ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 421 แลกเปลี่ยน (1)
บทที่ 421 แลกเปลี่ยน (1)
ไฟสีเหลืองอมแดงเผาไหม้ป่า ต้นเฟิงสีแดงเพลิงกลุ่มใหญ่ถูกไฟลามเลีย ใบเฟิงเหมือนกับถูกเผาจนแดงฉาน กระแสอากาศกับคลื่นความร้อนลอยฉวัดเฉวียนไปทั่วพร้อมกับการระเบิด
ต่อจากใบเฟิงยังมีสะเก็ดไฟ
“สลักพันฤทธิ์!? สลักพันฤทธิ์เล่า!?” ลู่เซิ่งตะโกนพลางยกฝ่ามือ จิตสังหารอันน่ากลัวกระเพื่อมในดวงตาเป็นระลอก!
เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่เพราะหนึ่งในผู้ใช้วิชาชั่วร้ายสองคนนั้นไม่ได้ใช้สลักพันฤทธิ์พันธนาการสวีฉีไว้ ตอนนี้แผนการทั้งหมดคงจะสำเร็จไปแล้ว เขาจะได้รับอาวุธเทพมาอย่างน้อยสองชิ้น ไม่สิ สามชิ้น!
มอบหนึ่งเล่มให้เบื้องบน จากนั้นก็ดูดกลืนพลังอาวรณ์ของอาวุธเทพสองเล่ม และเป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าบรรทัดสันดาปฟ้าจะเป็นระดับเทวปัญญาด้วย!
นั่นคือระดับเทวปัญญาเชียวนะ! เขาอยากได้อาวุธเทพระดับเทวปัญญาจนน้ำลายสอมานาน ตอนนี้มีโอกาสที่ใกล้เคียงแบบนี้แล้ว กลับพลาดไปอย่างน่าเสียดาย
ไม่นานในป่ากลางทะเลเพลิงก็มีเงาคนสีขาวเทาสายหนึ่งค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น เป็นบุรุษผอมสูงที่พันผ้าพันแผลสีขาวไว้ทั้งตัว ผ้าพันแผลทั่วตัวเขามีหลายชั้น ดูเหมือนแน่นหนา ทว่าความจริงร่างกายอยู่ในสภาพกึ่งโปร่งแสง เหมือนจะกลับคืนสู่โลกแห่งความเจ็บปวดได้ตลอดเวลา
คนผู้นี้คือหนึ่งในผู้ใช้วิชาชั่วร้ายสองคนที่มาปฏิบัติภารกิจ
“ข้าลงมือตามแผนที่วางไว้แล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า” คนผู้นี้กล่าวอย่างเย็นชา
ลู่เซิ่งหันไปจ้องมองคนผู้นี้ด้วยสายตาเย็นชา
“เป็นแค่ความผิดพลาดเล็กๆ เท่านั้น” เวลานี้เงาคนขาวเทาอีกสายหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นอีกฝั่ง “เจอคู่แค้นคนหนึ่งเมื่อก่อนหน้าเข้ากลางทางพอดี เหอะๆ…ก็เลยเผลอเสียเวลาไปนิดหน่อย”
“เผลอหรือ?! เหตุใดจึงไม่ลงมือตามเวลาที่วางแผนไว้” ลู่เซิ่งเลื่อนสายตาไปอยู่บนร่างคนผู้นี้พลางกล่าวเสียงเฉียบขาด
“เจ้ากำลังสั่งสอนข้าหรือ” คนผู้นี้หัวเราะเสียงเย็น “เจ้านับเป็นตัวอะไร กล้ามาชี้นิ้ววาดเท้าต่อหน้าพวกเราพี่น้องหรือ พวกเรามุ่งหน้ามาทำภารกิจ ต่างก็อยู่ในระดับเดียวกัน จัดการเรื่องของใครของมันไปก็พอ เจ้าอย่ามาก้าวก่ายพวกเรา พวกเราก็จะไม่ก้าวก่ายเจ้าเช่นกัน!” น้ำเสียงเขาดุดันขึ้น
ลู่เซิ่งสีหน้าเย็นเยียบ
“คิดว่าตัวเองเป็น…” เงาคนขาวเทากำลังจะเอ่ยเยาะเย้ย
ฟิ้ว
ลู่เซิ่งพุ่งไปด้านหน้าดุจสายฟ้าฟาด แล้วแทงฝ่ามือสีทองทะลุทรวงอกของเงาคนขาวเทาไปโดยตรง
“!!”
“เจ้า!?”
เงาคนขาวเทาทั้งสองสายต่างแตกตื่น
พวกลู่เซิ่งถอยหลังด้วยความเร็วสูง สีหน้าของคนมัดผ้าพันแผลสีขาวเทาผู้นั้นงงงันถึงขั้นตกตะลึง เขาไม่กล้าเชื่อว่าลู่เซิ่งจะกล้าลงมือกับเขา
ฝ่ามือที่เปล่งแสงสีทองของลู่เซิ่งปล่อยแก่นหยางที่เหมือนกับสายน้ำสีทองออกมาหลายสาย แล้วกัดกร่อนร่างกายชั่วคราวของผู้ใช้วิชาชั่วร้ายอย่างบ้าคลั่ง
แม้แก่นหยางจะปลอมแปลงเป็นสีทอง ทว่าความจริงแล้วธรรมชาติของมันเป็นเปลวไฟที่เปลี่ยนมาจากไฟหยิน ลู่เซิ่งตั้งชื่อไฟชนิดนี้ว่าอัคคีอนธการ มันมีผลทำลายล้างอย่างมหาศาลต่อจิตวิญญาณ
กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏในโลกใบนี้มาก่อน เป็นไฟประหลาดที่ลู่เซิ่งฝืนยกระดับและเรียนรู้โดยใช้การควบคุมดีปบลู
“เจ้า!? ปล่อยเขาซะ!” อีกคนหนึ่งตกใจระคนโมโห ยื่นมือออกมาสร้างฝ่ามือสีเทาข้างหนึ่งก่อนจะคว้าใส่ลู่เซิ่ง
กลับถูกลู่เซิ่งพลิกมือต่อยใส่
เปรี้ยง!
ควันสีเทากระจัดกระจาย ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายที่ลงมือโซเซถอยหลัง ได้แต่มองดูพวกลู่เซิ่งพุ่งตะลุยฝ่าไปยังส่วนลึกของป่าเฟิงเหมือนกับช้างป่าตกมัน
ตูม!
ลู่เซิ่งแทงมือทะลุทรวงอกผู้ใช้วิชาชั่วร้าย พร้อมกับดันอีกฝ่ายกระแทกกับผาหิน อีกมือหนึ่งจิกผมอีกฝ่าย แล้วทุบกับผาหินอย่างหนักหน่วง
เปรี้ยง!
ผาหินยุบเป็นหลุมที่ไม่ทราบว่าลึกขนาดไหน
เสียงเปรี้ยงดังขึ้น หน้าผากว้างสิบกว่าหมี่ที่อยู่รอบๆ หลุดออกจากภูเขา ก้อนหินยักษ์ตกตามแรงโน้มถ่วงลงมาโดนทั้งคู่ ทว่าก็ถูกสนามพลังบิดเบี้ยวที่ไร้รูปร่างกันเอาไว้ทันที
เศษหินก้อนใหญ่จำนวนมากตกลงมาดุจห่าฝน ลู่เซิ่งจิกผมผู้ใช้วิชาชั่วร้ายเอาไว้ ศีรษะของอีกฝ่ายเกือบจะแหลกเละแล้ว ตาและจมูกมีเลือดไหลออกมาหลายสาย
ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ลู่เซิ่งคิดจะฆ่าเขาจริงๆ จิตสังหารที่เปลือยเปล่าและไม่มีการอำพรางแม้แต่น้อยนั้นจ่ออยู่ที่ปลายจมูกเหมือนกับปลายดาบ
“ปล่อย…ปล่อยข้าเถอะ…” เขากลัวแล้ว…เขาเป็นผู้ใช้วิชาชั่วร้าย เป็นผู้ใช้วิชาชั่วร้ายที่เกิดในท้องถิ่น มีพลังโดยกำเนิดแข็งแกร่งสุดเปรียบปาน ทั้งยังผ่านการฝึกหนักจนประสบความสำเร็จอย่างยากลำบาก เขายังหนุ่ม ไม่อยากตายอยู่ที่นี่
“ไม่มีครั้งหน้าแล้ว” ลู่เซิ่งจิกผมของเขาแล้วฟาดลงด้านล่างอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
ตูม!
แสงสีทองกะพริบบนพื้น หลุมอุกกาบาตกว้างสิบกว่าหมี่ระเบิดขึ้น ผนังด้านในหลุมแดงก่ำ พร้อมจะละลายกลายเป็นหินหนืดตลอดเวลา
ปล่อยศีรษะผู้ใช้วิชาชั่วร้าย ลู่เซิ่งลุกขึ้นพร้อมกับสะกิดเท้ากระโดดออกมา เห็นผู้ใช้วิชาชั่วร้ายอีกคนที่กำลังไล่ตามมาเข้าพอดี
เขากวาดตามองไป คนผู้นั้นหดตัวเล็กน้อย
แม้จะเป็นอริยะเจ้าเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับอริยะเจ้าของต้าอินแล้ว อริยะเจ้าอย่างผู้ใช้วิชาชั่วร้ายอ่อนแอกว่ามาก เพราะไม่มีพลังป้องกันกับการฟื้นฟูที่แข็งแกร่ง มีเพียงแค่จิตวิญญาณระดับอริยะเจ้าเท่านั้น และต่อให้จิตวิญญาณจะแข็งแกร่งอย่างไร เมื่อไม่มีการโจมตีทางจิตวิญญาณโดยตรง ก็ได้แต่อาศัยกายเนื้อส่งถ่ายไป
ด้วยกายเนื้อที่อ่อนแอของพวกเขา ต่อให้จะระเบิดพลังทั้งหมด ก็แค่แข็งแกร่งกว่าผู้ถืออาวุธเท่านั้น แม้แต่จะเอาชนะอริยะเจ้าทั่วไปก็ยังทำไม่ได้
นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมจะต้องใช้คนถึงสามคนในการรับมือสวีฉี
เหตุผลไม่ได้มีแค่ดาบสดับฟ้าถนัดการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเท่านั้น อีกเหตุผลหนึ่งก็คือแม้ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายจะเป็นอริยะเจ้า แต่ก็อ่อนแอกว่าอริยะเจ้าธรรมดาโดยกำเนิด
แค่นเสียงคำหนึ่ง ลู่เซิ่งหมุนตัวพุ่งไป ที่เขาไม่ลงมือสังหารก็แค่ไม่อยากจะฉีกหน้าสือจื้อซิงก็เท่านั้น ไม่อย่างนั้นแค่ผู้ใช้วิชาชั่วร้ายธรรมดาสองคน กล้ามาชักสีหน้าต่อหน้าเขา หากเปลี่ยนเป็นเขายามปกติ คงจะบีบมันทั้งสองให้ตายคามือไปแล้ว
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ลู่เซิ่งก็ขวางทางคนสวมอาภรณ์ขาวที่กำลังจะหนีอย่างรวดเร็วที่อีกด้านของป่าเฟิง
“หยุด!” หยวนกวงย่วนหยุดฝีเท้าลงพร้อมกับยกมือขึ้น เพื่อบอกให้สหายที่กำลังพุ่งอยู่ด้านข้างหยุดเคลื่อนไหว
อัคคีพวยพุ่งสู่ฟ้า แสงไฟสีแดงก่ำสาดส่องร่างคนทั้งหกที่อยู่รอบๆ จนกลายเป็นสีแดงฉาน ชุดสีขาวในตอนแรกเหมือนกับถูกย้อมด้วยสีย้อมชั้นหนึ่ง
หกคนที่อยู่รอบๆ ล้วนเป็นคนของตระกูลใหญ่ในราชธานีอินตู ครั้งนี้รับภารกิจเดินทางมา ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้
ทว่าเนื่องจากการอบรมอันดีของตระกูลใหญ่ หยวนกวงย่วนที่เป็นผู้นำจึงเดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว เพื่อเผชิญกับลู่เซิ่งที่อยู่อีกด้านโดยตรง
“ข้าน้อยหยวนกวงย่วน เป็นคนจากตระกูลหลักในราชธานีอินตู ครั้งนี้ที่มาก็เพื่อตามหาคนในตระกูลที่กระจัดกระจายอยู่ด้านนอกให้ตระกูลหลัก บนร่างใต้เท้ามีเลือดแห่งการสันดาปเช่นกัน…”
นางยังไม่พูดไม่จบก็ถูกลู่เซิ่งตัดบท
“ตระกูลหยวนกวง…ในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้รับความเสียหายใหญ่หลวงมากไม่ใช่หรือ” ลู่เซิ่งถาม
หยวนกวงย่วนสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย “ถูกแล้ว ตอนนี้ประมุขตระกูลมีคำสั่งให้ส่งคนในตระกูลออกตามหาผู้สันดาปอย่างน้อยหนึ่งคนกลับไป…ยิ่งพาคนในตระกูลกลับไปได้เท่าไหร่ การประเมินก็ยิ่งสูงเท่านั้น”
“จะได้รับอะไร” ลู่เซิ่งถาม
“คนในตระกูลที่กลับไปจะได้รับการดูแลจากคนในตระกูลหลักทุกคน ตั้งแต่ระดับพันธนาการถึงระดับปฐพีกำเนิดจะได้รับทรัพยากรสำหรับเลื่อนระดับทั้งหมดโดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้จะมีการแจกชิ้นส่วนอาวุธเทพหนึ่งครั้งทุกๆ ครึ่งปี โอสถพิเศษหนึ่งชุดที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อได้ รวมถึง…”
“แค่นี้หรือ” ลู่เซิ่งตัดบทนางอีกครั้ง
สำหรับศิษย์ระดับต่ำ เงื่อนไขเหล่านี้ถือว่าไม่เลวมากจริงๆ อุดมสมบูรณ์ยิ่ง ทว่าสำหรับคนในตระกูลที่เหนือกว่าระดับปฐพีกำเนิดขึ้นไป ถือว่าธรรมดาๆ เท่านั้น
“เอ่อ…คนในตระกูลที่อยู่เหนือระดับปฐพีกำเนิด…จะแจกอาวุธเทพใบไม้ทองคำหนึ่งชิ้นให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย…นอกนั้น นอกจากนั้น…ข้าไม่ทราบแล้ว…แต่ที่เรียกทุกคนในตระกูลกลับไปก็เพื่อคัดเลือกผู้สืบทอดให้แก่กระบี่อริยะสนธยา!” แม้หยวนกวงย่วนจะเป็นผู้ใหญ่อย่างไร แต่ก็เป็นแค่คนรุ่นหลังในตระกูลที่ยังหนุ่มสาว แถมพลังก็ไม่ได้ถึงขั้นปฐพีกำเนิด ย่อมไม่ได้รู้เรื่องกฎการเชิญชวนในระดับสูงกว่า
เดิมทีการชักชวนของระดับที่สูงกว่าจะมียอดฝีมือของตระกูลหยวนกวงลงมือเองเป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่านางจะเจอลู่เซิ่งที่ออกมาตรวจสอบคดีโดยบังเอิญเข้าพอดี
ลู่เซิ่งไม่ได้มีอคติกับตระกูลหยวนกวง อีกทั้งยังเคยได้ยินถึงกระบี่อริยะสนธยาซึ่งเป็นหนึ่งในสองอาวุธเทพคุ้มครองตระกูลของตระกูลหยวนกวงมาก่อน
อาวุธเทพชิ้นนี้ถือเป็นหนึ่งในสมาชิกที่เก่าแก่ที่สุดของอาวุธเทพศัสตรามาร ไม่อาจบรรยายถึงความน่ากลัวของพลังได้ มันสามารถยกระดับคนที่ตนเองยอมรับถึงระดับอริยะเจ้าได้ มิหนำซ้ำยังเป็นตำแหน่งอริยะเจ้าระดับสูงสุดด้วย อาวุธเทพเช่นนี้…ไม่ใช่สิ่งที่เขาในตอนนี้จะหาเรื่องได้
เขาไม่คิดจะข้องแวะกับตระกูลหยวนกวงเช่นกัน เพียงแต่วันนี้ถูกคนกลุ่มนี้พบเรื่องที่เขาขวางทางสังหารจิ่งหงโดยบังเอิญ
เช่นนั้นจะจัดการอย่างไร จำเป็นต้องขบคิดให้ละเอียด
“พวกเจ้าล้วนเป็นคนของตระกูลหยวนกวงหรือ” ลู่เซิ่งกวาดตามองคนทั้งหกตรงหน้า
“มีแค่สามคนที่ใช่ ข้าคือหนึ่งในนั้น” หยวนกวงย่วนชี้ตนเอง หยวนกวงฉินผู้เป็นน้องสาว รวมถึงหยวนกวงสุ่น “ที่เหลือแบ่งเป็นศิษย์น้องจากสำค่ายพรรคในราชธานีอินตูของพวกเรา พวกเขาบ้างเป็นคนของตระกูลมู่ บ้างเป็นคนของตระกูลจิ่ง…”
“พอแล้ว พวกเจ้าไปเถอะ” ลู่เซิ่งครุ่นคิด ก่อนจะปล่อยแก่นหยางที่รวมตัวในมือไป มีคนเกี่ยวพันมากไปบ้าง ถ้าหากคนน้อยยังพอว่า แต่ว่าคนจากสามตระกูลใหญ่ล้วนอยู่ที่นี่ ถ้าหากเกิดเรื่องทุกคน เช่นนั้นจะลำบากอย่างแท้จริงแล้ว
เขาไม่กลัวเกิดเรื่อง แต่ก็ไม่อยากจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนเช่นกัน การไล่ล่าจิ่งหงอย่างมากสุดก็ล่วงเกินคนส่วนหนึ่งจากตระกูลจิ่งเท่านั้น แต่ถ้าฆ่าคนในเวลานี้ เช่นนั้นจะล่วงเกินทั้งสามตระกูลใหญ่แล้ว
“อย่างนั้น…เรียนถามว่าผู้อาวุโสจะกลับตระกูลหลักหรือไม่” หยวนกวงย่วนลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังกัดฟันส่งเสียงถาม
แม้นางจะมีชาติกำเนิดไม่เลว ทว่าก็มีพี่สาวสองคนกับพี่ชายหนึ่งคนคอยกดศีรษะอยู่ ถ้าหากอยากจะยกตำแหน่งของตัวเอง จะต้องสร้างผลงานด้านนอก จนเข้าตาผู้อาวุโสจัดการเรื่องราวระดับบน
และถ้าหากเชิญชวนคนในตระกูลระดับผู้ถืออาวุธกลับไปจากที่นี่ได้ อย่างนั้นตำแหน่งและสถานะของนางในตระกูลจะได้รับการยกระดับอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน
คนตรงหน้านี้จะต้องเป็นผู้ถืออาวุธอย่างแน่นอน นอกจากนั้นยังเป็นผู้ถืออาวุธระดับสูงสุดเสียด้วย ต่อให้เป็นสามตระกูลใหญ่ ยอดฝีมือเช่นนี้ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นบุคคลร้ายกาจที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญ อีกทั้งความสามารถและขุมกำลังล้วนแข็งแกร่งเหลือล้น
ถ้าหากชักชวนสำเร็จ นางที่เป็นผู้ชักชวนจะมีวาสนาดีรออยู่แน่นอน
“ไม่ ข้าไม่ได้มีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันกับตระกูลหยวนกวง กลับหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
เขาใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็เอ่ยเสียงขรึมอย่างช้าๆ ว่า “แต่ว่า ราชธานีอินตู…ข้าจะไปเยี่ยมในไม่ช้าก็เร็ว ผู้อาวุโสสายตรงของเจ้าเป็นใคร มีผู้ถืออาวุธหรือไม่” เขาค่อนข้างชื่นชมในตัวหญิงสาวที่แข็งในอ่อนนอกผู้นี้ สามารถพูดจาอย่างฉะฉานต่อหน้าเขาได้ แถมยังกล้าเอ่ยถามหลังเขาปฏิเสธคำเชิญไปแล้วได้อีก จิตใจและความตั้งใจเช่นนี้แข็งแกร่งมาก
พอมองดูห้าคนที่เหลือ แม้แต่ศิษย์พี่ย่วนที่อายุมากที่สุดก็ยังผุดสีหน้าเคร่งเครียด หน้าผากมีเหงื่อไหล กล้ามเนื้อและผิวหนังทั่วร่างเกร็งเขม็ง ลมหายใจกระสับกระส่าย ยิ่งอย่าว่าแต่พูดคุยตามปกติ
คนอื่นๆ ต่างก็เคร่งเครียดจนหัวสมองขาวโพลน นี่ไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาเท่านั้น แต่เป็นเพราะพลังในปัจจุบันของลู่เซิ่งแข็งแกร่งมาก หลังเก็บมารหยินจำนวนมากในวิถีแปดมารโชติช่วงกลับมา ก็ปลดปล่อยแรงกดดันจิตใจต่อสิ่งมีชีวิตระดับต่ำออกมาตามธรรมชาติ
เดิมทีร่างของอริยะเจ้าจะไม่มีการข่มขวัญเช่นนี้ ทว่าเมื่อบวกกับการที่เขามีมารหยินซึ่งส่งผลต่อจิตใจได้ตัวหนึ่ง จึงมีความแตกต่างออกไป
……………………………………….