ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 42 ล้อเล่นกับความรู้สึก (6)
เรือใหญ่จอดอยู่ในตำแหน่งที่ปกติมักเทียบท่า ทั้งสองติดตามอยู่ด้านหลังแขกเหรื่อหลายคนที่ขึ้นเรือเหมือนกัน ขึ้นไปบนดาดฟ้าเรืออย่างรวดเร็ว
“คุณชายซ่ง ไม่เจอกันหลายวัน ใบหน้าท่านแดงเรื่อขึ้นมากแล้ว” เถ้าแก่เนี้ยเรือเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “จวินเอ๋อร์กำลังแต่งหน้าแต่งตัวอยู่ ท่านจะนั่งฟังเพลงแก้อึดอัดก่อนหรือไม่ ทางเรามีนักร้องหญิงสองสามคนมาใหม่ พื้นฐานความชำนาญล้วนยอดเยี่ยม”
ซ่งเจิ้นกั๋วสีหน้าเคร่งขรึม ไม่มีใบหน้ายิ้มแย้มให้นาง
“ข้าอยากถามว่าสหายคนหนึ่งที่ข้าพามาคืนวันก่อน คุณชายที่ชื่อหวังจื่อเฉวียนผู้นั้น ฟังว่าภายหลังมาที่เรือสำราญอีกรอบ รบกวนท่านเรียกแม่นางที่เป็นเพื่อนเขาในคืนวันก่อนมา ข้ามีเรื่องสอบถาม” เขายัดเศษเงินสองสามตำลึงให้แก่เถ้าแก่เนี้ยเรือ
การให้อย่างนี้เท่ากลับโยนเงินทิ้งไปหลายพันหยวน ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลร่ำรวย ยังไม่กล้าใช้จ่ายมั่วซั่วเช่นนี้จริงๆ
“คนที่ท่านว่าคือเตี๋ยเอ๋อร์ อืม ข้าจะไปเรียกเตี๋ยเอ๋อร์มา คุณชายพักผ่อนรออยู่ที่ห้องด้านข้างก่อน” เถ้าแก่เนี้ยเรือเห็นซ่งเจิ้นกั๋วมีสีหน้าจริงจังก็ไม่กล้าเสียเวลา ในกลุ่มคุณชายเหล่านี้ แขกที่ใจกว้างเท่าซ่งเจิ้นกั๋วมีไม่มาก ลูกหลานขุนนางเหล่านั้นแม้มีฉากหลังใหญ่ เบื้องหลังแข็งแกร่ง แต่ลงมือยังไม่ใจป้ำเท่าซ่งเจิ้นกั๋ว
พวกลู่เซิ่งถูกชักนำไปถึงห้องห้องหนึ่ง พักผ่อนรอคอย ไม่ทันไรเตี๋ยเอ๋อร์ก็ถูกเรียกเข้ามา
เตี๋ยเอ๋อร์มองดูเหมือนอ่อนแอว่าง่าย น่าสงสาร สวมกระโปรงยาวเอวเล็กสีเขียวอ่อน มือถือขลุ่ยเลาหนึ่ง คล้ายกับเตรียมแสดงเป่าขลุ่ยให้แขกเหรื่อ เวลานี้ถูกเรียกมา มีสีหน้างุนงงเช่นกัน
“คุณชายซ่ง ขอเรียนถาม ท่านเรียกเตี๋ยเอ๋อร์มามีอะไรถามไถ่หรือ” นางถามขึ้นเบาๆ
“ข้าถามเจ้า เจ้าอาจทราบ ในคืนวันก่อน คุณชายหวังจื่อเฉวียนที่เจ้าเป็นเพื่อนผู้นั้นตอนนี้อยู่ที่ไหน” ซ่งเจิ้นกั๋วกล่าวเสียงทุ้ม
เตี๋ยเอ๋อร์ใบหน้าสับสน
“คุณชายหวังจื่อเฉวียนหรือ อ้อ… ข้านึกออกแล้ว ไม่ใช่กลับไปพร้อมกับพวกคุณชายท่านแล้วหรือ เตี๋ยเอ๋อร์ตอนนั้นเหนื่อยยิ่ง พอพวกคุณชายท่านไปก็ลงเรือกลับบ้านพักผ่อนแล้ว”
“กลับบ้านพักผ่อนแล้วหรือ” ซ่งเจิ้นกั๋วงงงวย
“ใช่แล้ว ตอนนั้นเตี๋ยเอ๋อร์รับแขกติดต่อกันสามครั้ง เหนื่อยแทบขาดใจ พอแสดงจบก็บอกกับเถ้าแก่เนี้ย ยังเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ลงเรือเร็วที่สุด” เตี๋ยเอ๋อร์ตอบเสียงเบา “เป็นไรแล้ว หรือว่าคุณชายจื่อเฉวียน… เกิดเรื่องอันใด” นางหวาดหวั่นกระวนกระวายอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งจ้องนางเขม็ง สองตาดุดัน แต่อย่างไรก็มองร่องรอยที่เตี๋ยเอ๋อร์โกหกไม่ออก
“ข้าถามเจ้า เรือของพวกเจ้าเลิกการค้าหลังจากพวกเราไปเลยหรือไม่”
เตี๋ยเอ๋อร์รีบพยักหน้า ถูกลู่เซิ่งจ้องจนหวาดหวั่นอยู่บ้าง
“ใช่แล้วๆ พอคุณชายทั้งสามท่านไป เถ้าแก่เนี้ยเรือก็เลิกการค้าแล้ว”
“เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง! หลังเลิกการค้าแล้ว เรือลำนี้ปกติแขวนโคมไฟแดงหรือไม่” ลู่เซิ่งถามอีก
“โคมไฟแดงหรือ” เตี๋ยเอ๋อร์งุนงงแล้ว “โคมไฟแดงอันใด ทุกๆ วันหลังปิดร้าน เรือของพวกเราล้วนแล่นเข้าอู่ใกล้ๆ เพื่อตรวจสอบซ่อมแซม ตอนตรวจสอบซ่อมแซมไม่อนุญาตให้จุดไฟตะเกียงบนเรือ ได้แต่ให้คนที่ซ่อมเรือจุดตะเกียง เมื่อวานก็เหมือนกัน”
“เข้าเทียบอู่หรือ ไม่ใช่จอดที่นี่หรือ” ลู่เซิ่งจิตใจสั่นสะท้าน
“ไม่ใช่ พวกเรามีแค่ตอนทำการค้าค่อยออกเรือมาก่อนเวลา ที่นี่บางครั้งลมคลื่นก็แรงมาก จอดไว้ที่นี่ไม่ใช่ถูกลมพัดไปได้ง่ายมากหรอกหรือ” เตี๋ยเอ๋อร์มองลู่เซิ่งอย่างแปลกประหลาด
ลู่เซิ่งบังเกิดความกังวลส่วนหนึ่งในใจเลือนลาง หวังจื่อเฉวียนเกรงว่าเหมือนกับเขา ขึ้นเรือสำราญที่แขวนโคมไฟแดงเต็มไปหมดลำนั้นแล้ว
“พี่ลู่…” ซ่งเจิ้นกั๋วยิ่งฟังยิ่งแปลกใจอยู่ด้านข้าง ไม่ทราบว่าลู่เซิ่งถามคำถามเหล่านี้มีความหมายอันใด สำหรับเขาแล้ว เรือโคมไฟแดงลำนั้นสมควรเป็นลู่เซิ่งขึ้นผิดลำแล้ว แต่ตอนนี้ยังอดทนฟังอยู่
“หรือทางพวกเจ้าไม่มีเรือใหญ่ที่แขวนโคมไฟแดงจนเต็ม และบนเรือไม่มีใครสักคนหรือ รูปแบบเหมือนเรือของพวกเจ้าไม่มีผิด” ลู่เซิ่งไม่ยินยอม ไต่ถามต่ออีก
เตี๋ยเอ๋อร์กะพริบตา
“คุณชายท่านนี้ ท่านได้ยินว่ามีเรือใหญ่ที่แขวนโคมไฟแดงเต็มไปหมดมาจากที่ไหน ท่านทราบหรือไม่ว่าทางพวกเรามีแค่ในสถานการณ์แบบไหน ถึงค่อยแขวนโคมไฟแดง
“มีแต่แม่นางบนเรือลาจากโลกไปแล้ว จึงค่อยแขวนโคมไฟแดงสามใบไว้ตรงประตูและด้านในห้องของนาง
“หนึ่งใบที่ประตู หมายถึงนำทาง สองใบอยู่ในห้อง หมายถึงเซ่นไหว้และสู่สุขติ”
ลู่เซิ่งได้ยิน พลันสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว
เขานึกถึงเรือสำราญที่ลี้ลับลำนั้น เรือที่ล้วนเป็นโคมไฟแดง ในห้องทุกห้อง หน้าห้องทุกห้อง ล้วนแขวนโคมไฟแดง!
วิธีการแขวนเป็นไปตามที่เตี๋ยเอ๋อร์พูด หน้าประตูแขวนหนึ่งใบ ในห้องแขวนสองใบ!
“โอย น่ากลัวจัง คุณชายท่านได้ยินเรื่องผีสางจากที่อื่น แล้วมาขู่ขวัญเตี๋ยเอ๋อร์กระมัง” เตี๋ยเอ๋อร์รู้สึกกลัวขึ้นมาบ้างเช่นกัน ขนลุกขนชันไปทั้งตัว
“เยวี่ยเซิง… เกรงว่าท่านไม่ได้ฝันไปจริงๆ แล้วกระมัง” ซ่งเจิ้นกั๋วมองลู่เซิ่งอย่างเป็นห่วงเล็กน้อย คำว่าเซิ่งของลู่เซิ่ง แบ่งคำว่าเซิ่งออกมา เขาจึงเรียกอีกฝ่ายว่าเยวี่ยเซิง
ตอนอยู่ที่เมืองเก้าประสาน ลู่เซิ่งใช้คำนี้น้อยยิ่ง ทุกคนที่อยู่ที่นั่นล้วนเรียกเขาว่าคุณชายเซิ่ง พี่เซิ่ง แต่ว่าออกมาเรียนที่นี่ การใช้คำบ่งบอกความใกล้ชิด และเป็นทางการกว่าเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร… ข้าก็เพียง…” ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย ยังคงไม่เล่าเรื่องที่ตนโดนลั่นดาลประตูในเรือแดง ต่อให้เล่าออกมา ซ่งเจิ้นกั๋วก็ไม่แน่ว่าจะเชื่อ ต่อให้เชื่อ ความจริงก็ไม่มีประโยชน์
“ในเมื่อจื่อเฉวียนไม่ได้มาเรือสำราญลำนี้ แล้วจะไปยังที่ใด” ซ่งเจิ้นกั๋วเอ่ยอย่างเป็นห่วง “นี่ใกล้จะถึงการทดสอบประจำปีแล้ว เกิดว่าทำผิดกฎสถานศึกษา ไม่ได้รับการรายงานชื่อ เช่นนั้นก็เป็นการทำลายอนาคตของตัวเองจริงๆ แล้ว!”
“ถ้าคุณชายทั้งสองท่านไม่มีเรื่องอันใด เตี๋ยเอ๋อร์จะไปบรรเลงเพลงขลุ่ยให้กับแขกแล้ว” เตี๋ยเอ๋อร์เอ่ยเสียงเบา
“ไม่มีแล้ว ขอบคุณเตี๋ยเอ๋อร์มาก นี่มอบแก่เจ้า” ซ่งเจิ้นกั๋วนำเศษเงินสองสามชิ้นออกมาให้นาง
เตี๋ยเอ๋อร์พลันยินดี นี่เป็นรายรับของตัวเองคนเดียวโดยแยกกับเรือสำราญ ใส่เศษเงินเข้าไปในถุงข้างเอวที่เป็นห่อใยบัวอย่างระวัง หมุนตัวเดินไปยังประตูอย่างแผ่วเบา เดินไปถึงครึ่งทาง นางพลันนึกอะไรได้ หันกลับมากล่าวว่า
“จริงด้วย คุณชายท่านนี้ เตี๋ยเอ๋อร์กลับได้ยินเรื่องผีสางเรื่องหนึ่ง เล่าลือกันระหว่างพวกแม่นางบนเรือ
“บอกว่าบนแม่น้ำไม้สนก่อนหน้านี้มีเรือแดงลำหนึ่งชื่อหอแดง ภายหลังเกิดเพลิงไหม้ แม่นางทุกคนบนเรือไม่เหลือสักคนเดียว ต่างหนีไม่รอด จากนั้นเรื่องเล่าของเรือแดงก็เล่าลือกันบนแม่น้ำไม้สนแห่งนี้… ว่ากันว่าเรือลำนั้นแขวนโคมไฟแดงไว้เต็มลำ คนที่ขึ้นเรือแดงไม่เคยมีใครลงมาได้สักคนเดียว”
ลู่เซิ่งกระตือรือร้นขึ้น รีบเรียกเตี๋ยเอ๋อร์
“แม่นางหยุดก่อน สามารถเล่าเรื่องเรือสำราญหอแดงนี้ให้พวกเราฟังได้หรือไม่”
“เอ่อ… เตี๋ยเอ๋อร์มาทำงานนี้ได้ไม่นาน ทราบไม่มาก แต่คุณชายซ่งไม่ใช่สนิทกับแม่นางจวินเอ๋อร์หรือ พี่จวินเอ๋อร์คิดถึงคุณชายซ่งทุกวัน นางอยู่บนเรือมานานมาก หากถามนาง นางสมควรทราบ” เตี๋ยเอ๋อร์บอกเสียงเบา
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า “เจ้าไปเถอะ”
เตี๋ยเอ๋อร์ออกจากห้องไป ลู่เซิ่งกับซ่งเจิ้นกั๋วล้วนไม่กล่าววาจา เพียงเงียบงัน ต่างฝ่ายต่างนึกถึงเรื่องของตัวเอง
สักพักหนึ่ง จวินเอ๋อร์ที่สวมกระโปรงสั้นสีขาวก็เดินเข้ามา พอเห็นซ่งเจิ้นกั๋ว ตางามพลันเปล่งประกาย
“คุณชายซ่ง!” ในดวงตานางปรากฏความผูกพันมากมายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“จวินเอ๋อร์!” ซ่งเจิ้นกั๋วเดินเข้าไปโอบจวินเอ๋อร์เบาๆ “ไม่เจอกันหลายวัน เจ้าสบายดีหรือ เงินที่ข้าให้หัวหน้าเรือมากพอ นอกจากข้า ไม่มีใครเลือกเจ้าได้”
จวินเอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ ใบหน้ามีความสุข “จวินเอ๋อร์ทราบว่าคุณชายดีกับจวินเอ๋อร์…”
“ข้ารอมาตลอด รอว่าเมื่อไหร่จวินเอ๋อร์จะให้ข้าไถ่ตัว” ซ่งเจิ้นกั๋วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เอาล่ะ ครั้งนี้ที่มาเพราะอยากถามถึงเรื่องของคุณชายหวังจื่อเฉวียนที่มากับพวกเราวันก่อน
จวินเอ๋อร์รู้ไหมว่าคุณชายหวังผู้นั้น ในคืนนั้นหลังจากพวกเรากลับไป ได้กลับมาบนเรือลำนี้อีกหรือไม่”
“คุณชายหวังจื่อเฉวียนหรือ” จวินเอ๋อร์ทบทวนครู่หนึ่ง “คืนนั้นดึกมากแล้ว คุณชายหวังผู้นั้นไม่ใช่ลงเรือพร้อมกับพวกท่านหรอกหรือ เขาจะกลับมาทำไม”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาไม่ได้กลับมา” ลู่เซิ่งสอบถาม
จวินเอ๋อร์พยักหน้า “แน่ใจ เป็นเพราะว่าในคืนนั้นข้าต่อเวลาชั่วคราว พอดึกมากแล้วจึงค่อยลงเรือ คำนวณดู เป็นเวลาหนึ่งก้านธูปหลังจากพวกคุณชายท่านกลับไปแล้ว”
“งั้นหรือ… นี่แปลกประหลาดแล้ว…” ลู่เซิ่งไตร่ตรอง
ซ่งเจิ้นกั๋วถามต่ออีกหลายประโยค จวินเอ๋อร์ตอบทีละข้อๆ ไม่แตกต่างกับสิ่งที่เตี๋ยเอ๋อร์พูด ทั้งสองคนไม่เจอเบาะแส จึงลงจากเรือภายใต้ความจนปัญญา
“แผนการในวันนี้เกรงว่าได้แต่แจ้งทางการแล้ว” ซ่งเจิ้นกั๋วถอนใจกล่าว
ลู่เซิ่งส่ายหน้า “กลัวแต่ว่าแจ้งทางการก็ไม่มีประโยชน์…”
ซ่งเจิ้นกั๋วมองหน้าลู่เซิ่งแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจสาเหตุ
“พี่ซ่งท่านกลับไปก่อนเถอะ วันนี้ถึงตรงนี้ ท้องฟ้ามืดแล้ว” ลู่เซิ่งเตือน “พรุ่งนี้ยังต้องเข้าร่วมการทดสอบย่อยอีก”
“งั้นก็ได้ ข้ากลับก่อน เยวี่ยเซิงท่านมีเบาะแสอันใดแล้วจะต้องบอกข้าด้วย” ซ่งเจิ้นกั๋วถอนใจอีกครั้ง แยกกับลู่เซิ่ง
มองซ่งเจิ้นกั๋วขึ้นรถม้า ค่อยๆ ห่างออกไป นึกถึงตอนที่สนทนากับเตี๋ยเอ๋อร์และจวินเอ๋อร์ การตอบโต้ของอีกฝ่ายล้วนไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย
‘ดูเหมือนพวกนางไม่ได้โกหก แต่ถ้าหากเรือแดงลำนั้นไม่ใช่ลำที่พวกเรานั่งก่อนหน้า แล้วถุงเงินของเราตกไปอยู่ด้านบนได้ยังไง’ ลู่เซิ่งสงสัย
เขาสังหรณ์ว่าตัวเองถูกม้วนเข้ามาอยู่ในความยุ่งยากใหม่แล้ว
…
ซ่งเจิ้นกั๋วนั่งในรถม้า ถอนหายใจสั้นยาว
เขาเป็นคนให้ความสำคัญกับน้ำใจ หวังจื่อเฉวียนเกิดเรื่องหลังจากอยู่กับเขา จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราว ไม่ว่าอย่างไร เขาต้องมอบคำว่ากล่าวให้กับตระกูลหวัง
ยิ่งไปกว่านั้น จื่อเฉวียนก็เป็นพี่น้อง เป็นสหายสนิทกับเขา บอกไม่เจอก็ไม่เจอแล้วหรือ คนเป็นๆ ตัวโตแบบนี้จะหายไปแถวแม่น้ำไม้สนได้อย่างไร
‘หรือว่าจะ…’ เขาพลันนึกถึงความเป็นไปได้หนึ่ง ‘หรือว่าจะก้าวพลาดพลัดตกน้ำ!’ พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็หนาวสั่นไปทั้งร่าง
‘ไม่ได้! อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ! จื่อเฉวียนเป็นเราพาไป ถ้าหากเกิดเรื่องจริงๆ ก็เป็นความรับผิดชอบของเราซ่งเจิ้นกั๋ว!’ ซ่งเจิ้นกั๋วจิตใจพลันแน่วแน่ สงบสติ ‘ถ้าจื่อเฉวียนเกิดเรื่องจริงๆ เราจะไปแจ้งทางการ!’
เขาตัดสินใจแล้ว
‘แต่แบบนี้ จวินเอ๋อร์จะทำอย่างไร’ เขานึกอีกที คิดถึงจวินเอ๋อร์ที่ตนรักถนอม เดือนเดียวเขาใช้จ่ายตั๋วเงินกับเรื่องนี้ไปมากกว่าพันตำลึง ก็เพื่อปกป้องจวินเอ๋อร์อย่างสมบูรณ์ ไม่ให้คนอื่นเลือกนาง เพื่อเรื่องนี้ บิดาเฒ่าในตระกูลทะเลาะกับเขาไม่ต่ำกว่าสิบรอบ
พอคิดถึงเรื่องนี้ ซ่งเจิ้นกั๋วก็ปวดหัวขึ้นมาอีก
พอถึงบ้านแล้ว เขาลงจากรถจ่ายเงิน เข้าไปในลานบ้าน เดินผ่านไปยังห้องของตัวเอง ไม่อยากจะเจอใครในบ้านชั่วขณะ
ข้ารับใช้หลายคนมองเห็นเขา ขณะกำลังจะทักทายถามไถ่ พริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงาเขาแล้ว
………………………………………….