้ง
ลู่เซิ่งกวาดตามองคนสวมอาภรณ์ขาวตรงนั้น จากนั้นความสนใจก็รวมอยู่บนร่างจิ่งหงอีกรอบ
กลับนึกไม่ถึงว่าสีหน้าจิ่งหงจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในสายตาฉายแววข่มใจไม่ไหว
“เปลี่ยนสถานที่เถอะ” เขาเอ่ย
ลู่เซิ่งรู้สึกสนใจมาก “เพราะเหตุใด เป็นเพราะคนธรรมดากลุ่มนั้นหรือ ปกติวิธีการของเจ้าไม่ใช่แบบนี้นี่”
“ข้ามีหลักการของข้า” จิ่งหงผุดสีหน้าเคร่งขรึม
“หลักการหรือ” ลู่เซิ่งยิ้ม
เขาชี้นิ้วเล็งไปยังทิศทางของคนสวมอาภรณ์ขาวกลุ่มนั้น
“อย่างเช่นอะไรเล่า” แสงสีทองจุดหนึ่งค่อยๆ สว่างขึ้นบนปลายนิ้วของเขา
“พลังไม่ใช่เอามาใช้ระบายตามใจหรือทำร้ายผู้บริสุทธิ์!” จิ่งหงเห็นดังนั้นใบหน้าเหยเกขึ้นกว่าเดิม
“งั้นหรือ” ลู่เซิ่งแสยะยิ้ม บนร่างปรากฏแสงสีทองอ่อนๆ
ฟ้าว!
แสงสีทองพุ่งออกไปจากปลายนิ้วของเขาอย่างฉับพลัน แล้วตรงดิ่งเข้าหาทิศทางของคนสวมอาภรณ์ขาว
เปรี้ยง!
แต่พลังกลับถูกมือใหญ่ที่สวมถุงมือสีดำข้างหนึ่งป้องกันไว้ได้อย่างมั่นคง แสงสีทองระเบิดกลางฝ่ามือของมือใหญ่ก่อนจะกลายเป็นทรายสีทองเป็นจุดๆ พร้อมกับสลายหายไปจากที่เดิม
“ไม่รังแกคนอ่อนแอตามใจ นี่เป็นหลักการของข้า!” จิ่งหงค่อยๆ เปลี่ยนทิศทาง มาขวางอยู่ด้านหน้าคนสวมอาภรณ์สีขาว
“น่าขำจริงๆ สองคนนี้กำลังทำอะไร คลื่นปราณจริงแท้เล็กจ้อยแค่นั้นยังแสร้งวางมาดอยู่ได้ สถานที่บ้านนอกแห่งนี้ช่างเหลวแหลกสิ้นดี ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อนหรือไง เสี่ยวฉินถ้าหากไม่ใช่เจ้าต้องมาหาคนของตระกูลอะไรนั้นที่นี่ให้ได้ พวกเราจะดั้นด้นมาไกลเป็นพันลี้ถึงที่นี่ไปทำไม” บุรุษสวมอาภรณ์สีขาวอายุน้อยคนหนึ่งกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“ลำบากพวกท่านแล้ว ครั้งนี้เดิมทีเป็นภารกิจส่วนตัวของข้า นึกไม่ถึงว่าหามาตั้งหลายวันยังหาไม่เจออีก ถ้าหากครั้งนี้ไม่เจอคลื่นนั้น พวกเราก็กลับกันเถอะ” หญิงสาวเอวบางงดงามคนหนึ่งในกลุ่มกล่าวอย่างจนปัญญา
“พอแล้วๆ พวกเราไปก่อนดีกว่า หากอยู่ที่นี่ต่อไปอาจจะ…” อยู่ๆ สตรีอ่อนโยนซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มคนอาภรณ์ขาวก็สีหน้าเปลี่ยนแปลง สายตาหยุดอยู่บนร่างลู่เซิ่งทันที
“คลื่น…เป็นคลื่นที่เข้มข้นมาก…สายเลือดนี้ ท่านเป็นผู้สันดาปหรือ?!” พวกเขาติดตามคลื่นสายเลือดมายังที่นี่ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าผู้มีคลื่นของผู้สันดาปจะเป็นบุรุษที่อายุเยอะแล้วอย่างลู่เซิ่ง
“ผู้สันดาปหรือ” จิ่งหงมองลู่เซิ่งด้วยความงุนงงสงสัยเช่นกัน “เจ้ามีสายเลือดของผู้สันดาปหรือนี่?!”
สตรีอ่อนโยนหยิบรูปปั้นผลึกสีแดงที่เหมือนกับหงส์ออกมาจากในอ้อมอก แล้วแกว่งเบาๆ ไปทางลู่เซิ่ง
ฟู่ว
เปลวไฟสีแดงอ่อนๆ ที่เล็กละเอียดกลุ่มหนึ่งพลันลุกไหม้บนบ่าซ้ายของลู่เซิ่ง ไฟนั้นค่อยๆ ขยายตัวและม้วนตัว ปรากฏรูปหงส์สีแดงที่กางปีกทำท่าจะบินอยู่ตรงกลางเปลวไฟ
แกว๊ก!
หงส์พลันส่งเสียงร้องเสนาะใส กำลังจะบินออกไปจากเปลวไฟ
หมับ!
มือใหญ่ข้างหนึ่งจับคอของหงส์เอาไว้ เสียงร้องหยุดลงกลางคัน
“ตัวอะไรกัน” ลู่เซิ่งจับเปลวเพลิงรูปหงส์เอาไว้ เขากำลังปล่อยแสงสีทองของแก่นหยางออกมาทั่วทั้งตัว อยู่ๆ มีสิ่งของที่มีสีสันน่าขยะแขยงกลุ่มหนึ่งผุดออกมาบนบ่าซ้าย แถมยังคิดจะออกไปจากบนร่างของเขาอีก สิ่งของที่เข้าไปในร่างเขาคิดจะหนีออกไปหรือ ฝันไปเถอะ
เขาจึงใช้มือกำเอาไว้ แล้วยัดกลับไปบนร่างโดยไม่เหลือบแล
เจ้าหงส์ดิ้นรนพลางส่งเสียงร้องโหยหวน หมายจะดิ้นให้หลุดจากมือของลู่เซิ่ง ทว่าไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย ผลสะกดของแก่นหยางกับความสามารถผนึกที่กายเนื้อของลู่เซิ่งมีต่อสายเลือดแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ
ดังนั้นแค่หงส์ฝืนยื่นหัวออกมาจากในแก่นหยางสีทอง ก็ถูกแสงสีทองที่เหมือนกับห้วงมหาสมุทรกลบกลืนอย่างรวดเร็ว
“พลังของสายเลือด…พลัง…ถึงกับ…ถึงกับ…!” สตรีอ่อนโยนกับคนสวมอาภรณ์ขาวกลุ่มนั้นรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ต่างผุดสีหน้าตกตะลึง
……………………………………….