ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 425 ล่าสังหาร (1)
บทที่ 425 ล่าสังหาร (1)
เปรี้ยง!
ทั้งสองปะทะกันโดยตรงกลางอากาศ สองกรงเล็บของลู่เซิ่งซึ่งห่อหุ้มด้วยอัคคีอนธการจำนวนมาก กำลังเผาไหม้สายฟ้าของสวีฉีอย่างบ้าคลั่ง
กระนั้นไม่ทราบว่าสายฟ้าบนร่างเขาเป็นของระดับไหน ถึงกับเหนือกว่าอัคคีอนธการขั้นหนึ่ง! ทั้งยังปล่อยกลิ่นอายอันขัดแย้งกันระหว่างความคลุ้มคลั่งกับความเย็นเยียบออกมา และถึงกับต้านทานอัคคีอนธการไว้ได้ แถมยังเหลือพลังโต้กลับอีกต่างหาก
“ตาย!”
แทบจะพร้อมกัน ทั้งสองเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่ง ใช้ความสามารถในการโจมตีทั้งหมดใส่อีกฝ่ายอย่างสุดกำลัง
เสียงระเบิดกึกก้องดังขึ้นกลางอากาศติดต่อกันเหมือนกับลูกระเบิด เปลวไฟสีดำกับสายฟ้าสีม่วงอมน้ำเงินเกี่ยวกระหวัดและทำลายกันและกัน โดยที่พวกมันปะทะกันและหักล้างกันอย่างบ้าคลั่งเหมือนกัน
ลู่เซิ่งมาเพื่อทดลองพลัง ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ลืมเรื่องนี้ ถ้าหากว่าสวีฉีอ่อนแอเกินไป กลับจะทำให้เขาไม่สาแก่ใจ
“ตอนนี้เป็นแบบนี้สิถึงดี!”
เหนือซากปรักหักพัง สวีฉีกับลู่เซิ่งกลายเป็นลำแสงสีดำและน้ำเงิน พร้อมกับปะทะ เกี่ยวกระหวัด รวมถึงเข่นฆ่ากันอย่างคลุ้มคลั่ง
หนามทั่วร่างสวีฉีสามารถสะท้อนพละกำลังส่วนใหญ่ของลู่เซิ่งได้ อีกทั้งตัวเขาเองยังมีความเร็วน่ากลัวสุดขีด แถมหอกเทพยังอัศจรรย์พันลึก ยามโจมตีเหมือนกับห่าฝนพายุคลั่ง หรือเหมือนกับปรอทที่ซึมลงพื้น ยามป้องกันหนาแน่นไม่ให้หยดน้ำรั่วซึม เหมือนกำแพงทองแดงผนังเหล็กกล้า
ทักษะวรยุทธ์ของเขาก็ไปถึงระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดแล้ว
พึงทราบว่านอกจากกฎเกณฑ์หลักอันเป็นความสามารถแต่ละอย่างแล้ว สิ่งที่ตัดสินแพ้ชนะในการต่อสู้อย่างแท้จริงคือทักษะวรยุทธ์ของตัวเอง
ทักษะวรยุทธ์ก็คือทักษะการต่อสู้นั่นเอง จากทักษะหยาบในตอนแรก สู่การปรับทุกการเคลื่อนไหวให้กลับสู่แก่นแท้ในตอนสุดท้าย และหลอมรวมการเข่นฆ่าเข้ากับสัญชาตญาณจนกลายเป็นการตอบสนองแบบมีเงื่อนไข กระบวนการนี้เป็นการยกระดับจากยอดฝีมือธรรมดาไปสู่ขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสุดยอดอย่างช้าๆ
ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกใด สิ่งมีชีวิตชนิดใด ความสามารถอะไร หากตัดกฎเกณฑ์หลักอันเป็นความสามารถพิเศษออกไป พวกซูเปอร์พาวเวอร์ หรือไม้ตายที่กลัว อย่างมากก็เป็นแค่ตัวสนับสนุน สิ่งที่ใช้ลงมืออย่างเป็นทางการในการต่อสู้ยังคงเป็นทักษะวรยุทธ์
ทักษะวรยุทธ์ของลู่เซิ่งก้าวขึ้นมาจากมรรคายุทธ์ทีละก้าวๆ และสำเร็จใกล้เคียงกับระดับปรมาจารย์ ทว่าสวีฉีนั้น การเคลื่อนไหวทุกอย่างสามารถควบคุมตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นทักษะวรยุทธ์ระดับปรมาจารย์ของแท้
ด้วยสภาพการณ์เดียวกัน ด้วยแก่นจริงแท้ขอบเขตเดียวกัน นี่จึงเป็นสาเหตุจริงๆ ที่ลู่เซิ่งถูกเอาชนะซึ่งหน้า
ในเมื่อสู้ในสภาพการณ์เดียวกันไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องโกงเอา ลู่เซิ่งก็เลยใช้สภาพหยางโชติช่วง ซึ่งเป็นสภาพที่สามของตัวเองอย่างเด็ดขาด
กายเนื้อของสภาพหยางโชติช่วงมีขนาดใหญ่ยักษ์มหึมา หากเปลี่ยนร่างโดยสมบูรณ์จริงๆ ความเร็วกลับจะลดลง เมื่อเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ที่ว่องไวสุดขีดระดับสวีฉี รังแต่จะตกเป็นรอง
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงได้แต่เลือกลอบโจมตีอย่างกะทันหันและใช้ประโยชน์จากสถานการณ์
อย่างเช่นตอนนี้
ฟ้าว!
ลู่เซิ่งหลบพ้นหอกเทพที่มีสายฟ้าสีน้ำเงินหุ้มอยู่ จากนั้นก็ใช้มือขวาที่ถือดาบฟันไปด้านหน้า พร้อมกับยกมือซ้ายขึ้นด้วยความเร็วสูง
สวบ สวบ สวบ สวบ สวบ!
ชั่วพริบตานั้นห้านิ้วในมือซ้ายกลายเป็นหนามแหลมสีดำสนิท ยืดเหยียดด้วยความเร็วอันยากจินตนาการ แล้วปักใส่เอวของสวีฉี
ติ๊งๆๆ
ท่ามกลางเสียงติงตัง สวีฉีสีหน้าซีดขาว กฎเกณฑ์หลักตรงหว่างเอวเกือบถูกแทงทะลุ
เขาจำเป็นต้องดึงหอกเทพกลับมาป้องกัน เพื่อปัดหนามแหลมสี่เล่มออกไป
ในสภาพหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง ความเร็ว พละกำลัง และพลังระเบิดของลู่เซิ่งได้รับการยกระดับอย่างใหญ่หลวง ถึงขั้นที่เป็นหลายเท่าของร่างหลัก
ขนาดมาถึงระดับของพวกเขาแล้ว ยังเพิ่มระดับได้มากขนาดนี้อีก เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อจริงๆ
สวีฉีรับมือไม่ทัน เพราะไม่ชินกับวิธีการต่อสู้ใหม่ทั้งหมด พลันเสียท่าครั้งใหญ่
ต่อให้มีทักษะระดับปรมาจารย์ แต่ถ้าปรมาจารย์คนหนึ่งมีมือสองข้าง ส่วนปรมาจารย์อีกคนมีมือสามข้าง อย่างนั้นในขอบเขตปรมาจารย์ที่ควบคุมการต่อสู้โดยสัญชาตญาณได้อย่างสมบูรณ์แบบเหมือนกัน คนที่มีสามมือจะแข็งแกร่งกว่ามาก เพราะอย่างไรก็มีการโจมตีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งจุด
ปรมาจารย์เป็นเพียงแค่ขอบเขตสูงสุดที่ควบคุมตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ และหลอมรวมการต่อสู้ฆ่าฟันเข้ากับสัญชาตญาณเท่านั้น ทว่าถ้าหากโครงสร้างร่างกายของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างมหาศาล ขอบเขตจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็จนปัญญา
อย่างเช่นตอนนี้
ขอบเขตของลู่เซิ่งไม่ใช่ปรมาจารย์ แต่เนื่องจากการสั่งสมมรรคายุทธ์ไว้เป็นจำนวนมาก อย่างมากสุดก็ใกล้เคียงกับปรมาจารย์ ทว่าภายใต้การเสริมพลังจากปัจจัยทางร่างกายอันน่ากลัวในตอนนี้ของเขา สวีฉีสามารถทนได้บ้างในตอนแรก แต่ยิ่งผ่านไปเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งต้านรับไม่ไหวเท่านั้น
หอกเทพค่อยๆ ป้องกันมากกว่าโจมตี นิ้วมือกลายเป็นหนามแหลม แถมยังมีหนามขนาดยักษ์เพิ่มมาแท่งหนึ่ง ถึงขั้นที่บนศีรษะยังมีเขาไว้ใช้พุ่งชน
การโจมตีของลู่เซิ่งมีมากกว่าเขาเกินไป
สู้กันอีกหลายสิบกระบวนท่า ในที่สุดสวีฉีก็ทนไม่ไหว ถูกลู่เซิ่งฟาดฝ่ามือใส่ส่วนท้องขณะพลั้งเผลอ
ตูม!
เขาจมลงไปในพื้นเหมือนกับกระสุนปืนใหญ่
พื้นดินและซากปรักหักพังที่ตอนแรกเต็มไปด้วยรูพรุนพลันสั่นสะเทือน
แฮ่ก…แฮ่ก…แฮ่ก…!
สวีฉีนอนหงายอยู่ในหลุมใหญ่ ร่างโชกเลือด ตา หู จมูก ปากมีเลือดไหลซึมออกมาตลอดเวลา เยื่อดำบนตัวเขากำลังซ่อมแซมด้วยความเร็วสูง ทว่าความเร็วในการซ่อมแซมช้ากว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้กี่เท่า
สภาพที่ใช้อานุภาพของอาวุธเทพสุดกำลัง บวกกับทักษะวรยุทธ์ทั้งหมด รวมถึงการเสริมพลังด้วยกฎเกณฑ์หลักสามชนิด แทบจะไปถึงจุดสูงสุดที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน
แม้อริยะเจ้าอีกสองคนจะให้ยืมพลังสองส่วน แต่เขาที่อยู่ในสภาพนี้ก็ยังพ่ายแพ้อีก
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า
บนหางและบนสองแขนของลู่เซิ่งมีเลือดหยดอยู่เพราะถูกกฎเกณฑ์หลักการสะท้อนกลับบนร่างสวีฉีทิ่มแทง แน่นอนว่าเขาใช้ขอบเขตหยินหยางรวมเป็นหนึ่งบดขยี้สวีฉีสุดกำลัง และใช้พละกำลังทะลวงการสะท้อนกลับซึ่งเป็นกฎเกณฑ์หลักบนร่างเขา
แม้แต่กฎเกณฑ์หลักคืนความจริงซึ่งลดอานุภาพสนามพลังพิเศษบนร่างลู่เซิ่งก็ยังถูกสภาพหยินหยางซึ่งระเบิดพลังอย่างสุดกำลังรอบนี้สลัดหลุดฉีกทึ้ง
“เจ้าจะให้พวกเขาสองคนมาสู้ด้วยก็ได้” ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก “ข้าไม่ว่าอะไร” สู้มาถึงตอนนี้ เขาได้ใช้พลังทั้งหมดแล้ว แก่นหยางของวิชาไร้ขอบเขตทำให้เขารักษาสภาพสูงสุดได้ตลอดเวลา ทว่าแม้อานุภาพของหยินหยางรวมเป็นหนึ่งจะน่าตกตะลึง แต่ก็สิ้นเปลืองพลังจนน่ากลัวเช่นกัน
อย่างมากสุดเขาคงทนได้อีกสองชั่วยามก็จำเป็นต้องคืนสู่สภาพหยินโชติช่วงเพื่อฟื้นฟูแก่นหยางแล้ว ทว่ากายเนื้อกับพลังในเวลาสองชั่วยามสามารถเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว มากพอจะบดขยี้คู่ต่อสู้ส่วนใหญ่
“ไม่จำเป็น…เดิมทีไม่คิดใช้วิธีนี้…น่าเสียดาย…” สวีฉีค่อยๆ ยกมือขึ้น กลางฝ่ามือกำสร้อยข้อมือที่เป็นผลึกสีม่วงขนาดเล็กๆ ไว้เส้นหนึ่ง
ลู่เซิ่งสายตาเคร่งขรึม แม้จะอยู่ไกลก็สัมผัสพลังงานไม่เสถียรซึ่งยิ่งใหญ่สุดขีดที่แฝงอยู่บนสร้อยเส้นนั้นได้
เขาใช้ความคิด สนามพลังปั่นป่วนจิตใจของอสรพิษริษยาที่อยู่รอบๆ กลายเป็นสภาพเส้นสายอย่างไร้สุ้มเสียง พร้อมกับพุ่งไปหาสวีฉีที่อยู่ด้านล่างอย่างเงียบๆ
ทว่าสนามพลังปั่นป่วนถูกสนามพลังสายฟ้าอันน่าสะพรึงกลัวที่หมุนวนรอบๆ ตัวสวีฉีกทำลายทิ้ง
‘ไร้ประโยชน์เหมือนกับพิษในอัคคีอนธการของเราเมื่อก่อนหน้า…สายฟ้านี้…’ ลู่เซิ่งเกิคความกริ่งเกรง
“รับกระบวนท่าเถอะ สายฟ้าแห่งการทำลาย” สวีฉีโยนสร้อยมือผลึกที่อยู่ในมือไปกลางอากาศอย่างแผ่วเบา ถึงขั้นที่ไร้เรี่ยวแรง
ลู่เซิ่งหยีตา มือแอบกำสิ่งของที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ สายตาจับจ้องสร้อยข้อมือผลึกที่อยู่ด้านล่างเขม็ง
สร้อยข้อมือเส้นนั้นลอยอยู่กลางอากาศอย่างเชื่องช้าเป็นระยะทางสั้นๆ ก่อนจะกะพริบแสง แล้วหายไปจากที่เดิม
‘แย่แล้ว!’ ลู่เซิ่งเสียวสันหลังวาบ ขนลุกขนชันไปทั่วทั้งตัว เขาบีบทำลายสิ่งของที่กำไว้กลางฝ่ามือจนแหลกละเอียดโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ตูม!
สายฟ้าสีม่วงที่สว่างไสวกลุ่มหนึ่งระเบิดอย่างรุนแรงโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง แล้วกลายเป็นดวงตาสีม่วงขนาดใหญ่ข้างหนึ่งอยู่กลางอากาศ
ตูม!
เกิดการระเบิดรอบที่สอง ดวงตาสีม่วงข้างที่สองขยายออก
ตูม!
ระเบิดรอบที่สาม
กลางอากาศเหมือนมีมวลหมู่บุปผาสีม่วงที่เหมือนกับจานกระจายออกมา บุปผากลุ่มนี้แทบปกคลุมท้องฟ้าในรัศมีหลายร้อยหมี่ไว้ทั้งหมด
ชั่วขณะนั้นยอดฝีมือที่อยู่สูงกว่าระดับปฐพีกำเนิดในเขตที่อยู่ใกล้ๆ หลายคน ต่างก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานอันน่าสะพรึงที่เกิดขึ้นตรงนี้
หลังการระเบิดที่รุนแรง กระแสอากาศและพายุขนาดยักษ์ก็ติดตามมา
ตอนนี้อริยะเจ้าลึกลับอีกสองคนที่หลบอยู่ห่างๆ สบตากัน การระเบิดสามครั้งเมื่อครู่สร้างความตกใจให้พวกเขาจริงๆ
เนื่องจากว่าอริยะเจ้ามีจิตวิญญาณแข็งแกร่ง ดังนั้นการโจมตีที่ใช้จึงเป็นการรวมกลุ่มและกดอัดในระดับสูง อานุภาพและพลังทำลายล้างรวมตัวกันเป็นจุดเดียว น่าสะพรึงกลัวสุดขีด เพราะฉะนั้นยิ่งขอบเขตอานุภาพปกติใหญ่เท่าไหร่ พลังทำลายล้างกลับยิ่งอ่อนแอเท่านั้น
แต่การระเบิดสามครั้งตรงหน้าเห็นได้ชัดว่าไม่ได้อยู่ในขอบเขตนี้
การระเบิดครั้งที่หนึ่งก็ทำให้ทั้งสองรู้สึกรับมือไม่ไหวแล้ว การระเบิดครั้งที่สอง และการระเบิดครั้งที่สามยิ่งอยู่เหนือจินตนาการของทั้งสอง นี่ไม่ใช่ขอบเขตดาวหยก หากแต่เป็นเทวปัญญา…
“เจ้าสวีฉี…นึกไม่ถึงว่าจะซ่อนฝีมือไว้มากขนาดนี้ ไพ่ตายนี้ไม่แตกต่างอะไรกับการลงมือด้วยตัวเองของอริยะเจ้าเทวปัญญาที่ข้าเคยเห็นเลย” ชายชราที่ยันไม้เท้าคนนั้นอดถอนใจชมเชยไม่ได้
“เขาคงมีความสามารถแบบนี้ไม่เยอะ ใครไม่มีไพ่ตายที่ร้ายกาจหลายๆ อันบ้างเล่า” อริยะเจ้าหญิงอีกคนกล่าวอย่างราบเรียบ
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่…การเลื่อนระดับของอริยะเจ้าเช่นพวกเราอย่างน้อยต้องใช้เวลาเป็นร้อยเป็นพันปี เขาสวีฉีเพิ่งใช้เวลาไปนิดเดียวก็…ช่างน่าริษยาจริงๆ” อริยะเจ้าชรากล่าวพลางส่ายหน้า
“คนที่สู้กับเขาเป็นใครกัน” อริยะเจ้าหญิงถามอย่างเย็นชา
“ไม่แน่ใจ เขาเล่าให้ฟังว่าเป็นอริยะเจ้าสำนักพันอาทิตย์จากเขตเขตหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นสถานะอื่น พวกเราสองคนคงช่วยเหลือไม่ได้ เหมือนคำพูดที่ว่าโยนหนูแต่เกรงภาชนะเสียหายนั่นเอง” ชายชราตอบ “กล่าวตามจริง ถ้าไม่ใช่ว่าอริยะเจ้าผู้นั้นลงมือลอบโจมตีน้องสวีฉีก่อน เขาคงไม่ถึงกับลงมือด้วยความโมโหหรอก”
“ตามกฎเกณฑ์ที่รู้กันดี หนึ่งต่อหนึ่ง ใครชนะคนนั้นก็มีเหตุผล พวกเราสอดมือมาถึงขั้นนี้ ถือว่าล้ำเส้นมากไปแล้ว” สตรีเงียบงันเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ
“แต่ตอนนี้ผลลัพธ์ปรากฏแล้ว เมื่ออัสนีแห่งการทำลายปรากฏ และเทวปัญญาโจมตี ก็ไม่มีใครป้องกันได้อีก เทวปัญญากับดาวหยกแข็งแกร่งจนยากจะจินตนาการ” ชายชราเอ่ยอย่างจนปัญญา
อริยะเจ้าหญิงพยักหน้า
“หวังว่าจะไม่ตาย ไม่อย่างนั้นแม้สวีฉีจะได้ระบายอารมณ์ แต่การแก้ไขปัญหากลับไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
อริยะเจ้าไม่ใช่ผักกาดขาว อริยะเจ้าของต้าอินมีมีจำนวนจำกัด แต่ละคนต่างเป็นทรัพย์สมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของต้าอิน
แม้ว่าต้าอินกับขุมกำลังจำนวนมากจะไม่ได้มีการตรากฎไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ทว่าในกฎที่ไม่ได้เขียนไว้ ทุกคนเห็นด้วยว่าการต่อสู้ระดับอริยะเจ้าไม่อาจทำลายชีวิตกันได้
“อัสนีแห่งการทำลายระดับเทวปัญญา…เกรงว่าจะ…ประเดี๋ยวก่อน!” อยู่ๆ เสียงของอริยะเจ้าชราก็สั่นเครือ สายตาจับจ้องตำแหน่งของลู่เซิ่งตรงกลางอากาศที่แสงสายฟ้าระเบิดใส่
“นั่นมันอะไรกัน!?”
อริยะเจ้าหญิงที่อยู่ด้านข้างกลับอดส่งเสียงร้องอุทานไม่ได้
ไม่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้น แม้แต่สวีฉีที่ลงมือเองก็เงยหน้ามองก้อนเปลวเพลิงสีทองกลางอากาศอย่างงุนงงเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้พวกเขาร้องอุทานไม่ใช่สภาพของก้อนเปลวเพลิง หากเป็นลู่เซิ่งที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ด้านใน
เปลวไฟสีทองห่อหุ้มลู่เซิ่งไว้ตรงกลางหลายกลุ่มเหมือนกับฝาครอบ สายฟ้านับไม่ถ้วนเกี่ยวกระหวัดบนผิวเปลวไฟ ไม่นานก็ริบหรี่สงบนิ่งลง ก่อนจะถูกเปลวไฟดับทำลายไป
……………………………………….